ตอนที่ 182 ถือโอกาสตีช่วงที่เหล็กกำลังร้อน

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 182 ถือโอกาสตีช่วงที่เหล็กกำลังร้อน

เย่หลานเฉิงตกใจจนสะดุ้งโหยง เขาไม่เคยเห็นฮ่องเต้แสดงท่าทางพิโรธหนักขนาดนั้นต่อหน้าตนเองมาก่อน จึงเกิดความหวาดหวั่นขึ้นภายในใจ ยิ่งไม่กล้าพูดอะไรเข้าไปใหญ่

เหมียวเชียนชิวเห็นก็แอบทนไม่ไหว อยากโน้มน้าวใจและอธิบายแต่ก็ไม่รู้ว่าควรเปิดปากพูดอย่างไร

หนานหนานกลับทำตัวไม่แยแส ทว่าเมื่อได้ยินฮ่องเต้ด่าเย่หลานเฉิง ภายในใจจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่มีความสุขเช่นกัน

“ฝ่าบาท เสี่ยวเฉิงเฉิงอ่านตำราเก่งมาก ท่านด่าเขาไม่ได้ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย”

เหมี่ยวเชียนชิวอยากถอนหายใจออกมา บรรพบุรุษ…ท่านอย่าเติมเชื้อไฟในกองเพลิงเลยนะขอรับ

“ด่าเขาไม่ได้?” ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็น “วิ่งไปถึงตำหนักของกุ้ยเฟยช่วงกลางดึก ตะโกนพูดว่านักฆ่า ทำให้คนในตำหนักตื่นตกใจ นางข้าหลวงและขันทีที่กำลังเฝ้าระวังกันอย่างเคร่งครัดตกใจกันหมด สร้างปัญหาใหญ่ขนาดนี้ ยังพูดว่าไม่มีความผิดอีก?”

หนานหนานชะงัก ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้แล้วหรือ? ซวยแล้ว หรือว่าพวกเขาปิดบังกันได้ไม่ดีมากพอ?

“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วรึ?” ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง เมื่อคืนพระองค์ทรงกริ้วมากจริง ๆ ใครกันที่มาขัดขวางช่วงเวลาที่พระองค์กำลังมีความสุข? ต่อให้เด็กคนนี้เป็นบุตรชายของซิวเอ๋อร์ แต่ก็ทำตัวราวบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปเกินไปแล้ว

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์จากการกระทำเรื่องเช่นนี้เป็นอย่าไงร? รู้หรือไม่ว่าต้องถูกกล่าวโทษ? พวกเจ้าอยากเข้าไปถูกขังอยู่ในคุก ไม่เห็นฟ้าเห็นตะวันนับแต่นี้ใช่หรือไม่?”

“ไม่รู้” หนานหนานเงยหน้าขึ้นและตอบกลับอย่างเรียบง่าย

ฮ่องเต้ถูกคำพูดของเขาทำให้ทรงกริ้วจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา จนเหมียวเชียนชิวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แทบอยากจะคุกเข่าลง

เย่หลานเฉิงถึงกับตกใจ รีบลากหนานหนานไว้ ก่อนจะโขกศีรษะลงบนพื้นแรง ๆ ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ “เสด็จปู่ หลานเฉิงผิดไปแล้ว หลานเฉิงอยู่ในเรือนแห่งนี้นานเกินไป เมื่อเช้าหลังจากไทเฮายกเลิกการกักขังของหลานเฉิง หลานเฉิงจึงอยากออกไปเดินข้างนอกเพราะทนไม่ไหว จึงลากหนานหนานออกไปด้วย แต่หลานเฉิงไม่ได้ออกไปข้างนอกนานมากแล้ว ถนนหนทางภายในวังก็จำไม่ค่อยได้ หนานหนานก็เพิ่งจะเข้ามาในวังได้ไม่นานยิ่งไม่รู้ทางเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจึงเผลอเข้าไปในตำหนักอี๋ซิ่งโดยไม่ทันได้ระวัง เสด็จปู่ ผลลัพธ์ที่ตามมาทั้งหมดหลานเฉิงจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หนานหนานยังเด็ก ยังไม่รู้กฎภายในวัง โปรดเสด็จปู่อย่าถือโทษโกรธเคืองเขาเลย”

“เป็นเช่นนี้จริงรึ?” ฮ่องเต้ไม่เชื่อคำพูดของเขา แม้ว่าพระองค์จะรู้จักกับเย่หลานเฉิงไม่นาน แต่จากที่เจอกันมาหลายครั้ง พระองค์ก็พอจะรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว เขาสามารถอยู่ในเรือนแห่งนี้ถึงสองปีอย่างสงบจิตสงบใจไม่สุงสิงกับคนนอก เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นสูงมาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะภูมิใจจนหลงระเริงในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้?

ในมุมมองของพระองค์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าลิงน้อยหนานหนานตัวนี้นี่แหละที่ก่อเรื่อง ความคิดแผลง ๆ ช่างมากล้นเสียเหลือเกิน

“ในเมื่อเจ้าอยากจะรับผิดชอบ เช่นนั้นเราจะลงโทษเจ้า…”

“ช้าก่อน” หนานหนานกำลังซึ้งใจที่เสี่ยวเฉิงเฉิงเห็นประโยชน์ส่วนรวมและไม่เห็นแก่ตัว…เอ๋ ไม่ถูกสิ เรียกว่าเสียสละอย่างกล้าหาญต่างหากล่ะ เพื่อสหายเขายอมแลกชีวิตของตัวเองโดยไม่นึกเสียดายเลย เขายังซึ้งใจไม่เสร็จ ก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่าจะลงโทษ จึงรีบตะโกนเสียงดังออกไป

ฮ่องเต้เลิกพระขนงขึ้น “อะไรกัน เจ้ายังมีอะไรอยากจะพูดอีกรึ?”

เย่หลานเฉิงตวาดเสียงเบา “หนานหนาน เจ้าไม่ต้องพูด”

“ฝ่าบาท เรื่องนี้อันที่จริงยังมีรายละเอียดด้านในนั้นด้วย”

“เอ่ยมา” พระองค์ก็อยากฟังเช่นกันว่าเขาจะแต่งเรื่องอะไรออกมา

หนานหนานเม้มปาก กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะพยักหน้าและพูดอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาท อันที่จริงพวกเราออกจากเรือนแห่งนี้ไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฉิงเฉิงห่วงเล่นอยากจะออกไปหรอก แต่เป็นเพราะพวกเราได้เจอกับเคอกงกงต่างหาก ฝ่าบาทเองก็ทราบดีว่าบนตัวของเสี่ยวเฉิงเฉิงได้รับพิษ ถูกต้องหรือไม่ เคอกงกงน่าสงสัยมากถูกต้องหรือไม่ จากนั้นพวกเราเห็นพฤติกรรมของเขาดูลับ ๆ ล่อ ๆ ย่อมต้องเกิดความสงสัยภายในใจ จึงเดินตามเขาไป ผลลัพธ์ที่ได้คือเคอกงกงผู้นั้นเดินเข้าไปในตำหนักของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ถึงแม้ข้าจะไม่รู้จักกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง แต่พวกเราก็ทราบดีว่าฝ่าบาทอยู่ที่นั่น พวกเราจึงคิดว่าเคอกงกงนั่นอาจจะคิดจะสร้างปัญหาให้ฝ่าบาท”

ฮ่องเต้เกิดความรู้สึกอยากจะสรวล เด็กคนนี้ฉลาดจริง ๆ เข้าใจใช้ประโยชน์จากเคอกงกงเพื่อแก้ต่างให้ตนเองด้วย

“ดังนั้นนะฝ่าบาท พวกเราเลยเป็นกังวลว่าท่านจะถูกทำร้าย แต่พวกเราเป็นแค่เด็กตัวน้อย เสี่ยวเฉิงเฉิงเองก็พูดว่าตำแหน่งภายในวังของเขาไม่สูง คงไม่มีใครเชื่อเขา ต่อให้บอกว่าเคอกงกงนั่นมีปัญหา แต่ก็คงเห็นว่าเป็นคำพูดมุสาของเด็กเล็ก พวกเราคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็นึกถึงความคิดดี ๆ ขึ้นได้ จึงตะโกนเสียงดังว่ามีนักฆ่า ท่านดูสิ ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมมากเลยใช่หรือไม่? เคอกงกงผู้นั้นเป็นเพราะตื่นตระหนกก็เลยเผยความจริงออกมา และถูกฝ่าบาทจับตัวได้”

เหมียวเชียนชิวถึงกับอ้าปากค้าง แบบนี้ก็ได้ด้วย? เด็กคนนี้…สมกับที่เป็นบุตรชายของท่านอ๋องซิวจริง ๆ

เย่หลานเฉิงถึงกับกลืนน้ำลาย แอบมองสีพระพักตร์ของฮ่องเต้อย่างเงียบ ๆ ทว่ากลับค้นพบว่าแววพิโรธที่อยู่บนพระพักตร์ได้หายไปแล้ว ราวกับพึงพอพระทัยในคำพูดของหนานหนาน ในใจของเขาจึงผ่อนคลายลง

จักรพรรดิไม่ได้พึงพอพระทัยกับคำแก้ตัวเหล่านั้นของหนานหนาน พระองค์พึงพอพระทัยกับความฉลาดปราดเปรื่องของเด็กคนนี้ เคอกงกงตายไปแล้วย่อมมิอาจพูดอะไรได้อีก การปรากฏตัวของเขากลายเป็นอุบัติเหตุสำหรับพวกเขาทุกคน ทว่าเด็กคนนี้กลับใช้อีกฝ่ายมาเป็นข้ออ้างภายในระยะเวลาสั้น ๆ เยี่ยมมาก เป็นพระนัดดาที่มีความฉลาดปราดเปรื่องมากจริง ๆ

หนานหนานทำท่าทางราวกับกลัวว่าฮ่องเต้จะไม่เชื่อ เขาจึงยื่นมือที่ถูกผ้าพันแผลกลับมาพันไว้ตอนไหนไม่ทราบได้ออกมา “ฝ่าบาท ท่านดูสิ เมื่อคืนพวกเราถูกเคอกงกงจับได้ มือเล็ก ๆ ของข้าก็ได้รับบาดเจ็บด้วย”

ฮ่องเต้ถึงกับตกพระทัย ได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้เหตุใดถึงไม่มีใครบอกพระองค์?

พระองค์มิได้สนพระทัยที่จะอบรมสั่งสอนเด็กสองคนนี้แล้ว รีบเข้ามาจับมือเล็ก ๆ ที่ถูกผ้าพันไว้แบบลวก ๆ สีพระพักตร์เคร่งขรึมลง หันกลับไปตวาดใส่เหมียวเชียนชิว “เกิดอะไรขึ้น? เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บแล้ว บ่าวในเรือนแห่งนี้ตายกันหมดแล้วรึ เหตุใดถึงไม่เรียกหมอหลวงมา?”

เหมียวเชียนชิวถึงกับตกใจ เขาไม่รู้ว่าหนานหนานได้รับบาดเจ็บ เมื่อเห็นบาดแผลที่ถูกผ้าพันแผลพันไว้หนา ๆ จนดูเหมือนจะสาหัสมากจึงหมุนกายทำท่าจะออกไปเรียกหมอหลวง ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวออกนอกห้องก็ถูกหนานหนานเรียกกลับมา

“ไม่ต้องเรียกหมอหลวงแล้ว ข้าทายาเองเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นแผลใหญ่อะไร ฝ่าบาทอย่าได้ทำให้คนอื่นต้องลำบากเลย ข้าเป็นบุรุษ ร่างกายของบุรุษมีบาดแผลทิ้งไว้ถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชาย” พูดเป็นเล่น หากถูกหมอหลวงตรวจดูอาการ ฮ่องเต้ก็รู้หมดน่ะสิว่าบาดแผลของเขาเล็กกระจิริด

ฮ่องเต้ขมวดพระขนง หันกลับไปมองเย่หลานเฉิง อีกฝ่ายพยักหน้าแสดงออกว่าบาดแผลไม่ได้รุนแรงจริง ๆ

ฮ่องเต้จึงเบาพระทัย ครุ่นคิดดูแล้วก็จริง เด็กคนนี้ได้รับบาดแผลที่หลังมือไม่มีทางที่จะเป็นฝีมือของเคอกงกง คาดว่าเขาคงชนเข้ากับสิ่งอื่นเพราะไม่ทันได้ระมัดระวังมากกว่า

หนานหนานเห็นจักรพรรดิมีสีพระพักตร์ดีขึ้น ก็รีบใช้ไม้ตีงูทันที แย้มยิ้มกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่านเชื่อคำพูดของข้าแล้วใช่หรือไม่”

“อืม” พระองค์จะไม่เชื่อเขาได้หรือ? ต่อให้ไม่เชื่อ พระองค์ก็มิอาจทำอะไรกับเด็กสองคนนี้ได้

วันนี้ที่พระองค์เสด็จมาที่นี่ ก็แค่อยากจะขู่พวกเขาให้กลัวและให้พวกเขาระวังการกระทำกันสักหน่อย ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือวังหลวง อย่าได้สร้างปัญญาที่ใหญ่เกินถึงจะดี

ทว่าหนานหนานไม่ได้คิดเช่นนี้ เขานึกว่าฮ่องเต้มีความสุขแล้ว มีคำพูดที่กล่าวไว้ว่า ‘ถือโอกาสตีช่วงที่เหล็กกำลังร้อน’ ต้องรีบพูดออกไปถึงจะถูก

………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

โห นับถือความสามารถกลับดำเป็นขาวของเจ้าหนานหนานเลยค่ะ รู้จักหาแพะมาโยนความผิดให้ตัวเองด้วย

ไหหม่า(海馬)