ตอนที่ 267 เรื่องของหนวดเครา

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 267 เรื่องของหนวดเครา

ตอนที่ 267 เรื่องของหนวดเครา

หลินเซี่ยรู้สึกเหมือนสมองของเธอกำลังจะระเบิดเมื่อคิดถึงสิ่งนี้

ในความเป็นจริงแล้วมันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดเซี่ยไห่กับเซี่ยหลานก็รู้จักกัน ส่วนเสิ่นอวี้อิ๋งก็ทำตัวเหมือนแมลงวันมองสิ่งปฏิกูล ตราบใดที่มีคนให้ความสนใจหล่อน หล่อนก็จะกระตือรือร้นที่จะยึดติดอยู่กับพวกเขา

ชาติที่แล้วเธอพยายามหลีกเลี่ยงเฉินเจียเหอ ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้เจอกับเซี่ยไห่

อีกทั้งธุรกิจส่วนตัวของเซี่ยไห่ก่อนหน้านี้ก็มุ่งเน้นตีตลาดที่เชินเฉิงเป็นหลัก

พอมาชาตินี้ เนื่องจากประสบการณ์ชีวิตของเธอถูกเปิดเผย ทำให้เธอมีความสัมพันธ์กับเซี่ยไห่ในฐานะอาหลาน อีกทั้งครอบครัวของเซี่ยไห่ก็กำลังจะย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่อย่างถาวร

เฉินเจียเหอสังเกตเห็นว่าหลินเซี่ยชะลอความเร็วในการกินลง อีกทั้งแววตาก็หมองลงราวกับว่ากำลังคิดฟุ้งซ่าน เขาจึงถามเบา ๆ “เซี่ยเซี่ย เป็นอะไรหรือเปล่า?”

หลินเซี่ยสลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไปและส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”

เซี่ยไห่ผลักจานอาหารไปทางหลินเซี่ยอย่างเอาใจใส่ “กินของพวกนี้เร็วเข้า วันนี้ฉันสั่งอาหารจานหรูทุกอย่างในร้านมาเป็นพิเศษ กินให้เต็มที่ ไว้ฉันค่อยห่อของที่หู่จือชอบกลับไปฝากเขาทีหลัง”

ถังหลิงที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะกับหลินจินซานและแขกคนอื่น ๆ เอาแต่ทำตัวแข็งทื่อตลอดเวลา แม้ว่าบรรยากาศรอบโต๊ะอาหารจะเป็นไปอย่างดีมาก ทุกคนต่างก็พูดคุยกันอย่างออกรสและกินข้าวด้วยความเอร็ดอร่อย แต่หล่อนกลับไม่สามารถทำตัวให้กลมกลืนไปกับพวกเขาได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าหล่อนไม่ได้อยากจะกลมกลืนด้วย

หล่อนรู้สึกว่าการที่ตัวเองถูกจัดให้มานั่งร่วมกับคนเหล่านี้ ถือเป็นการดูถูกเหยียดหยามในตัวตนของหล่อน

ใบหน้าของหล่อนเผยรอยยิ้มแข็งกระด้างตลอดเวลา ได้แต่เงี่ยหูฟังเซี่ยไห่และคนอื่น ๆ พูดคุยกัน

เมื่อได้ยินพวกเขาให้คำปรึกษาแนะนำกับสหายน้องชายของกลุ่มอย่างจริงใจ ทั้งยังมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องอาชีพที่น่าสนใจมากมาย หล่อนก็ยิ่งอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแวดวงนั้นจริง ๆ

ประกายแวววาวพาดผ่านดวงตาของหล่อน

หลังจากนี้หล่อนต้องวางแผนชีวิตอย่างรอบคอบ หากทำผิดครั้งหนึ่ง ก็จะผิดพลาดไปตลอดชีวิต

คราวนี้หล่อนจะต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้

หลังจบมื้ออาหารแสนพิเศษ ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานบราวนี่ออนไลน์

ถังหลิงอยากปรี่เข้าไปทักทายเซี่ยไห่และบรรดาสหายพี่น้องของเขา แต่พวกเขากลับเดินข้ามถนนกลับไปที่ร้านฝั่งตรงข้ามก่อนที่หล่อนจะไล่ตามทัน

เซี่ยไห่เชื้อเชิญลู่เจิ้งอวี่ “มาเถอะ ฉันจะพานายไปสำรวจดูรอบ ๆ ห้องเต้นรำสักหน่อย เผื่อจะช่วยให้นายตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และรู้แผนการในอนาคตของฉัน”

ลู่เจิ้งอวี่มองไปที่ฟางจิ้นเป่า ฟางจิ้นเป่าจึงสนับสนุนว่า “เหล่าเซี่ยแนะนำแบบนั้นก็เพราะหวังดีต่อนาย ทุกคนพูดถูก นายยังเด็กควรวางแผนเกี่ยวกับอนาคตอย่างรอบคอบ ต่างจากฉันที่มีภรรยากับลูกที่ต้องคอยเลี้ยงดู ชีวิตของฉันหลังจากนี้คือการทำงานหนักเพื่อหาเงิน และแสวงหาความมั่นคงในอนาคต เพื่อไม่ให้ลูก ๆ ของตัวเองเดือดร้อนลำบาก นายอายุยังน้อย มีความก้าวหน้ามากมายรออยู่ ถ้านายไม่คิดมาเรื่องงานแล้วเปลี่ยนใจมาติดตามเหล่าเซี่ย อีกไม่นานนายต้องหาคู่ครองได้แน่ ปัญหาเรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน”

ฟางจิ้นเป่าเหลือบมองหลินเยี่ยนที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านตัดผมของหลินเซี่ย จากนั้นก็ทำท่าทางบุ้ยใบ้ให้กับลู่เจิ้งอวี่ “นายไม่เห็นเหรอ น้องสาวของหลินเซี่ยหน้าตาใช้ได้ทีเดียว ถ้านายมาทำงานกับเหล่าเซี่ย แถวนี้มีสาว ๆ ตั้งมากมายให้นายเลือก มีโอกาสมากมายเชียวล่ะ”

ลู่เจิ้งอวี่หันมองไปตามสายตาของฟางจิ้นเป่า ทันใดนั้นเองหญิงสาวที่เดินคู่มากับหลินเซี่ยก็บังเอิญหันหน้ามองมาในทิศทางของพวกเขาพอดี

ดวงตาของลู่เจิ้งอวี่สบเข้ากับสายตาหล่อนอย่างจัง ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้น ใบหน้าแดงก่ำก่อนจะก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย

ฟางจิ้นเป่ารู้สึกเสียใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าตรงหน้าแทบไม่ต่างอะไรจากเด็กวัยรุ่นไม่รู้ประสา

ตอนที่เขาอายุได้สิบแปดย่างสิบเก้าปี เขาก็รู้จักขลุกอยู่กับผู้หญิงในกองฟางแล้ว ในขณะลู่เจิ้งอวี่ไม่เคยแม้แต่จะจับมือถือแขนหญิงสาวเลยด้วยซ้ำ

ฟางจิ้นเป่าตบไหล่ลู่เจิ้งอวี่แล้วพูดอย่างจริงใจ

“ย้ายมาทำงานที่ห้องเต้นรำเพื่อเห็นโลกกว้างเถอะ ถ้านายคิดดีแล้วว่าจะติดตามเขา ฉันจะเป็นคนพานายไปคุยกับหัวหน้าหลังจากที่นายตัดสินใจได้เอง”

ลู่เจิ้งอวี่พยักหน้า “ได้ ขอบคุณพี่เป่านะครับ”

เซี่ยไห่พูดว่า “พวกนายทุกคนจะไม่มีใครได้กลับไปไหนทั้งนั้น วันนี้เป็นวันพักผ่อน คืนนี้เรามาสนุกกันเถอะ”

ถังจวิ้นเฟิงส่ายหัวและปฏิเสธ “ฉันคงอยู่ต่อไม่ได้ ยังต้องกลับไปทำงาน เพื่อที่จะมาร่วมพิธีเปิดร้านของนายในเช้าวันนี้ ฉันต้องไปขอแลกเวรกับเพื่อนร่วมงานอีกคนมา เย็นนี้เลื่อนเวลาออกไปไม่ได้แล้ว”

“นี่เพิ่งจะกี่โมงเอง? นายเข้ากะช่วงกลางคืนไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ยังไม่ทันจะบ่ายเลยด้วยซ้ำ”

เฉินเจียเหอพูดกับลู่เจิ้งอวี่ “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เจิ้งอวี่ นายเข้าไปให้พี่สะใภ้ตัดผมสักหน่อยสิ ฉันเห็นว่าผมนายเริ่มยาวรุงรังแล้ว อากาศเริ่มอุ่นขึ้นทุกที ตัดผมให้สั้นลงหน่อยจะช่วยให้รู้สึกสบายหัวขึ้น”

ลู่เจิ้งอวี่มองดูป้ายร้านตัดผมที่สะดุดตา แล้วพยักหน้า “ได้สิ”

ฟางจิ้นเป่าลูบผมแข็ง ๆ ที่แทงนิ้วเหมือนหนามของตัวเอง ก่อนจะพูดว่า “ฉันก็อยากตัดเหมือนกัน อยากโกนหัวทีเดียวไปเลย ไม่อย่างนั้นพอกลับไปทำงานอีกครั้งคงนานกว่าจะได้ตัดอีกรอบ”

วันนี้หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนไม่ต้องกลับไปเตรียมแป้ง พวกหล่อนจึงไม่มีอะไรทำ และมารวมตัวกันอยู่ในร้านของหลินเซี่ย

เมื่อเห็นว่าสหายพี่น้องของเฉินเจียเหอเดินเข้ามา หลิวกุ้ยอิงก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

น้ำเสียงของเซี่ยไห่ทั้งสนิทสนมและเป็นมิตร “พี่อิงจื่อ นั่งลงเถอะครับ ปล่อยพวกเราอยู่กันเอง”

หลิวกุ้ยอิงยังคงเสียสละเก้าอี้นั่งให้พวกเขา “พวกเธอนั่งก่อนสิ”

เมื่อได้ยินเซี่ยไห่เรียกหลิวกุ้ยอิงว่าพี่ ฟางจิ้นเป่าก็บ่นทันทีว่า “เหล่าเซี่ย เมื่อไหร่นายจะเลิกนิสัยนับลำดับญาติไปเรื่อยซะที? หล่อนเป็นแม่ของลูกน้องนาย แถมยังเป็นแม่ยายของเจียเหออีกด้วย เหมาะสมไหมที่จะเรียกหล่อนว่าพี่สาว? ถึงหล่อนจะยังไม่แก่มาก แต่ก็ควรเรียกโดยอิงตามลำดับญาติหรือเปล่า?”

เซี่ยไห่หัวเราะเยาะ “เหล่าฟาง นายก็อายุสี่สิบเหมือนกัน งั้นนายลองเรียกพี่อิงจื่อว่าป้าดูสิ? คิดว่ามันเหมาะสมหรือเปล่าล่ะ?”

“ฉัน…”

ฟางจิ้นเป่าลูบหัวตัวเองและแสดงสีหน้าลำบากใจ

อันที่จริงแม่ยายของเฉินเจียเหอมีอายุใกล้เคียงกันกับเขา ถ้าว่ากันด้วยเรื่องวัยแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเรียกหล่อนว่าป้าได้จริง ๆ นั่นแหละ

ฟางจิ้นเป่าจึงไม่รู้ว่าควรจะเรียกหลิวกุ้ยอิงว่าอะไรดี เขามองหล่อนแล้วคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า “คุณคงเห็นแล้วว่าต้องโทษเจียเหอที่ทำให้เรื่องยุ่งยากวุ่นวาย เขานับพวกเราเป็น ‘เพื่อน’ ไปหมด”

หลิวกุ้ยอิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ คุณสามารถเรียกฉันว่าอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ ขอแค่เป็นอันเข้าใจว่าหมายถึงฉัน ดังนั้นรีบนั่งลงเร็วเข้า”

ฟางจิ้นเป่าพูดด้วยเสียงอันดังว่า “น้องสะใภ้ เจิ้งอวี่กับฉันผมเผ้าหนวดเครารุงรัง ช่วยตัดเล็มให้พวกเราด้วย เจิ้งอวี่อยู่ในวัยที่ควรหาคู่ครอง เธอต้องออกแบบทรงผมให้เขาดูหล่อที่สุด ส่วนฉันแค่โกนให้ดูเรียบร้อยก็พอแล้ว ฉันไม่อยากให้ภรรยาที่รักต้องลำบากใจเวลาออกไปข้างนอก ถ้าโกนหัวแล้วมันอาจจะช่วยกลบความหล่อเหลาของฉันไว้ได้นิดหน่อย”

ทุกคน “!!!”

เซี่ยไห่มองเขาด้วยสายตารังเกียจ “พระเจ้าช่วย นายไม่รู้สึกกระดากอายในความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตอนพูดแบบนี้ออกมาเลยหรือไง? พูดมาได้ว่าตัวเองหล่อเหลา นายไม่เคยส่องกระจกดูหน้าตัวเองหรือยังไงกัน?”

ถังจวิ้นเฟิงเห็นด้วยกับเขา “ฮ่าๆ พูดได้ดี นับวันเหล่าฟางยิ่งมีความถ่อมตัวน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว เขาคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนอู่ซง(1) แต่ที่แท้เขาเหมือนหลู่จื้อเซิน(2)ต่างหาก”

เซี่ยไห่ลากเขาไปส่องกระจก “นี่ ส่องกระจกซะ คิดว่าตัวเองน่ากลัวไหม?”

ฟางจิ้นเป่ามองดูใบหน้าที่ยังไม่ได้โกนหนวดเคราของตัวเองในกระจก ทันใดนั้นก็รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย “เหล่าเซี่ย เจียเหอ นายต่างหากที่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สมัยพวกเราเข้าร่วมกองทัพแรก ๆ ตอนนั้นฉันหน้าตาดีจะตายไป ตอนนี้ฉันแค่ไม่ได้แต่งตัวดี ๆ เท่านั้นเอง ถ้าเอาจริงขึ้นมาฉันก็เป็นคนหล่อคนหนึ่งเหมือนกัน”

เซี่ยไห่เยาะเย้ยเบา ๆ “คนเก่งจะไม่บอกว่าตัวเองเก่ง ย้อนกลับไปตอนนั้นฉันก็เป็นอันดับหนึ่งในไห่เฉิงเหมือนกัน”

เฉินเจียเหอคิดสักครู่แล้วพูดว่า “ฉันลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนนายหน้าตาเป็นยังไง”

ฟางจิ้นเป่ารู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้ จึงได้แต่เบะปากแล้วนั่งลง

หลินเซี่ยมองไปทางพวกผู้ใหญ่ที่เถียงกันเหมือนเด็ก ๆ อย่างพูดไม่ออก ก่อนที่เธอจะพูดกับลู่เจิ้งอวี่ว่า “เจิ้งอวี่ เดี๋ยวชุนฟางจะสระผมให้นายก่อน แล้วฉันค่อยตัดผมให้นะ”

“ครับ”

จากนั้นหลินเซี่ยก็เริ่มตัดผมให้กับลู่เจิ้งอวี่ ในขณะที่สหายพี่น้องนั่งดูสลับกับทะเลาะวิวาทและคุยโม้ถึงเรื่องในอดีต

…………………………………………………………………………………………………………………………

อู่ซง 武松 หรือบู๊สง ตัวละครในเรื่องซ้องกั๋ง เป็นนายโจรคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญมาก รูปลักษณ์ของอู่ซงนั้นสูงใหญ่หกฟุต หล่อเหลาสง่างาม

หลู่จื้อเซิน 鲁智深 ตัวละครในเรื่องซ้องกั๋งเช่นเดียวกัน เป็นดาวสวรรค์อันดับสิบสาม ฉายา ‘ดาวสวรรค์โดดเดี่ยว’ บุคลิกหน้ากลม หูใหญ่ ตาโปน หนวดเคราหนาดก ปากกว้าง พูดจาโผงผางเสียงดัง

สารจากผู้แปล

เจิ้งอวี่เจอคนที่ใช่หรือยังนะ

ไม่ต้องเถียงกันค่ะหนุ่มๆ ผ่านกรรไกรเซี่ยเซี่ยเมื่อไหร่ก็จะหล่อดูดีกันหมดทุกคนเอง

ไหหม่า(海馬)