ตอนที่ 1,594 : ไอหนุ่มหน้าขาว

นับว่าฉากเรื่องราวที่เห็นตำตานี้ทำให้ซือถูหังเลอะเลือนแล้วจริงๆ

แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอย ผู้ที่รั้งอยู่ในอันดับ 23 ของนายนามนภา ยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งประเทศฝูเฟิง กลับโผเข้าอ้อมกอดของต้วนหลิงเทียนแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูอย่างที่ไม่มีใครคิดใครฝัน!

สวรรค์!

ผู้ใดสามารถบอกมันได้บ้าง นี่มันอะไรกันแน่!?

‘หากจะวัดกันด้านความหล่อแล้ว..ถึงแม้ว่าข้าจะด้อยกว่าท่านปรมาจารย์ต้วนเพียงเล็กน้อย แต่ก็มิได้แย่อันใดนี่นา…’

ซือถูหังลอบบ่นในใจ

แน่นอนว่ามันย่อมทำได้แค่กล่าวในใจไม่กล้ากล่าวออกมา อันที่จริงจากที่มันเห็น ท่าทางแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยกับปรมาจารย์ต้วนแขกกิติมศักดิ์ของตระกูลซือถูมันสมควรรู้จักกันมาก่อน…

หาไม่แล้วไหนเลยแม่นางเฟิ่งคนนี้จะเปิดผ้าคลุมหน้าท่ามกลางผู้คนแบบนี้ได้

“เทียนหวู่”

ในแววตาคมกล้าของต้วนหลิงเทียนบัดนี้มีเพียงภาพเฟิ่งเทียนหวู่ที่สะท้อนอยู่ เขากระชับวงแขนกอดร่างเฟิ่งเทียนหวู่เอาไว้แนบแน่น ยังลูบหลังศีรษะนางอย่างแผ่วเบาอ่อนโยนเป็นที่สุด ใจยังสงบลงคล้ายล่องเรือมาพบท่า

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ต้องยอมรับ ว่าในใจเขามีเฟิ่งเทียนหวู่แล้ว

บางทีตอนแรกเขาอาจไม่ได้มองเฟิ่งเทียนหวู่ในเชิงชู้สาวอะไร

อย่างไรก็ตามเฟิ่งเทียนหวู่กลับยินดีทำเพื่อเขาถึงขั้นตัวตายไม่เสียดาย นั่นทำให้นางมาประทับอยู่ในใจเขาอย่างไม่รู้ตัว

ใจเขาก็ทำมาจากเลือดเนื้อไม่ใช่ตอไม้ไร้ความรู้สึก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เฟิ่งเทียนหวู่หายตัวไป เขาก็ได้พยายามตามหาและทำทุกทางเพื่อหาข่าวของนาง

ส่วนหนึ่งที่เขามายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็เพราะคิดตามหาเฟิ่งเทียนหวู่

อย่างไรก็ตามเขาไม่พบเบาะแสของนางเลย

ทว่ากลับไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าการมาประเทศฝูเฟิงครั้งนี้เพื่อตามหาศิษย์พี่อย่างป๋ายลี่หง กลับทำให้เขาได้พบเจอเฟิ่งเทียนหวู่!

และเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆก็คือ เฟิ่งเทียนหวู่กลับเป็นถึง แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอย ที่มีนามกระเดื่องเลื่องลือไปทั่วประเทศฝูเฟิง กระทั่งมีชื่อเสียงมิใช่ชั่วในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน!

ก่อนหน้านี้แม้เฟิ่งเทียนหวู่จะไม่ได้เลิกผ้าคลุมหน้าออก แต่เขาก็จดจำนางได้ตั้งแต่แรกเห็น!

เพราะเฟิ่งเทียนหวู่ในวันนี้ กลับเหมือนกันกับเฟิ่งเทียนหวู่ในวันวานที่เขาได้พบครั้งยังอยู่เมืองหงส์ฟ้าจักรวรรดิศิลาทมิฬ!

“พี่ใหญ่ต้วน”

ไม่สนใจสายตานับหมื่นพันที่จ้องมาอย่างอื้ออึง เฟิ่งเทียนหวู่กอดร่างต้วนหลิงเทียนไว้แน่น ฝังหัวลงอกแกร่งอีกฝ่าย คล้ายกลัวร่างเบื้องหน้าจะเลือนลับหายไปดั่งหมอกควัน…

จังหวะนี้เสมือนในโลกหล้าไร้อื่นใด คงเหลือไว้เพียงพี่ใหญ่ต้วนของนางแต่เพียงผู้เดียว

ยังไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่กลับปรากฏหยาดน้ำตาอันท่วมท้นไปด้วยมวลอารมณ์สองสายหลั่งรินลงมารดแก้มกระจ่าง

“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน! ใช่ข้าฝันไปหรือไม่!? บ้าไปแล้ว! ไฉนแม่นางฟ้าของข้าพเจ้ากลับโผตัวเข้าอ้อมอกแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูเช่นนั้นเล่า!!”

ไม่นานศิษย์บุรุษของนิกายอัคคีล่องลอยก็เริ่มรู้สึกอิจฉาจนตาเขียว พวกมันพอกันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้าย ปานอยากจะสลับร่างกับต้วนหลิงเทียนให้ได้อย่างไรอย่างนั้น

เหล่าอาวุโสของนิกายอัคคีล่องลอยเองก็ตะลึงงันไปไม่ต่าง

แม่นางเฟิ่งของพวกมัน ปกติแล้วทั้งหมดรู้สึกเสมือนนางเป็นโฉมงามน้ำแข็งไร้อารมณ์ นอกเหนือจากตัวประมุขนิกายแล้ว นางไม่เคยคิดจะสุงสิงกับผู้ใด วาจาที่กล่าวกับผู้อื่นยังนับคำได้

อย่างไรก็ตามวันนี้พอได้พบพานกับ ท่านต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ไม่เพียงแต่นางกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงโหยหา ยังโผร่างเข้าอ้อมอกอีกฝ่ายคล้ายดรุณีน้อยที่ตกอยู่ในห้วงรักเมื่อแลเห็นบุรุษในฝัน!

“มันคือบุรุษที่อยู่ในใจเทียนหวู่หรือ?”

ประมุขนิกายอัคคีล่องลอยขมวดคิ้ว ศิษย์ของนางนั้นหมกมุ่นอยู่กับการเดินทางกลับไปยังทวีปเมฆาล่อง และบางเวลาก็ชอบยิ้มโง่งมใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ในฐานะสตรีที่มีประสบการณ์ไหนเลยยังไม่รู้ได้ว่าศิษย์นางกำลังคิดถึงบุรุษในใจ

และนางก็คาดไว้แล้วว่าบุรุษของนางสมควรอยู่ที่ทวีปเมฆาล่องนั่น!

ในเรื่องนี้นางไม่ได้คิดแทรกแซงเข้ามายุ่งวุ่นวาย เพราะรู้ดีว่าสำหรับสตรีแล้วเงื่อนใดล้วนคลี่คลายได้ หากแต่บ่วงรักยากจะแก้ ในเมื่อศิษย์นางมีใจให้ผู้อื่นแล้ว…ต่อให้นางคิดห้ามก็ป่วยการ!

นอกจากนี้นางยังเชื่อมั่นนัก ว่าบุรุษที่ศิษย์นางมีใจให้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

ถึงแม้คนผู้นั้นจะมาจากทวีปมนุษย์ก็ตาม!

อย่างไรก็ตามเรื่องที่นางคิดไม่ถึงจริงๆเลยก็คือ บุรุษของศิษย์นางที่แท้กลับเป็น แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูเสียได้ “นี่มันจะบังเอิยเกินไปหน่อยหรือไม่ จากท่าทีเจ้าหนุ่มนั่นดูก็รู้ว่ามันเองก็มิล่วงรู้มาก่อนว่าเทียนหวู่อยู่ที่นี่…ข้ามิเคยเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตอันใด แต่ตอนนี้ดูท่าไม่เชื่อคงไม่ได้…”

พรหมลิขิต แม้เป็นนามธรรมไม่อาจจับต้อง หากแต่ดำรงอยู่จริง

ดั่งเช่นต้วนหลิงเทียนกับเฟิ่งเทียนหวู่

แม้ทั้งคู่จะอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอันกว้างใหญ่ไพศาล ทว่ากลับมาพบพานกันได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คงเป็นพรหมลิขิตที่ดลบันดาลให้ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันแน่แท้!

“เอ่อ…”

ผู้คนจากขุมพลังทั้งหลายที่มานิกายอัคคีล่องลอยเพื่อชมดูการประลอง ต่างเผยความตะลึงลานไม่เข้าใจ

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!?”

พวกมันตกตะลึงด้วยไม่เข้าใจแล้วจริงๆ ว่าตอนนี้มันกำลังเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!

แม้นางเฟิ่ง ศิษย์นิกายอัคคีล่องลอย ผู้ที่ได้อันดับที่ 23 ในรายนามนภา ทั้งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในประเทศฝูเฟิง ว่าเป็นยอดฝีมือรุ่นย์เยาว์อันดับ 1 กลับรู้จักมักคุ้นกับแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ท่านต้วน?

ไม่ใช่แค่นั้น ท่าทางความสัมพันธ์ยังไม่ใช่ธรรมดา!

“ยามที่ทั้งคู่พบเห็นกับอีกฝ่าย ทั้งสีหน้าแววตาท่าทางอันเต็มไปด้วยอารมร์นั่น เสมือนคู่รักที่พรัดพรากจากกันหลายปีแล้วได้มาพบกันอีกครั้งมิมีผิด…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าทั้งคู่มิรู้มาก่อนจริงๆ?”

ผู้คนจากขุมพลังต่างๆเริ่มสนทนาคาดเดากันไปเรื่อย

“เช่นนั้นใช่ทั้งคู่ถูกพรหมลิขิตบันดาลชักพาให้มาเจอกันอีกครั้งหรือไม่?”

หลายคนเริ่มกระซิบถึงเรื่องนี้

“ให้ตายเถอะ ข้าว่านัดหมายประลองวันนี้คงล่มไม่เป็นท่าแล้ว…คู่รักที่ไหนจะสู้กันเล่า!”

หลายคนที่ตระหนักถึงเรื่องนี้เริ่มส่ายหัวไปมา

“เทียนหวู่ไฉนเจ้าอยู่ที่นี่ได้!”

“พี่ใหญ่ต้วนไฉนท่านมาที่นี่ได้?”

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หากแต่ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับเฟิ่งเทียนหวู่ก็คล้ายดึงสติกลับเข้าร่าง ต่างคนต่างกล่าวถามออกมาอย่างพร้อมเพรียง

ครู่หนึ่งต่างอดไม่ได้ที่จะตะลึง ก่อนที่จะส่งยิ้มให้กัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟิ่งเทียนหวู่ ใบหน้าสะคราญงามล่มเมืองของนางยามนี้เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อปานแอปเปิลแดงสุก พาลให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะจุ๊ปากด้วยความขัดใจ

เสียงจุ๊ปากดังกล่าวทำให้เฟิ่งเทียนหวู่พลันได้สติขึ้นมา ไม่นานบทสนทนาจากผู้คนรอบๆเริ่มดังเข้าหู

ครู่ต่อมานางก็ชะงักไป ค่อยมองต้วนหลิงเทียนด้วยความประหลาดใจ “พี่ใหญ่ต้วน…ท่านคือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูหรือ?”

“ใช่”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับค่อยเผยยิ้มแห้งๆ “เทียนหวู่ ข้าไม่คิดเลยว่าที่แท้เจ้าจะเป็นแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย…หากไม่ใช่เพราะข้าพยายามตามหาเจ้าเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ…ข้าคงคิดว่าโลกใบนี้มันแคบนักจริงๆ…”

หลังได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน เฟิ่งเทียนหวู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวาบหวามในใจ

ที่แท้พี่ใหญ่ต้วนของนางก็คอยตามหานางอยู่เสมอ

เฟิ่งเทียนหวู่ย่อมสัมผัสได้ถึงสายตายากจะเชื่อโดยรอบ หากแต่ตอนนี้นางไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น

ในสายตาของนางผู้อื่นจะคิดจะว่าอย่างไรล้วนไร้สำคัญ

นางอยากทำอะไรก็ทำไม่จำเป็นต้องขอความเห็นใคร!

ทันใดนั้นเองเฟิ่งเทียนหวู่ก็หันกลับมาว่ายตามองไปยังกลุ่มอาวุโสสของนิกายอัคคีล่องลอย กระทั่งมองสบตากับประมุขอย่างสื่ออวิ๋น “ท่านอาจารย์ การประลองวันนี้ข้ายอมแพ้”

ยอมแพ้!

เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวออกมาโดยไม่ได้ระงับเสียงอะไร ทำให้ทุกคนได้ยินกันถ้วนหน้า

จังหวะนี้มีหลายต่อหลายคนที่ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะต่างก็เดาไว้แล้วว่าสมควรเป็นอีหร็อบนี้

อย่างไรก็ตามยังมีเสียงโห่ออกมาด้วยความไม่พอใจ และผู้ที่ส่งเสียงดังกล่าวก็เป็นเหล่าชายหนุ่มเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ชายของนิกายอัคคีล่องลอยหรือบุรุษหนุ่มจากขุมพลังต่างๆที่หลงใหลในความงามของเฟิ่งเทียนหวู่

“ข้าล่ะมิอยากจะเชื่อจริงๆ ว่าแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ที่แท้ก็แค่บุรุษที่เกาะผู้หญิงกินคนหนึ่ง!”

ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งโพล่งดังขึ้นมา และเสียงที่ดังขึ้นมานี้ยังทำให้ผู้คนมากมายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น!

เจ้าของเสียงไม่ใช่ใครที่ไหน กลับเป็นชายชราจากนิกายคงเฉิน ไป๋หยิน!

มันย่อมไม่พลาดโอกาสเล่นงานต้วนหลิงเทียน!

“เทียนหวู่ ข้าเคารพการตัดสินใจของเจ้า”

ถึงแม้ประมุขนิกายอัคคีล่องลอยจะบังเกิดความไม่พอใจอยู่บ้าง เพราะการยอมรับความพ่ายแพ้ของเฟิ่งเทียนหวู่ย่อมส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงนิกายอัคคีล่องลอยไม่มากก็น้อย หากแต่นางรู้ดีว่าเรื่องอะไรยังพอบังคับได้ แต่เรื่องของหัวใจไม่อาจบีบคั้น เช่นนั้นแล้วนางจึงได้แต่เลือกเคารพการตัดสินใจของเฟิ่งเทียนหวู่ และไม่คิดเข้าไปก้าวก่าย

อย่างไรเสียวาจาเจตนาหาเรื่องของเฒ่าชราไป๋หยินจากนิกายคงเฉิน ก็ทำให้นางอดไปหันมองต้วนหลิงเทียนเสียไม่ได้

นางอยากรู้นักว่าบุรุษที่ศิษย์นางมอบหัวใจให้ จะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร

เพราะสุดท้ายแล้ววาจาของชายชราจากนิกายคงเฉิน ก็เสมือนดูหมิ่นศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของต้วนหลิงเทียน!

“เจ้าลองกล่าวอีกที!”

ใบหน้าเฟิ่งเทียนหวู่คล้ายจะฉาบคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งทันใด ยังจับจ้องไปยังชายชราไป๋หยินของนิกายเฉินคงด้วยสายตาเย็นเยียบ พาลให้มันอดตัวสั่นไปเสียไม่ได้…

บางทีตอนนี้เฟิ่งเทียนหวู่อาจไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรสำหรับมัน

หากแต่พรสวรรค์ของเฟิ่งเทียนหวู่กลับทำให้มันหวาดกลัว!

วันนี้เฟิ่งเทียนหวู่อาจเทียบมันไม่ได้…แต่นางจะใช้เวลาอีกกี่ปีกัน?

ความก้าวหน้าของเฟิ่งเทียนหวู่ เป็นอะไรที่ผู้คนในประเทศฝูเฟิงรับทราบกันดี นางใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้นในการไต่อันดับในรายนามนภาจนมาถึงอันดับที่ 23!

ตอนนี้แม้เฟิ่งเทียนหวู่ยังไม่ได้ทะลวงขอบเขตเซียน แต่น่ากลัวว่าพลังฝีมือของนางคงสูงพอจะเบียดเข้าไปอยู่ 10 อันดับแรกในรายนามนภาได้ไม่ยาก!

ตัวตนเช่นนั้น วันใดที่ทะลวงไปถึงขอบเขตเซียน ต้องกลายเป็นตัวตนที่มีพลังอำนาจครอบงำมันได้ทันที!

เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เพียงขอบเขตเซียนทั่วๆไปเท่านั้น

เช่นนั้นแล้วพอเผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาถามมาเสียงเย็นของเฟิ่งเทียนหวู่ มันจึงไม่กล้ากล่าวอะไรสืบต่อแม้ครึ่งคำ!

ในสายตาของมันไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสื่ออวิ๋นประมุขนิกายอัคคีล่องลอยที่มันไม่อาจเทียบได้ด้วยซ้ำ กระทั่งเฟิ่งเทียนหวู่เองก็ไม่ใช่คนที่มันจะตอแยด้วยได้…

เพราะเผลอๆในเวลาอีกแค่ไม่กี่ปี เฟิ่งเทียนหวู่ก็มีพลังฝีมือสูงพอจะบดขยี้มันแล้ว!

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม วาจาเปิดประเด็นนี้ของไป๋หยินจากนิกายคงเฉิน ก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบเวทีประลองเปลี่ยนไปทันใด ผู้คนมากกว่า 9 ส่วนล้วนหันไปจับจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแปลกๆ คล้ายต้วนหลิงเทียนจะเป็น ‘ไอหนุ่มหน้าขาว’ ที่ต้องพึ่งพาบารมีสตรีแล้วจริงๆ

เนื่องจากวาจาและท่าทีเย็นเยียบที่เฟิ่งเทียนหวู่มองถามไป๋หยินจากนิกายคงเฉิน จึงทำให้ไม่มีผู้ใดหาญกล้ากล่าวแซวอะไรต้วนหลิงเทียนในเรื่องนี้ออกมา

หากแต่สายตาของพวกมันนั้นไม่ได้ถูกจำกัด

พวกมันต่างมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย้ยเยาะ คล้ายอยากจะรู้นักว่าต้วนหลิงเทียนจะทำอย่างไร!

ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ต้วนหลิงเทียนเพียงปรายตามองไปรอบๆอย่างไร้แยแสรอบหนึ่ง ค่อยหันไปยิ้มกล่าวกับเฟิ่งเทียนหวู่ “เทียนหวู่ การประลองวันนี้เจ้าไม่ต้องยอมแพ้หรอก…ไหนๆพวกเราก็ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว ให้พี่ใหญ่ต้วนชมดูฝีมือเจ้าหน่อยว่าก้าวหน้าไปถึงขนาดไหนแล้ว…”