เล่ม 1 ตอนที่ 81-1 จบลงด้วยดี

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 81-1 จบลงด้วยดี
“ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี…มีบุตรแล้วหรือ” นายท่านหกลูบคาง พลางมองประเมินสตรีตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ นางพูดด้วยท่าทางนิ่งสงบมิเหมือนกำลังโกหก แต่อัครมหาเสนาบดีจะมีบุตรกับสาวชาวบ้านหรือ เหตุใดจึงรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้กันนะ

“สาวน้อย” นายท่านหกเปลี่ยนคำเรียกขาน “รู้หรือไม่ว่าหลอกลวงนายท่านหกจะมีจุดจบอย่างไร”

เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าดุจเดิม “ถ้าเช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ว่าล่วงเกินอัครมหาเสนาบดีจะมีจุดจบเช่นไร”

นายท่านหกท่องอยู่ในยุทธภพและราชสำนักมาหลายปีไม่เคยกลัวผู้ใด เพียงผู้เดียวที่หวั่นเกรงอย่างยิ่งคืออัครมหาเสบาดีหนุ่มผู้อยู่ต่อหน้าพูดจาดี ลับหลังร้ายยิ่งกว่าผู้ใดคนนั้น แม้แต่ตาเฒ่าผู้กรำยุทธภพอย่างเขาก็ไม่ยินดีงัดข้อกับอัครมหาเสนาบดี

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองว่ามาซิ เจ้ารู้จักกับอัครมหาเสนาบดีได้อย่างไร” หากเป็นผู้หญิงของอัครมหาเสนาบดีจริง เขาก็จะปล่อยนางสักครั้ง แต่หากไม่ใช่ เหอะ อย่าโทษที่เขารู้สึกว่าเรือนหลังเงียบเหงา ลักนางกลับไปเป็นเมียก็แล้วกัน!

ยิ่นอ๋องโกรธเฉียวเวยแทบตายแล้ว มีโอกาสหนีพ้นเงื้อมมือมารของนายท่านหกแล้วแท้ๆ แต่นางกลับดึงดันจะดื้อกับเขา! คราวนี้เป็นอย่างไร!

เฉียวเวยตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “รู้จักกันได้อย่างไรหรือ ก็รู้จักกันบนเตียงน่ะสิ!”

“พรวด” ผู้ดูแลฉิวที่กำลังดื่มชาอยู่พ่นชาออกมา!

นายท่านหกชอบสตรีใจกล้าห้าวหาญเช่นนี้ เทียบกับสตรีเสแสร้ง เบื้องหน้าทำตัวมีคุณธรรม ความจริงขาดความยับยั้งชั่งใจเหล่านั้นแล้วน่าสนใจกว่ามาก เขายิ้มร้าย “กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าครั้งแรกที่อัครมหาเสนาบดีพบเจ้า เขาก็ลากเจ้าขึ้นเตียงแล้วเช่นนั้นหรือ”

เฉียวเวยขบเมล็ดแตงเม็ดหนึ่ง “ใช่เสียที่ไหน ข้าต่างหากลากเขาขึ้นเตียง!”

ผู้ดูแลฉิวสำลักจนเกือบแย่

สีหน้าของยิ่นอ๋องย่ำแย่ยิ่งนัก มียางอายหรือไม่ ยังมียางอายหรือไม่!

ชาติก่อนเฉียวเวยอ่านนิยายแนวประธานเผด็จการตกหลุมรักฉันมาตั้งมาก เรื่องเล่าจำพวกภรรยาใสซื่อหอบลูกหนีพรรค์นั้นอ้าปากก็เล่าได้ นางเล่าว่าในค่ำคืนจันทร์อับแสงนางเมามายลากอัครมหาเสนาบดีขึ้นเตียงอย่างไร ถูกคนในครอบครัวขับไล่ออกจากตระกูลเช่นไร จากนั้นเมื่อหันหลังจากบ้านเกิดแล้วพบว่าตนเองตั้งครรภ์อย่างไร แล้วเลี้ยงดูฟูมฟักเจ้าซาลาเปาน้อยที่แสนน่ารักทั้งสองจนเติบใหญ่เช่นไร…เล่าได้ซาบซึ้งสะเทือนใจคน

“…เฮ้อ เจ็บช้ำน้ำใจจนน้ำตาไหล!” เฉียวเวยใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา (น้ำชา) บนใบหน้า “โชคดีใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีตามหาพวกเราแม่ลูกจนพบ ใช่หรือไม่เล่ายิ่นอ๋อง ครั้งก่อนที่ประตูสำนักศึกษาหนานซาน ท่านรังแกพวกเราแม่ลูก อัครมหาเสนาบดีรีบเร่งมาถึงทันเวลา พวกเราแม่ลูกจึงหนีพ้นกรงเล็บของท่านกับรองหัวหน้ากองผู้นั้น จะว่าไปแล้วที่พวกเราครอบครัวสี่คนได้อยู่พร้อมหน้ากันก็ต้องขอบคุณท่านนะ”

ยิ่นอ๋องหางตากระตุก!

นายท่านหกมองผู้ดูแลฉิว ผู้ดูแลฉิวจึงเอ่ยเสียงเบา “วันสอบเสินถงวันนั้น ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีสั่งสอนรองหัวหน้ากองคนหนึ่งที่ประตูสำนักศึกษาหนานซาน ช่วยสตรีนางหนึ่งไปจากมือยิ่นอ๋องจริงขอรับ”

นายท่านหกอยู่ข้างนอกเสียเป็นส่วนใหญ่ น้อยครั้งนักจะกลับเมืองหลวง จึงมิค่อยทราบ ‘ข่าวแย่งชิงสตรี’ ระหว่างยิ่นอ๋องกับอัครมหาเสนาบดีเท่าใดนัก เพียงทราบมารางๆ ว่าทั้งสองคนวิวาทกันเพราะสตรีนางหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นต่อให้เรื่องที่อัครมหาเสนาบดีช่วยคนเป็นความจริง ก็มิอาจบ่งบอกได้ว่าอัครมหาเสนาบดีทำเพื่อสตรีนางนี้ ไม่แน่เขาอาจอยากสร้างปัญหาให้ยิ่นอ๋องก็ได้

สาวน้อยผู้นี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เขาเคยติดกับมาแล้วครั้งหนึ่ง หากติดกับอีกครั้ง คงไม่มีหน้าอยู่ในยุทธภพอีกต่อไปแล้ว “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนของอัครมหาเสนาบดี ถ้าเช่นนั้นก็ง่าย ข้าจะสั่งคนให้ไปจวนอัครมหาเสนาบดีประเดี๋ยวนี้ แจ้งใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีว่าฮูหยินของเขาไม่สบาย ได้ข้าช่วยไว้ ขอให้เขารีบส่งคนมารับฮูหยินกลับจวนโดยไว”

เฉียวเวยสีหน้าตกตะลึงในพริบตา จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้พูดอันใด จะส่งคนไปจวนอัครมหาเสนาบดีหรือ

หากเขาข่มขู่ให้อัครมหาเสนาบดีนำทองมาไถ่ ไม่แน่อัครมหาเสนาบดีอาจเห็นแก่ชาวบ้านตาดำๆ ที่ตกอยู่ในอันตรายยอมช่วยเหลือนางสักครั้ง แต่หากเขาบอกว่านางเป็นฮูหยินของอีกฝ่าย….

อัครมหาเสนาบดีเป็นคนดีไม่ผิด แต่เขาคงไม่เที่ยวยอมรับว่าใครก็ไม่รู้เป็นฮูหยินแล้วพากลับบ้านหรอกน่า…

เจ้าจิ้งจอกเฒ่าชั่วช้ามากเล่ห์!

นายท่านหกเห็นสีหน้าของเฉียวเวยอยู่ในสายตาทั้งหมด เขาหัวเราะร่า “ทำไม กลัวแล้วหรือ”

เฉียวเวยเบ้หน้า ในใจก่นด่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้นับร้อยนับพันรอบ!

นายท่านหกหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ผู้ดูแลฉิว พาตัวคนไป!”

ผู้ดูแลฉิวถอนหายใจอย่างความลำบากใจ นายท่านของตนสิ่งใดก็ดีทั้งสิ้น มีแต่ข้อเสียเรื่องเจ้าชู้ที่แก้ไม่หาย แม่นางผู้นี้ช่างโชคไม่ดี อุตส่าห์มาวันที่สิบสี่ยังมาเจอนายท่านเข้าจนได้

เขายื่นมือออกมาจะคว้าตัวเฉียวเวย ทันใดนั้นเด็กรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งโซซัดโซเซเข้ามา “นายท่าน! นายท่านแย่แล้ว! ไท่ฮูหยิน นาง…”

นายท่านหกลุกพรวด “นางเป็นอันใด”

เด็กรับใช้เอ่ยว่า “นาง นางจะคลอดแล้วขอรับ!”

เฉียวเวยอึ้ง ไท่ฮูหยิน…น่าจะหมายถึงมารดาของนายท่านหกกระมัง นายท่านหกดูหน้าตาก็อายุสี่สิบห้าสิบปีแล้ว มารดาของเขาอายุน้อยเท่าใดก็คงเกือบหกสิบ อายุเท่านี้…ยังจะตั้งครรภ์คลอดลูกอีกหรือ

มารดาคลอดบุตรเป็นเรื่องใหญ่ นายท่านหกประสานมือให้ยิ่นอ๋อง “ท่านอ๋อง การค้าวันนี้คงเจรจาไม่สำเร็จแล้ว วันหน้าข้าจะเชิญท่านไปดื่มชาที่เหลาสุราอันดับหนึ่ง!”

ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างเกรงใจ “ได้ ได้”

นายท่านหกก้าวออกไปด้านนอกอย่างร้อนใจ

เฉียวเวยลอบยินดี บุตรคนนี้ของไท่ฮูหยินช่างมาเกิดได้เวลาดีแท้ รีบไปเถิดนายท่านหก ไม่ส่งนะ…

นายท่านหกก้าวไปถึงประตูจู่ๆ ก็ชะงัก หันกลับมาสั่งผู้ดูแลฉิวว่า “พานางกลับจวนข้า!”

เฉียวเวย “…”

จวนของนายท่านหกอยู่ทิศเหนือของเมืองหลวง คนละทางกับถนนชิ่งเฟิงอย่างสิ้นเชิง โอกาสที่จะ ‘บังเอิญ’ พบหมิงซิวกับสือชีแทบไม่มี

เฉียวเวยถอนหายใจพลางขบเมล็ดแตงในมือ

“ป่านนี้แล้ว เจ้ายังจะกินลงอีกหรือ” ยิ่นอ๋องเหยียดยิ้ม

เฉียวเวยกลอกตาใส่เขา “ฟันขวางก็ตาย ฟันตั้งก็ตาย เป็นผีอิ่มท้อง อย่างไรก็ดีกว่าเป็นผีหิวโซ”

รถม้าวิ่งโคลงเคลงไปด้านหน้า คนขับรถม้าเป็นคนของยิ่นอ๋อง แต่องครักษ์ที่ติดตามมากลับเป็นยอดฝีมือของนายท่านหกทั้งหมด เฉียวเวยติดปีกก็ยากจะบินหนีพ้น

ยิ่นอ๋องมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าไม่กลัวตายจริงหรือ”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เกี่ยวอันใดกับท่าน”

ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างหยิ่งยโส “หากเจ้าขอร้องข้า ข้าอาจจะนึกอยากช่วยเจ้าออกไป”

เฉียวเวยยิ้มหวาน “เก็บคำว่าอาจจะของท่านไว้ใช้กับสตรีอื่นเถิด หญิงสาวชาวบ้านตัวน้อยอย่างข้าคนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้!”

เมื่อนางคลี่ยิ้มเช่นนี้ ลักยิ้มจางๆ สองข้างพลันปรากฏบนแก้ม งามสะกดตาคล้ายคุณหนูใหญ่สกุลเฉียวในวันวานยิ่งนัก

แววตาของยิ่นอ๋องหวั่นไหวแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “ก่อนหน้านี้ข้ามิได้แต่งเรื่องขึ้นทั้งหมด จวนเอินปั๋วมีคุณหนูใหญ่สกุลเฉียวอยู่จริงๆ”

“อ้อ”

นางไม่ใส่ใจสักนิด

“นางไล่ตามข้ามาเนิ่นนานัก”

“อ้อ”

ก็ยังไม่ใส่ใจอยู่ดี

“สุดท้ายก็ปีนขึ้นเตียงข้า”

“พรวด” ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาแล้ว เฉียวเวยมองยิ่นอ๋องแล้วทำหน้าเหยียดหยัน “อะไรคือปีนขึ้นเตียงท่าน หากท่านไม่สนอง นางปีนขึ้นไปแล้วมีประโยชน์หรือ พูดให้ถึงที่สุดแล้วก็เป็นตัวท่านเองที่หักห้ามใจไม่ได้”

ยิ่นอ๋องถูกวาจาตรงไปตรงมาของนางทิ่มแทงจนสะอึก ลมหายใจชะงักไปชั่วครู่ “เจ้า ทำไมถึงได้…”

หน้าไม่อาย! แล้วยังปากไม่มีหูรูด!

ยิ่นอ๋องลำบากนักกว่าจะปรามเพลิงกองนั้นในหัวใจลงไปได้ “นั่นเพราะว่า…”

“เพราะท่านดื่มมากเกินไป ตนเองยังมิรู้ว่าตนกำลังทำสิ่งใด!” เฉียวเวยเอ่ยขัดเขาอย่างไม่เกรงใจสักนิด “บุรุษก็เป็นเช่นนี้เสียหมด! ไม่อยากยอมรับผิดก็โบ้ยว่าตนเองดื่มจนเมา ช่างเป็นข้ออ้างที่ใช้สะดวกมานับหมื่นปีจริงๆ!”

ถ้อยคำที่นางเอ่ยเหมือนจะประหลาดอยู่บ้าง แต่มิได้ทำให้ยิ่นอ๋องไม่เข้าใจความหมายของนาง ยิ่นอ๋องไม่อยากโต้เถียงประเด็นนี้กับนางต่อ ถึงอย่างไรนางก็มิใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวตัวจริง ไม่จำเป็นต้องเข้าใจรายละเอียดในยามนั้น

“เจ้าเป็นคนที่ไหน” เขาเอ่ยถาม

เปลี่ยนประเด็นเร็วไปหน่อยนะ เฉียวเวยเหล่ตามองเขา แล้วตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เตียนตู”

ยิ่นอ๋องถามอีกว่า “ในครอบครัวมีผู้ใดอีก”

“ไม่มีแล้ว นอกจากลูกทั้งสองของข้า ทุกคนตายหมดแล้ว”

“บิดาของเด็กน้อยคือผู้ใด”

เฉียวเวยสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอดอย่างคลางแคลง แล้วขมวดคิ้วมองเขา “ท่านจะเก็บสำมโนประชากรหรือ ถามเสียละเอียดเช่นนี้ หวังอันใดจากข้าหรือไร”

สตรีนางนี้ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!

อ้าปากพูดทีก็บอกว่าตนหวังอันใดจากนาง สภาพเช่นเจ้า บริสุทธิ์หรือก็ไม่บริสุทธิ์ ชาติตระกูลดีหรือก็ไม่ หากจะกล่าวว่ามีสิ่งใดพอไปวัดไปวาได้ก็มีแต่ใบหน้านี้เท่านั้น แต่หน้าตาดูได้อีกเท่าใดก็ถูกอารมณ์ร้ายของนางหักลบจนหมดสิ้น

ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าเพียงรู้สึกว่าเจ้าน่าสงสัยก็เท่านั้น…ไม่เคยมีสตรีนางใดกล้าบังอาจต่อหน้าข้าเช่นนี้มาก่อน”

เฉียวเวยส่ายหัวอย่างขบขัน “อาการหลงตัวเองเป็นโรค ต้องรักษานะ”

บังเอิญจังหวะนี้ รถม้ามาถึงจวนตระกูลลู่พอดี เฉียวเวยจึงลงจากรถโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง

นายท่านหกรีบร้อนไปดูมารดา ไม่มีกะจิตกะใจแตะต้องคนงามตัวน้อย ทั้งเห็นว่าตัวนางเองตามมาอย่างว่าง่ายอย่างรู้จักสถานการณ์ยิ่งนักจึงไม่ทำให้นางต้องเจ็บตัว

เฉียวเวยตามนายท่านหกเข้ามาในจวนตระกูลลู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยได้มาเห็นจวนหลังใหญ่อาณาเขตกว้างขวางของเศรษฐียุคโบราณ ศาลาหออาคาร สระน้ำเรือนริมฝั่ง คานซ้อนหลั่นชั้น ปลายหลังคางอน เสาแกะสลักคานวาดลวดลาย ทุกหนแห่งล้วนแสดงถึงความหรูหราและความงดงามประณีต

“นายท่านหก จวนนี่ของท่านใช้เงินไปเท่าใดกัน” โรคคลั่งเงินกำเริบอีกแล้ว

นายท่านหกตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ลืมไปแล้ว หลายหมื่นตำลึงกระมัง”

เฉียวเวยกัดลิ้น

ทั้งสองคนเข้ามาในเรือนของไท่ฮูหยินก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของไท่ฮูหยินแต่ไกล บ่าวรับใช้ทั้งหลาย คนที่ต้มน้ำก็ต้มน้ำ คนที่ยกอ่างก็ยกอ่าง คนที่ต้มยาก็ต้มจนเรียบร้อย ทุกคนต่างวิ่งวุ่นหัวหมุน

มีสาวใช้คนหนึ่งเห็นนายท่านหกจึงโค้งคำนับเขา เขาโบกมืออย่างรำคาญ แล้วเอ่ยกับสาวใช้มีอายุคนหนึ่งว่า “ปิดประตูเรือนให้แน่นหนา ห้ามนางออกไป เข้าใจหรือไม่”

สาวใช้อายุมากมองเฉียวเวย แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ นายท่าน”

เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียวขึ้น สาวใช้คนหนึ่งจะคุมนางอยู่หรือ ดูถูกนางเกินไปแล้ว! ระหว่างทางไม่สะดวกหนีก็เลยเข้ามาในบ้าน ประเดี๋ยวปลอมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ผู้ใดยังจะมองออกอีกเล่า

สาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งยกถาดผลไม้เดินเข้ามาจากด้านข้าง เฉียวเวยตามหลังไปแล้วฉวยผิงกั๋วผลหนึ่งขึ้นมากัด ไม่ถือว่าตนเป็นคนนอกแม้แต่น้อย

สาวใช้ตัวน้อยตกตะลึง เฉียวเวยยกมือไล่ “เจ้าออกไปเสีย”

สาวใช้ตัวน้อยขานรับอย่างงุนงง “…เจ้าค่ะ”

“ท่านแม่! ข้ามาแล้ว!” นายท่านหกวิ่งเข้าไปในห้องนอนหลักอย่างร้อนใจ ขณะที่กำลังจะเลิกม่านเข้าไปก็ถูกแม่นมผมสีดอกเลาคนหนึ่งขวางไว้ด้านนอก “โธ่นายท่าน ห้องคลอดสกปรก ท่านเข้าไม่ได้เจ้าค่ะ!”

นายท่านหกถามอย่างร้อนใจ “ซุนมามา แม่ข้าเป็นเช่นไรบ้าง”

ซุนมามาตอบว่า “ปวดเล็กน้อยตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว แต่ไม่รุนแรงมาก ไท่ฮูหยินจึงคิดจะรอสักหน่อย เช้าวันนี้ เจ็บปวดจนทนมิไหวแล้ว คาดว่าคงจะคลอดแล้วจริงๆ จึงเรียกหมอตำแยมา”

“โอ้ย โอ้ย เจ็บจะตายแล้ว”

เสียงกรีดร้องของไท่ฮูหยินดังออกมาจากด้านใน

หมอตำแยตะโกนว่า “น้ำแกงเร่งคลอดเล่า ต้มเสร็จหรือยัง รีบยกมาเร็ว!”

ซุนมามารีบขานรับนาง “ข้าจะยกไปเดี๋ยวนี้!” แล้วจึงหันกลับมามองนายท่านหก “ท่านรออยู่ด้านนอกเถิด อย่าเข้าไปเด็ดขาด”

นายท่านหกได้ยินเสียงกรีดร้องของมารดาก็ร้อนใจดั่งมดในกระทะร้อน เดินไปเดินมาอยู่ในลานเรือน

เฉียวเวยกัดผิงกั๋ว เดินเล่นอยู่ข้างกายเขาอย่างสบายใจ นางมองไปยังห้องที่ปิดประตูกับม่านแน่นสนิท แล้วเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านหก มารดาของท่านอายุเท่าใดแล้ว”

“ห้าสิบห้า!”

อายุเท่านี้ยังจะมีลูกอีกหรือ ลูกตาของเฉียวเวยกลอกไปมา “บิดาของท่านเล่า”

“ตายไปนานแล้ว”

เฉียวเวยตกตะลึง “เด็กคนนี้มิใช่ลูกของบิดาท่านหรือ”

นายท่านหกเหวี่ยงกำปั้น เฉียวเวยเผ่นแผล็วไปหลบหลังต้นไห่ถัง แล้วยื่นศีรษะกลมๆ โผล่ออกมา “เป็นลูกบิดาท่านหรือ แต่บิดาท่านตายไปนานแล้ว มารดาท่านจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรเล่า”

นายท่านหกเอ่ยอย่างหยิ่งทะนง “มารดาข้าตั้งครรภ์มาสิบปีแล้ว ไม่คลอดเสียที ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านต่างบอกว่ามารดาข้าตั้งครรภ์เทพ วันใดให้กำเนิดออกมาจะปกปักษ์คุ้มครองทั้งตระกูลลู่ของพวกเรา”

ครรภ์เทพ ท่านคิดว่าที่อยู่ในท้องคือเทพองค์ไหนมิทราบ

นายท่านหกผู้องอาจน่าเกรงขามผู้นี้ เหตุใดพอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมากลับเหมือนเด็กน้อยหลอกง่ายดายนัก แต่นี่จะโทษนายท่านหกเพียงคนเดียวก็มิได้ คนโบราณงมงาย มิว่าสิ่งใดก็ล้วนโยงเกี่ยวกับเทพผีได้ นี่เขามีอารยะอยู่บ้างแล้วจึงกล่าวว่าเป็นครรภ์เทพ หากเขาเป็นคนยากไร้ที่ลำบากเพราะความยากจนสักคน คนในหมู่บ้านเหล่านั้นคงบอกว่ามารดาของเขาอุ้มท้องผีหรือปีศาจแล้ว

เพื่อพิสูจน์การคาดเดาของตนเอง เฉียวเวยจึงยิ้มละไมเอ่ยว่า “ท่านดูร้อนใจทีเดียว ให้ข้าเข้าไปดูแทนท่านสักหน่อยดีหรือไม่”

“เจ้าหรือ” นายท่านหกทำหน้าดูแคลน

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ท่านลืมแล้วหรือ ข้าให้กำเนิดบุตรมาก่อน เป็นคนมีประสบการณ์!”

นายท่านหกลังเลครู่หนึ่ง “…ได้ เจ้าลองเข้าไปดูหน่อย”

เฉียวเวยเข้าไปในห้อง ไท่ฮูหยินนอนอยู่บนเตียง เหงื่อไหลรินดั่งสายฝน หมอตำแยกำลังทำคลอดให้นาง เอ่ยกระตุ้นให้นางออกแรงเบ่ง หญิงรับใช้ท่าทางสุขุมสองนางเฝ้าอยู่ด้านข้าง สงบนิ่งรอฟังคำสั่งของไท่ฮูหยินกับหมอตำแยตลอดเวลา

เมื่อเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาด้านใน ใบหน้าของทุกคนล้วนปรากฏความสงสัย เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “นายท่านหกให้ข้าเข้ามาดูไท่ฮูหยิน”

ทุกคนคลายความสงสัย แล้วปล่อยเฉียวเวยเดินเข้ามา

หมอตำแยแยกขาของไท่ฮูหยินออก “ออกแรงเบ่งเจ้าค่ะ! ไท่ฮูหยิน ท่านต้องออกแรงเบ่ง!”

ไท่ฮูหยินเบ่งสุดกำลัง แล้วทรุดลงบนเตียง “ข้าไม่มีแรงแล้ว”

หมอตำแยรีบตะโกน “น้ำแกงโสม!”

หญิงรับใช้คนหนึ่งป้อนน้ำแกงโสมสองคำให้ไท่ฮูหยินทันที

เฉียวเวยคลำข้อมือของไท่ฮูหยิน จับชีพจรของนางดู นี่ไม่ใช่ชีพจรมงคลสักหน่อย!

เฉียวเวยฉวยจังหวะที่จัดผ้าห่มคลำท้องของไท่ฮูหยิน การคลำครั้งนี้ทำให้เฉียวเวยเกิดข้อสันนิษฐานอันกล้าหาญอย่างยิ่ง…ไท่ฮูหยินไม่เป็นเนื้องอกขนาดใหญ่ในช่องท้อง ก็เป็นภาวะทารกเป็นหิน!

มิว่ากรณีไหนล้วนต้องผ่าตัดทันที มิฉะนั้นนางอาจมีอันตรายถึงชีวิต

“อะไรนะ เจ้าจะใช้มีดกับร่างกายแม่ข้า!” นายท่านหกที่อยู่ในลานเต้นผางดั่งถูกสายฟ้าฟาด!

เฉียวเวยไม่มีสีหน้าเล่นๆ เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ใบหน้ามีแต่สีหน้าเคร่งขรึม “สิ่งที่อยู่ในท้องของนางกำลังเป็นอันตรายต่อชีวิตนาง หากปล่อยไปเช่นนี้มิสนใจ จะเลวร้ายลงง่ายดายยิ่ง อีกอย่างหนึ่งที่นางเจ็บปวดเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะของสิ่งนั้นเคลื่อนตำแหน่งจนไปกดทับอวัยวะอื่นหรือไม่”

“พูดจาเหลวไหล มารดาข้ากำลังให้กำเนิดบุตร!” มารดาของเขาตั้งครรภ์เทพ มันต้องเป็นอย่างนั้น!

เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ชีพจรของมารดาท่านมิใช่ชีพจรมงคล หากท่านไม่เชื่อไปหาหมอที่ไม่รู้จักมาสักสองสามคน พอพบหน้าอย่าบอกผู้อื่นว่ามารดาท่านตั้งท้องอยู่ แล้วท่านก็คลุมปิดท้องเอาไว้ ลองดูซิว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไร!”

คำพูดนี้ทำให้นายท่านหกดวงตานิ่งงัน เพราะไม่จำเป็นต้องให้เฉียวเวยบอก ตัวเขาเองก็เคยหาคนมาพิสูจน์แล้ว มีคนบอกว่ามิใช่ชีพจรมงคลจริง แต่ตัวเขากับมารดาเลือกจะเชื่อหมอที่บอกว่ามันคือชีพจรมงคล

เฉียวเวยเอ่ยต่อ “นายท่านหก หากท่านยังไม่เชื่อก็เข้าไปถามมารดาของท่านดูว่าสิบปีมานี้ครรภ์เทพในท้องของนางเคยขยับสักครั้งหรือไม่ แล้วทุกเดือนนางมีระดูมาหรือไม่”

นายท่านหกเรียกซุนมามาออกมา

ซุนมามาตอบว่า “ขยับสิ ไฉนจะไม่ขยับเล่า ระดูหรือ ระดูก็มาอยู่นะ แต่หลายปีนี้ไม่มีแล้ว คงเป็นผลจากยาบำรุงครรภ์ ดังนั้นจึงไม่มีเลือดไหลแล้ว”

ยังจะยาบำรุงครรภ์อะไรอีก ระดูหมดแล้วชัดๆ เลยไม่มีระดูแล้ว ส่วนเรื่องที่ท้องขยับ แปดส่วนคงเป็นไท่ฮูหยินจินตนาการไปเอง

สีหน้าของนายท่านหกเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว

เฉียวเวยถอนหายใจ “ข้าจะพูดเท่านี้ ทำอย่างไรก็แล้วแต่นายท่านหก แต่ข้าขอเตือนท่านสักคำ นั่นคือมารดาของท่าน มิใช่มารดาของข้า หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นมา ผู้ที่โศกเศร้าย่อมเป็นท่าน ท่านต้องคิดให้ดี มารดามีเพียงคนเดียว เสียไปย่อมไม่มีอีกแล้ว”

ความจริงแล้วในใจนายท่านหกสงสัยเรื่องนี้มาตลอด แต่ไม่มีผู้ใดเจาะกระดาษหน้าต่างบางๆ ที่ปิดกั้นความคิดให้เขา ทุกประโยคของเฉียวเวยราวกับมีดเป็นประกายคมกริบเล่มหนึ่งกรีดทะลุกระดาษหน้าต่างชั้นนั้นจนขาดกระจุย

เขามองเฉียวเวยด้วยสีหน้าสับสน “เจ้า…รักษาโรคได้หรือ เจ้าเป็นสตรี”

เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “สตรีแล้วอย่างไร สตรีรักษาโรคมิได้หรือ”

นั่นก็มิใช่ ตอนเขายังเยาว์วัยเคยป่วยหนักอยู่ครั้งหนึ่งแล้วไปขอให้หอหลิงจือรักษา หมอหญิงคนหนึ่งเป็นผู้ตรวจอาการให้เขา หมอผู้นั้นปิดหน้าด้วยผ้าแพร สวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อน งดงามดั่งเทพเซียน จนเขามิอาจเกิดความคิดหยาบโลนด้วยแม้แต่น้อย

วิชาแพทย์ของหมอหญิงผู้นั้นล้ำเลิศยิ่งนัก คุณธรรมของผู้เป็นหมอก็ยอดเยี่ยม ยามนั้นเขายากจนข้นแค้น แม้แต่เงินสักแดงก็ควักออกมามิได้ แต่หมอหญิงคนนั้นก็รักษาโรคของเขาจนหายดีแล้วปล่อยเขาจากมา

ต่อมาเขามีอำนาจแล้วจึงกลับไปหอหลิงจือตามหาหมอหญิงเพื่อจ่ายค่ารักษาย้อนหลัง แต่กลับได้รู้ว่าหมอหญิงจากโลกนี้ไปแล้ว

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ เขาล้วนทอดถอนใจ

เพราะมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว นายท่านหกจึงยอมรับเรื่องที่สตรีเป็นหมอได้ง่ายกว่าคนทั่วไปมาก “เจ้ามั่นใจหรือไม่”

เฉียวเวยเอ่ยตามเนื้อผ้า “การผ่าตัดล้วนมีความเสี่ยง ข้ามิอาจรับประกันได้ว่าจะสำเร็จร้อยทั้งร้อย แต่ก็มั่นใจอยู่ห้าส่วน หากท่านยอมแพ้การรักษา แม้แต่ห้าส่วนนี้ก็ไม่มีแล้ว”

นายท่านหกมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึมเย็นชา “หากเจ้ารักษาแม่ข้าสำเร็จ ข้าไม่เพียงจะปล่อยเจ้าไป แต่ยังจะโขกศีรษะขอขมาเจ้าด้วย แต่หากเจ้าทำนางตาย เจ้าก็รอลงสุสานเป็นเพื่อนแม่ข้าได้เลย!”

เฉียวเวยสีหน้าเย็นชาเช่นกัน “ก็เพราะท่านนิสัยเสียเช่นนี้ หมอพวกนั้นถึงไม่ยอมกล่าวความจริงกับท่าน จนโรคของแม่ท่านยื้อแล้วยื้ออีก ยื้อมาสิบปี! ตอนนี้ท่านยังกล้ามาขู่ข้าอีกหรือ ไม่กลัวข้ามือสั่นผ่าแม่ท่านผิดที่หรือไร!”

“เจ้ากล้า?”

“นี่ไม่ใช่ปัญหาว่ากล้าหรือไม่กล้า ล้วนเป็นเพราะถูกท่านข่มขู่!”

“เจ้า…” นายท่านหกสะอึก

เฉียวเวยเอ่ยเสียงราบเรียบ “ส่งคนไปที่ร้านเหล็กของน้องชายข้า ข้าสั่งของไว้ที่นั่น จำเป็นต้องใช้ในการผ่าตัด แล้วก็เอากระดาษกับพู่กันมาด้วย”

นายท่านหกส่งสายตาให้สาวใช้อายุมากคนหนึ่ง นางจึงเดินเข้าไปในห้องหนังสือแล้วหยิบเครื่องเขียนทั้งสี่แห่งห้องหนังสือออกมา เฉียวเวยสะบัดพู่กันเขียนเทียบยาหลายชนิด

ยุคโบราณไม่มียาสลบ ได้แต่ใช้น้ำแกงหมาฝู[1]แทน ยาที่ต้องใช้ในการห้ามเลือดกับรักษาอาการหลังผ่าตัด รวมไปถึงสุราฤทธิ์แรงสำหรับฆ่าเชื้อต่างๆ จะขาดสักสิ่งมิได้

นายท่านหกจัดการได้มีประสิทธิภาพยิ่งนัก เขานำมีดผ่าตัดที่เฉียวเวยสั่งทำกับหลัวหย่งเหนียนกลับมาก่อนเป็นอย่างแรกอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็นำยาสมุนไพรเหล่านั้นกลับมาด้วย

เฉียวเวยให้คนไปต้มน้ำแกงหมาฝูก่อน จากนั้นจึงป้อนให้ไท่ฮูหยิน

หลังจากไท่ฮูหยินดื่มก็เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันอย่างรวดเร็ว

[1]น้ำแกงหมาฝู น้ำแกงที่ผสมสมุนไพรหลายชนิดเพื่อให้คนไข้ที่ดื่มเกิดอาการชา