เทือกเขาทมิฬ เป็นเทือกเขาที่ทอดยาวในฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปซากัส อาณาเขตทางทิศเหนือติดกับป่าเอลฟ์ ทางตะวันตกเป็นทะเลอันกว้างใหญ่ ฝั่งตะวันออกคือทุ่งราบที่อุดมสมบูรณ์ยิ่ง ส่วนทางใต้ทอดยาวไปสู่ทะเลทรายมรณะ…
ชื่อของเทือกเขานี้ มีที่มาจากการที่มีหินแวววาวสีดำขลับที่กระจัดกระจายไปทั่วอาณาเขต ทำให้เห็นเป็นสีดำบริเวณยอดเขา
ด้วยดินแห้งแตกระแหงและความลาดชัน ทำให้เทือกเขาทมิฬขาดความอุดมสมบูรณ์ มีเพียงพุ่มหญ้าทนแล้งและสัตว์ป่าไม่กี่ชนิดที่ยังพออยู่อาศัยในดินแดนนี้ได้
เมื่อนานมาแล้ว เทือกเขาทมิฬไม่ใช่ดินแดนรกร้างเหมือนในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เคยเปี่ยมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและมีความงดงามเหมือนกับป่าเอลฟ์ มันเคยมีกระทั่งชื่อที่สวยงามในอดีตว่า เทือกเขามรกต
แต่ภายหลังจากสงครามแห่งเทพ ผืนฟ้าถูกฉีกออก แผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง ทุกอย่างได้พังทลายลง
สภาพแวดล้อมของเทือกทมิฬเขาในเวลานี้จึงมีความทรุดโทรมในระดับที่ใกล้เคียงกับทะเลทรายมรณะ
แทบไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาในเทือกเขานี้ …หากไม่นับกองคาราวานที่จำเป็นต้องข้ามทางผ่านบนเทือกเขา และบรรดาคนแคระกับเหล่ามนุษย์ที่มาเสาะหาสายแร่อันมีค่า
..
– หุบเขาแห่งหนึ่ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาทมิฬ –
ในส่วนลึกของหุบเขา ปรากฏกลุ่มบ้านหินกระจัดกระจายคล้ายดาวบนผืนฟ้ายามราตรี รวมกลุ่มกันเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
แม้บ้านเหล่านี้จะสร้างขึ้นมาอย่างเรียบ ๆ แต่ทุกหลังล้วนสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีดอกไม้และพุ่มหญ้าอยู่บริเวณรอบ บ่งบอกได้อย่างดีว่าผู้เป็นเจ้าของมีความรักในธรรมชาติ… ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างประหลาดในเทือกเขาทมิฬ
ในบริเวณใจกลางหมู่บ้าน มีเวทีที่สร้างด้วยหินและรากไม้ตั้งอยู่ในจัตุรัสขนาดเล็ก
ด้านล่างเวทีดังกล่าว มีผู้อยู่อาศัยของหมู่บ้านกว่า 200 ชีวิตรวมตัวกันอยู่โดยรอบ บ้างก็เด็ก บ้างก็ชรา พวกเขาอยู่ในชุดผ้าคลุมลินินที่ปกปิดรูปลักษณ์ภายนอกไว้มิดชิด ร่างกายดูผอมแห้งและปราศจากเรี่ยวแรง จนผู้ที่พบเห็นจะบอกได้ทันทีว่าพวกเขาผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด
ใบหูเรียวแหลมและรูปร่างงดงามที่พอจะเห็นผ่านชุดได้ลาง ๆ ล้วนบ่งบอกอัตลักษณ์ของพวกเขาได้เป็นอย่างดี – พวกเขาคือเอลฟ์
เอลฟ์ส่วนใหญ่นั่งจับกลุ่มกันสองถึงสามตน สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังเวทีเบื้องหน้าด้วยความสงสัย
บนเวทีนั้น มีเอลฟ์ชราสองตนยืนเคียงข้างกันอยู่
เอลฟ์ตนหนึ่งอยู่ในชุดพิธีกรรมสีเทา เส้นผมและเคราของเขาเป็นสีขาวโพลน ทว่าร่างกายของเขากลับดูเปล่งปลั่งไปด้วยด้วยพลังชีวิต เขาคือนักบวชชรา ซามีร์ เกล ผู้ออกเดินทางเพื่อแสวงหาสหายร่วมเผ่าพันธุ์ตามคำสั่งของเทพธิดา
เอลฟ์อีกตนหนึ่งคือหญิงชรานามว่า โฟลซิล เฟลม ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านและสหายเก่าแก่ของซามีร์
หญิงชราชำเลืองไปทางซามีร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พลางถอนหายใจ
“ซามีร์ ข้าเรียกเอลฟ์ทุกตนมารวมตัวกันตามที่ท่านขอแล้ว ท่านมีประเด็นอะไรรึ?”
ซามีร์กวาดตามองเหล่าเอลฟ์จำนวนกว่า 200 ตนที่รวมตัวกันอยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าที่ดูซับซ้อน
“พวกเขาเหล่านี้คือเผ่าเฟลมทั้งหมดที่อาศัยอยู่ที่นี่?”
สายตาของโฟลซิลเหลือบลงต่ำพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันโศกเศร้า
“ใช่ …พวกเขาคือทั้งหมดแล้ว”
“อา… ข้าไม่คิดว่าเผ่าเฟลมที่เคยมีเอลฟ์นับหมื่นจะเหลือสมาชิกน้อยถึงเพียงนี้”
ซามีร์ถอนหายใจด้วยความเศร้าหมอง
ทว่า สถานการณ์ของเผ่าเฟลมยังคงดีกว่าเผ่าเกลที่ไม่พบสมาชิกตนอื่นนอกจากซามีร์และอลิซ
สีหน้าของโฟลซิลดูคลุมเครือเมื่อได้ยินซามีร์กล่าว เธอฝืนยิ้มด้วยใบหน้าที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าการร่ำไห้พลางพูดขึ้น
“พวกเราจะทำอย่างไรได้? หากไร้ซึ่งพรแห่งเทพโบราณ พวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กไร้บ้านที่รอวันถูกทำร้าย… การที่ซ่อนตัวในเทือกเขามรกตได้ก็นับเป็นโชคแล้ว”
ในดินแดนแห่งซากัสที่เต็มไปด้วยเหล่าเทพ สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่ปราศจากพรของเทพประจำเผ่าย่อมพบความยากลำบากจากความขัดแย้งและสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์…
โดยเฉพาะเอลฟ์
รูปลักษณ์ที่สวยงาม อายุขัยที่ยืนยาว ความสามารถทางเวทมนตร์ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้พวกเขาเป็นที่หมายปองของเผ่าพันธุ์อื่นทันทีที่ขาดการคุ้มครองจากเทพ
นอกจากนี้ เอลฟ์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่รักสงบ วางตัวห่างไกลจากความขัดแย้งทางโลก และไม่เคยรุกรานสิ่งใด เผ่าเอลฟ์จึงค่อย ๆ เสื่อมอำนาจหลังถูกรุกรานจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน
พรแห่งเทพโบราณ?
นัยน์ตาของซามีร์เปล่งประกายขึ้นมาโดยพลัน
เขาหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่งดงามพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น
“ที่จริงแล้ว… ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องนั้นแหละ”
“หืม?”
โฟลซิลจ้องมองซามีร์ด้วยความแปลกใจ
ผู้นำเผ่าเฟลมไม่ทันสังเกตว่าสหายเก่าของตนดูจะแตกต่างไปจากภาพในความทรงจำจากอดีต แม้ว่าเธอจะไม่ได้พบซามีร์มาเป็นเวลาหลายปี แต่เขากลับดูมีพละกำลังมากขึ้น และในแววตาของเขายังมีประกายเล็ก ๆ ราวกับเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
ซามีร์ในเวลานี้ดูแตกต่างกับตัวเขาเมื่อหลายปีก่อนเป็นอย่างมาก แววตาที่เคยดูสิ้นหวังและด้านชาของเขาได้หายไปแล้ว
โฟลซิลจ้องซามีร์อย่างจดจ่อ
เผ่าเกลเป็นกลุ่มชนที่พิเศษที่สุดในบรรดาเอลฟ์ทุกชนเผ่า พวกเขามีหน้าที่บวงสรวงแด่พระมารดาแห่งธรรมชาติ และมีสมญานามว่าชนเผ่าแห่งนักบวช
พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากการล่มสลายของมหาพฤกษา
ซามีร์เป็นผู้อาวุโสของเผ่า เขาจึงได้สัมผัสทั้งช่วงเวลาที่เป็นยุคทอง และช่วงเวลาที่เผ่าเกลถึงคราวล่มสลาย… ทุก ๆ ครั้งที่โฟลซิลมีโอกาสพบเจอซามีร์ เธอจะพบความโศกเศร้าและสิ้นหวังแฝงอยู่ในแววตาของอีฟฝ่ายเสมอมา
ถ้าโฟลซิลจำไม่ผิด ซามีร์น่าจะอาศัยอยู่ในบริเวณป่าเอลฟ์กับนักบุญแห่งธรรมชาติอีกรูปหนึ่ง ซึ่งพวกเขาได้สวดภาวนาเสมอมาด้วยความหวังว่าเทพธิดาจะตื่นขึ้นในสักวัน…
แต่ตอนนี้…
โฟลซิลประเมินรูปลักษณ์ภายนอกของซามีร์ เธอพบว่าผิวพรรณของเขาเต็มไปด้วยความผ่องใส เช่นเดียวกับแววตาที่เปล่งประกายแห่งความหวัง…
เป็นไปได้ไหมว่า…
หัวใจของโฟลซิลพลันเต้นแรงเป็นครั้งแรกในระยะเวลาหลายปี
“นี่ท่าน…”
เสียงของโฟลซิลสั่นเครือ เธอจับจ้องซามีร์ราวกับกำลังใคร่ครวญและคาดหวังในบางอย่าง
ซามีร์เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับสหายเก่าแก่ พร้อมกางแขนของตนออก… ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา เป็นแสงที่เต็มไปด้วยพลังในการปลอบโยน และกลิ่นอายแห่งธรรมชาติ
แสงที่เปล่งประกายออกมาซามีร์ทำให้เขาดูราวกับผู้เป็นที่รักของธรรมชาติ พลังแห่งธรรมชาติแผ่กระจายไปทั่วบริเวณจัตุรัสอย่างรวดเร็ว…
ดวงตาของโฟลซิลเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึงเมื่อเธอสัมผัสได้ถึงพลังแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่จากร่างกายของนักบวชชรา
“ระดับเงิน… นักบวชระดับเงิน!”
นักบวชระดับเงิน!
หลังจากที่พระมารดาจากไป มันมานานแค่ไหนแล้วที่ข้าได้เห็นนักบวชที่มีระดับสูงเช่นนี้?
ระดับเงินคือเขตแดนที่จะข้ามไปได้ด้วยพลังจากเทพเท่านั้น!
โฟลซิลสัมผัสได้ถึงหัวใจของตนที่เต้นแรงราวกับได้หวนคืนสู่วัยเยาว์ การคาดเดาของเธอดูจะตรงกับความเป็นจริงอยู่หลายส่วน!
“นี่คือ… นี่…”
เอลฟ์ชราพึมพำ เธอไม่สามารถพูดให้จบประโยคได้
แสงศักดิ์สิทธิ์ดึงดูดความสนใจจากบรรดาเอลฟ์ที่อยู่ในบริเวณนั้น สายตาของเอลฟ์ทุกตนต่างมองมาที่เอลฟ์ชราบนเวทีด้วยความตื่นเต้นและความสงสัย
ซามีร์คลี่ยิ้มเมื่อเห็นเหล่าเอลฟ์ต่างจับจ้องมาที่ตน
เขาหันหน้าไปทางทิศเหนือพลางวาดสัญลักษณ์แห่งธรรมชาติในระดับอก ก่อนจะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน ทว่าแฝงไปด้วยความทรงพลัง
“สหายข้า องค์พระมารดาของพวกเราได้กลับมาแล้ว… ท่านมีพระบัญชาให้พวกเรากลับไปที่ป่าเอลฟ์ และนำพาความรุ่งเรืองของพวกเรากลับคืนมา!”
สิ้นประโยคดังกล่าว เขานำใบไม้สีทองใบหนึ่งออกมา มันคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างด้วยพลังของอีฟ – ใบไม้ของมหาพฤกษา
ซามีร์ชูใบมหาพฤกษา ก่อนจะปลุกอำนาจศักดิ์สิทธิ์ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเคารพ
ในวินาทีนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งธรรมชาติพลันกระจายไปทั่วบริเวณ ต้นไม้นานาพรรณต่างเจริญงอกงามขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสถึงพลังอันเข้มข้น โดยรอบจัตุรัสถูกเปลี่ยนสภาพให้เป็นพื้นที่เขียวชอุ่มภายในระยะเวลาเพียงพริบตาเดียว
เหล่าเอลฟ์ล้วนตกตะลึงเมื่อเห็นภาพอันอัศจรรย์ตรงหน้า
“พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งธรรมชาติ! สิ่งนี้คือพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งธรรมชาติ!!”
เอลฟ์ชราจำนวนหนึ่งจดจำรูปแบบพลังนี้ได้ พวกเขาต่างร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เสียงที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์พลันดังขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์
“ลูกเอ๋ย กลับบ้านเถิด”
ลูกเอ๋ย กลับบ้านเถิด…
เสียงนี้เต็มไปด้วยความสง่างามและความนุ่มนวล… สวยงาม แต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้า ความโหยหา ความผันผวนอันไม่รู้จบของชีวิต เป็นเสียงที่ปลอบประโลมจิตใจของผู้ฟังให้สงบลง
นี่คือพระบัญชาที่อีฟบันทึกไว้ในใบไม้ของมหาพฤกษา
ในวินาทีนั้น บรรดาเอลฟ์ต่างรู้สึกถึงพลังอันอบอุ่นที่ไหล่บ่าเข้ามาในร่างกายที่ทรุดโทรมจากการเผชิญกับความยากลำบากมาเป็นเวลานาน พละกำลังของพวกเขาพลันฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว!
โฟลซิลทรุดตัวลงบนพื้น หยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาขุ่นมัวเมื่อเธอได้เห็นพลังที่แผ่ออกมาจากใบของมหาพฤกษา สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความแปลกใจและความเศร้าโศกเหลือคณา
“พระมารดา… สิ่งนี้คือพลังของพระมารดา!”
“พระมารดากลับมาแล้ว!!”
…
…
_ .. _ .. _ .. _ .. _ .. _
T/N: ตอนแปลมีน้ำตาตกไปรอบนึงค่ะ
…
ถั่วน้อยเคลียร์งานเสร็จแล้วค่าาา
…
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project: https://book.qidian.com/info/1016509432
_ .. _ .. _ .. _ .. _ .. _