บทที่ 235 กอด ๆ

บทที่ 235 กอด ๆ

พอลู่เฉินคิดถึงเพื่อนทุกคนที่เขามีอยู่ก็พบว่าถ้าไม่ใช่คนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนอย่างไป๋เสิ่นเฉียว ก็มีแต่พวกที่ไม่ชอบผูกมัด มีผู้หญิงรายล้อมแต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของหัวใจ

เขาหมดหนทางจริง ๆ จึงทำได้เพียงเข้าโต่วอินเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง

และแล้วก็เจอวิดีโออันหนึ่ง ‘แฟนสาวโกรธจะง้อยังไงดี’ ลู่เฉินมองไปยังประตูห้องนอนของซูโย่วอี๋อย่างอึดอัดเล็กน้อย และเขาก็เดินมายังห้องครัวและกดดูวิดีโอ

วิดีโอไม่ยาวมากนักประมาณหนึ่งนาที เขาจึงดูจบอย่างรวดเร็ว

ความคิดของลู่เฉินเริ่มทำงานในทันที เขาสรุปจุดสำคัญมาได้สามข้ออย่างรวดเร็ว

ข้อที่หนึ่ง ในขณะที่แฟนสาวกำลังมีอารมณ์อ่อนไหว ให้รออยู่นิ่ง ๆ อย่าเติมเชื้อไฟเพื่อจุดชนวนความขัดแย้ง

ลู่เฉินพยักหน้า ตอนนี้ทั้งสองคนแยกที่กันอยู่ พอดีกับที่ได้ให้เวลาเธอสงบจิตสงบใจ

ข้อที่สอง ง้อเธอ พาเธออกไปเดินเล่นซื้อเสื้อผ้า กินของอร่อย ๆ มอบดอกไม้ให้และอื่น ๆ

ลู่เฉินกดหยุดวิดีโอและโทรศัพท์หาผู้ช่วย

“ช่วยสั่งดอกกุหลาบ 999 ดอกให้ผมหน่อย”

“แล้วซื้อกระเป๋า Hermès รุ่นลิมิเต็ดมาด้วย”

“ซื้อตุ๊กตาที่ได้รับความนิยม.oช่วงนี้จากอินเตอร์เน็ตมาด้วยหนึ่งตัว”

“จองโต๊ะที่โรงแรมเซิ่งชิงเฟิงด้วยล่ะ”

จนผู้ช่วยถามอย่างสงสัย “[ประธานลู่ ของขวัญพวกนี้จะให้ส่งไปที่ร้านอาหารหรือว่ายังไงดีคะ?]”

ลู่เฉินขมวดคิ้ว ถ้าเกิดว่าซูโย่วอี๋ไม่ยอมออกจากบ้านไปกินข้าว ของขวัญที่ถูกเตรียมเอาไว้จะเสียเปล่า

“ส่งมาที่บ้านแล้วกัน”

ผู้ช่วยตอบรับในทันที “[ได้ค่ะ]”

“[มีอะไรอีกมั้ยคะ?]”

“ส่งมาก่อนห้าโมงเย็น”

รีบขนาดนั้นเลยเหรอ?

หลังผู้ช่วยสาววางสายไป เธอก็เริ่มจากการสั่งดอกไม้ก่อน และตามด้วยการจัดการเรื่องง่าย ๆ อย่างการจองโต๊ะ หลังจากนั้นก็ติดต่อไปหาห้างหรูรายใหญ่ในกรุงปักกิ่งเพื่อสั่งซื้อกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดในนามของประธานลู่

เพียงแต่ว่ามันช่างบังเอิญ กระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดของ Hermès ขายหมดแล้ว และตอนนี้ในประเทศจีนไม่มีสินค้าเหลืออยู่เลย

ผู้ช่วยรีบติดต่อไปยังแบรนด์หรูอื่น ๆ เพื่อรีบเตรียมของขวัญทั้งหมดให้พร้อมแล้วส่งไปยังเป่ยสืออี้ผิงก่อนห้าโมงเย็น

พอลู่เฉินเปิดประตูรับของต่าง ๆ มา

ผู้ช่วยมองเข้ามาในห้องด้วยความสงสัย “ประธานลู่จะเซอร์ไพรส์คุณซูเหรอคะ?”

“อืม” เขาตอบอย่างแผ่วเบา

หลังจากนั้นก็ปิดประตูลง

ผู้ช่วยลูบที่จมูกของตัวเอง ตอนนี้ประธานลู่ดูเหมือนผู้ชายที่กำลังมีความรักไม่มีผิด

ลู่เฉินหยิบช่อดอกกุหลาบขนาดใหญ่วางไว้บนโต๊ะกินข้าว เขาพบว่ามันดู… เกะกะขวางทางไปนิด จึงได้เปิดดูตามในอินเตอร์เน็ตและแบ่งดอกกุหลาบออกเป็นสามช่อ ช่อหนึ่งเอาไปใส่ไว้ในตู้เย็นจนเต็ม

อีกช่อหนึ่งเอาใส่ไว้ในแจกันดอกไม้ ส่วนช่อที่เหลือและตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่วางอยู่ที่ประตูห้องนอนของซูโย่วอี๋

ในห้องนอน

ซูโย่วอี๋คิดว่าตัวเองอกหัก นั่นทำให้เธอนอนไม่หลับ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการนอนร้องไห้อยู่บนเตียงได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ทำให้เธอเหนื่อยเสียแล้ว

เธอจึงได้นอนหลับไป

ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดไปหมด

เธอลุกขึ้นพร้อมกับมองไปยังห้องที่ว่างเปล่าก่อนจะถอนหายใจออกมา อารมณ์ของเธอในตอนนี้ดีกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว

เธอสงสัยตัวเองมากว่าก่อนหน้านี้ที่เธออ่อนแอจนร้องไห้ออกมาเป็นเพียงเพราะว่าเธอนอนไม่พอเท่านั้นหรือเปล่า

และเธอก็เริ่มคิดทบทวนกับตัวเองว่าเธอทำตัวงี่เง่าไปเองหรือเปล่า

เธอสวมรองเท้าแตะและเปิดประตูออก แต่ด้านนอกนั้นสว่างมาก ๆ

มีตุ๊กตาหมีถือดอกกุหลาบช่อใหญ่ไว้ในอ้อมแขน

ส่วนลู่เฉินยืนมองเธออยู่ไม่ไกล เขามีผ้ากันเปื้อนสีชมพูผูกอยู่รอบเอว

อะไรเนี่ย?

ลู่เฉินกำลังง้อเธอเหรอ?

เมื่อนึกถึงครั้งแรกตอนที่ได้พบกับคน ๆ นี้ เธอพูดได้เลยว่าไม่ได้สนใจเขาสักนิด

ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้

ซูโย่วอี๋จงใจทำหน้าจริงจังและไม่สนใจเขา เธอย่อตัวลงกอดช่อดอกกุหลาบและตุ๊กตาขึ้นมา และนั่งลงบนโซฟา

สายตาของลู่เฉินจับจ้องไปยังเธอ “คุณยังโกรธอยู่เหรอ?”

ไม่มีสัญญาณตอบรับ

ลู่เฉินนึกถึงคำแนะนำข้อที่สามในโต่วอิน อดทนและใจเย็น บางครั้งเธอก็ทำตัวเหมือนเด็ก แต่รุ่งอรุณแห่งชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ลู่เฉินรู้สึกสับสนมาก

ทำตัวเหมือนเด็ก?

ความยากระดับนี้ไม่ธรรมดาเลยสำหรับเขา

เมื่อครึ่งปีก่อนเขายังพูดกับเพื่อนอยู่เลยว่าบนโลกใบนี้คนที่สามารถกำราบเขาได้ยังไม่เกิดมา!

ผลที่ตามมาช่างไวเสียจริง

ซูโย่วอี๋แกล้งทำเป็นมองดอกไม้ แต่หางตากลับแอบเหลือบมองลู่เฉิน ในใจก็คิดว่าคน ๆ นี้จะให้ของขวัญทั้งทีไม่คิดจะพูดอะไรเลยเหรอ?

มีที่ไหน พอมาถึงก็ถามว่ายังโกรธอยู่หรือเปล่า

ผู้หญิงก็ควรต้องเล่นตัวหน่อยไม่ใช่หรือไง?

ในขณะที่เธอกำลังคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย ลู่เฉินนั่งลงข้าง ๆ เธอและเอื้อมมือไปคว้าแขนเสื้อของเธอ “เจ้าแมวจอมขี้เกียจ”

พูดจบก็รู้สึกว่าน้ำเสียงที่ดูเคร่งขรึมเล็กน้อยของตัวเองก็ค่อย ๆ อ่อนลง “เจ้าแมวจอมขี้เกียจ… กอด ๆ”

และครั้งนี้มีคำท้ายเสียงอยู่นิดหน่อย

ซูโย่วอี๋รู้สึกสับสน

คนที่อยู่ข้าง ๆ เธอตอนนี้เป็นใคร?

หรือว่าถูกผีเข้าสิงไปแล้ว?

คนที่ดูเย็นชาไม่ชอบเข้าใกล้ใคร ไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า เป็นเหมือนพื้นดินที่ไม่มีหญ้าขึ้น เหมือนหิมะโปรยปรายที่ถูกแช่แข็งนับพันลี้ คนคนนั้นหายไปไหน?

การแสดงออกที่เย็นชาของเธออ่อนลงในสายตาของลู่เฉิน

ตัวเขาเองก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้ว จึงก้มหัวลงไปที่คอของซูโย่วอี๋ “อย่าโกรธเลยนะ ผมไม่ดีเอง”

ผมของลู่เฉินค่อนข้างแข็ง พอไถไปโดนคอของเธอเลยรู้สึกเจ็บเล็กน้อย

แต่ในใจของซูโย่วอี๋กลับอ่อนลงราวกับกำลังแช่ตัวอยู่ในน้ำอุ่น

“ลู่เฉิน คุณอย่าทำแบบนี้สิ”

มันทำให้ฉันทนไม่ไหว

ลู่เฉินหยุดการเคลื่อนไหวและจ้องมองไปยังซูโย่วอี๋ “ยังโกรธอยู่ไหม?”

ซูโย่วอี๋ยกยิ้มขึ้นและจุ๊บลงไปที่ปากของเขา “ไม่โกรธแล้ว”

ลู่เฉินถอนหายใจออกมา

“อ่า ฉันไม่โกรธเพราะมีเงื่อนไขต่างหาก อย่าคิดว่าจะง้อฉันได้ง่าย ๆ นะ”

“คุณว่ามาเลย ผมรับปากคุณทุกอย่างเลย”

ซูโย่วอี๋ได้ใจขึ้นมา “จริงเหรอ?”

“อืม”

ลู่เฉินตระหนักแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าความยากลำบากของความรัก

มันเปรียบได้กับการวางแผนการตลาด ที่ต้องใช้ทั้งแรงใจ แรงกาย และสมอง

มันเหมือนกันไม่มีผิด

“แต่ก่อนอื่น ไปเปลี่ยนชุดก่อน ผมจะพาไปกินข้าว”

ซูโย่วอี๋ทำจมูกฟุดฟิด “คุณทำแล้วนี่ กินที่บ้านนี่แหละ ฉันไม่อยากขยับตัวไปไหนเลย”

บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยกลิ่นต้นหอมสับ

ลู่เฉินไม่มีทางเลือก “ผมต้มโจ๊กเอาไว้”

“ฉันอยากกิน”

ทั้งสองคนจัดถ้วยและตะเกียบด้วยกัน มีเพียงโจ๊กจืด ๆ อยู่ตรงหน้า

ซูโย่วอี๋นึกถึงเครื่องเคียงที่ไป๋เสิ่นเฉียวทำให้เธอ แต่เพราะตอนบ่ายเธอมัวแต่ทะเลาะกับลู่เฉิน เธอเลยลืมหยิบมา

ขอให้อย่าเสียเลย เครื่องเคียงพวกนั้นมีมูลค่ามากนะ!

เธอรีบไปเปิดตู้เย็นและหยิบกล่องแช่อาหารออกมา

ลู่เฉินเห็นก็รู้ทันทีว่าต้องเป็นผลงานของเสิ่นเฉียว สิ่งที่เธอหยิบออกมาบนกล่องล้วนมีโลโก้ของคุณปู่เฉียวติดอยู่

“คุณดูเข้ากับเธอได้ดีนะ”

นี่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นการยืนยัน

ซูโย่วอี๋เปิดฝากล่องและพูดไปด้วย “ฉันชอบเสิ่นเฉียวมาก ๆ เลย แล้วฉันก็รู้ว่าเธอเองก็ชอบฉันมากเหมือนกัน พวกเราเข้ากันได้ดีมาก”

สุนัขจิ้งจอกเรียกขึ้น [ฉันด้วย เข้ากันได้ดีทั้งสามฝ่ายสิ?]

สามฝ่าย?

ซูโย่วอี๋เม้มริมฝีปาก เพราะฝ่ายนี้ดูวุ่นวายไม่น้อย

ลู่เฉินตักโจ๊กหนึ่งถ้วยให้เธอ รอจนกินไปได้สักพักเขาก็วางตะเกียบลง “โย่วอี๋ ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคุณถึงสนใจเรื่องแฟนเก่ามากขนาดนี้”

ดีที่ซูโย่วอี๋อารมณ์เย็นลงแล้ว พอได้ยินคำว่าแฟนเก่าอีกครั้ง แม้ว่าในใจจะรู้สึกเจ็บหน่อย ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้อารมณ์เสีย

ยังดีที่เธอสามารถระงับความกังวลในใจไปได้ พร้อมเผชิญหน้ากับความรักของลู่เฉินในอดีตอย่างกล้าหาญ “พูดเรื่องเธอให้ฉันฟังหน่อย ฉันอยากรู้”

“มันผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงแล้วล่ะ”

ซูโย่วอี๋จ้องมองไปที่เขา “ผ่านไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาก่อนนี่”

สายตาของลู่เฉินเต็มไปด้วยความอึดอัด “ผมแค่กลัวว่าถ้าคุณได้ฟังแล้วจะไม่มีความสุข”

“งั้นคุณก็ควรทำดีกับเธอหน่อยนะ”

ซูโย่วอี๋กลืนโจ๊กเข้าไปเต็มปาก แต่ในใจก็รู้สึกเศร้า

ไม่มีทางเลือก คนที่มาที่หลังยังไงก็ต้องเจอกับเรื่องราวแบบนี้ จะให้ทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ได้ แต่จะสนใจมากเกินไปก็ไม่ได้เหมือนกัน

อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นอดีตของเขา

อ่านต่อ