ตอนที่ 274 สภาพค่อนข้างดี(1)

ตอนที่ 274 สภาพค่อนข้างดี(1)

เมื่อเห็นฉินมู่หลานตอบตกลงด้วยท่าทางดูมั่นใจเช่นนี้ เหลียงถงก็รู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อย หลายวันนี้สมองของเขาตึงเครียดมาตลอด ไม่มีช่วงให้ผ่อนคลายเลย แต่พอทราบว่าอาการของภรรยาเริ่มมีความหวังในการรักษา เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย

“หมอฉิน ถ้าอย่างนั้นต้องขอรบกวนคุณแล้วครับ เดี๋ยวผมจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม แล้วจะมาหาคุณอีกครั้ง”

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “ค่ะ พวกคุณไม่สุภาพเกินไปหรอก เพราะพวกคุณเป็นอาจารย์ของเคอวั่ง เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นอาจารย์ของฉันไปด้วยครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องสุภาพมากหรอกค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหลียงถงก็อดยกยิ้มไมได้ พลางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ฉันเองก็จะไม่พูดอะไรมากแล้ว”

โจวเหยียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็หัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว เคอวั่งเป็นศิษย์ของเหล่าเหลียงแล้ว เพราะฉะนั้นจากนี้ไปพวกเราถือเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเราก็จะพูดจาไม่สุภาพกับเธออีกแล้วนะ”

แต่หลังจากพูด หล่อนก็ยังคงเอ่ยขอบคุณอยู่อีก “มู่หลาน โชคดีจังเลยที่มีเธออยู่ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รู้เลยว่าร่างกายของตัวเองมีบางอย่างผิดปกติ”

“คุณป้า ฉันบอกไปแล้วว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันไงคะ”

“ตกลง ๆ ฉันไม่พูดแล้ว” โจวเหยียนหัวเราะฮ่า ๆ แล้วหยุดพูดลง

หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันอยู่อีกหลายประโยค ก่อนที่เหลียงถงกับภรรยาของเขาจะกลับไป

เจี่ยงสือเหิงไปส่งพวกเขาที่หน้าประตู ขณะเดียวกันก็เอ่ยพูดเรื่องที่จะให้การช่วยเหลือด้วย

เหลียงถงตบบ่าเจี่ยงสือเหิงก่อนจะเอ่ย “สือเหิง ครั้งนี้ต้องขอบคุณนายมากเลยนะ ถ้านายไม่ได้พาเคอวั่งมาพบพวกเรา พวกเราก็คงไม่ได้เจอมู่หลาน ต่อไปถ้าฉันคงต้องการพึ่งพาความช่วยเหลือจากนาย ถึงตอนนั้นจะติดต่อไปหานายนะ”

“ได้ ถึงเวลามีเรื่องอะไรก็มาหาฉันได้”

หลังจากที่เหลียงถงกับโจวเหยียนไปแล้ว เจี่ยงสือเหิงก็หันหลังกลับเข้าบ้าน เมื่อเห็นฉินมู่หลาน ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “มู่หลาน ลูกยังเก่งเหมือนเดิมเลย ตอนแรกเหล่าเหลียงไม่ไว้ใจลูก แต่สุดท้ายก็มาหาลูกจนได้”

“ฉันก็แค่บังเอิญรู้ค่ะ”

เจี่ยงสือเหิงอดไม่ได้ที่จะพูด “ลูกยอดเยี่ยมมาตลอดอยู่แล้ว” ในสายตาของเขา ฉินมู่หลานเป็นลูกสาวที่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมไปเสียทุกอย่าง

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะทันที

จากนั้น เจี่ยงสือเหิงก็ได้พูดคุยกับฉินเจี้ยนเซ่อเกี่ยวกับงานฉลองเทศกาลโคมไฟ “เจี้ยนเซ่อ อีกเดี๋ยวก็จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว คุณกับภรรยาจะกลับไปบ้านเกิดหลังจากเทศกาลโคมไฟใช่ไหม เพราะฉะนั้นช่วงเทศกาลโคมไฟพวกเรามากินข้าวฉลองด้วยกันเถอะ”

ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้น “ได้สิ”

ทว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ได้เอ่ยขึ้น “ผมคงอยู่ฉลองเทศกาลโคมไฟกับทุกคนไม่ได้แล้วครับ เพราะต้องรีบกลับไป พรุ่งนี้ผมต้องออกเดินทางแต่เช้า ตอนแรกว่าจะบอกทุกคนอยู่ แต่ไม่คิดว่าอาจารย์เหลียงกับคนอื่นจะมากะทันหัน เลยเพิ่งมีโอกาสได้บอกตอนนี้น่ะครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็หันมองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถาม “มีภารกิจใหม่อีกแล้วเหรอคะ?”

เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้า “ใช่ เพราะฉะนั้นวันนี้พวกเรามากินอาหารดี ๆ กันเถอะ”

เมื่อได้ยินว่าลูกเขยกำลังจะกลับเข้าฐานทัพแล้ว ซูหว่านอี๋ก็รีบกล่าวขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่ไปดูในครัวหน่อย มื้อเที่ยงนี้เรามากินอาหารดี ๆ กันเถอะ”

ขณะพูดก็หันมองลูกสาวกับลูกเขยอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ส่วนตอนเย็น พวกลูกสองคนก็ไปบ้านตระกูลเหยา แล้วกินข้าวกับพวกนายท่านเหยาแล้วกันนะ”

ได้ยินเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ย “ตกลงค่ะ เราต้องไปกินข้าวกับพวกคุณตาด้วย วันนี้พวกพ่อแม่กับครอบครัวของพี่ใหญ่ก็ไม่ได้มาที่นี่ พวกเราไปที่นั่นกันตอนเย็นก็จะได้ถือโอกาสบอกพวกเขาด้วย”

“ตกลง”

เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้าเห็นด้วยเหมือนปกติ

และซูหว่านอี๋ก็เอ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง “มู่หลาน ตอนเย็นลูกไปกับอาหลี่แค่สองคนก็ได้ ให้เฉินเฉินกับชิงชิงอยู่ที่บ้าน เดี๋ยวพ่อกับแม่ดูแลให้เอง เด็ก ๆ ไม่ควรออกนอกบ้านตอนกหลางค่ำกลางคืน”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพาเจ้าหนูสองคนไปด้วย”

อาหารมื้อเที่ยงนับว่าหรูหราอย่างมาก เพราะถือเป็นการเลี้ยงส่งให้เซี่ยเจ๋อหลี่ล่วงหน้า จนกระทั่งถึงตอนเย็น เซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินมู่หลานจึงออกเดินทางไปบ้านตระกูลเหยา

นายท่านเหยาดีใจมากที่ได้เห็นทั้งสองคน แต่เมื่อเห็นว่าหนูน้อยทั้งสองไม่ได้มาด้วย ก็อดถามไม่ได้ “ทำไมเฉินเฉินกับชิงชิงไม่ได้มาด้วยล่ะ?”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็อธิบาย “คุณตาคะ ตอนนี้มืดแล้ว ฉันก็เลยไม่ได้พาพวกเขาออกมาด้วยค่ะ วันนี้พวกเรามาเพราะอาหลี่จะกลับฐานทัพพรุ่งนี้เช้าแล้ว ก็เลยจะมากินข้าวกับทุกคนค่ะ เพราะเขาจะไม่ได้ร่วมฉลองเทศกาลโคมไฟกับเรา”

“พรุ่งนี้อาหลี่ก็จะออกจากเมืองหลวงแล้วเหรอ?”

นายท่านเหยาหันมองด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้น “พวกเธอรีบเข้ามาเร็ว เย็นนี้ก็ทำของโปรดอาหลี่ให้เยอะหน่อย”

เหยาจิ้งจือก็ทราบแล้วว่าลูกชายคนเล็กจะกลับพรุ่งนี้ จึงเดินตรงไปที่ห้องครัว แล้ววางแผนจะทำของโปรดที่ลูกชายคนเล็กชอบกิน ในขณะที่เซี่ยเหวินปิงหันไปมองแล้วถามเซี่ยเจ๋อหลี่ “อาหลี่ พรุ่งนี้แกออกเดินทางกี่โมง?”

“ออกเดินทางเจ็ดโมงเช้าครับ”

สองพ่อลูกเริ่มพูดคุยกันอย่างช้า ๆ เซี่ยเจ๋อเหว่ยที่อยู่ด้านข้างก็พูดคุยด้วยอยู่หลายประโยคเช่นกัน แต่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าพ่ออยากจะอยู่ตกแต่งบ้าน เขาจึงหันไปมองฉินมู่หลานและถามเธอ “มู่หลาน เธอตัดสินใจให้พวกเราตกแต่งบ้านให้อย่างนั้นเหรอ แล้วถ้าพวกเราทำไม่ดีจะทำยังไงล่ะ?”

แม้เขาจะเคยไปช่วยพ่อสร้างบ้านให้กับคนในหมู่บ้านมาแล้ว แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นบ้านเรือนสี่ประสาน หากพวกเขาตกแต่งได้ไม่ดี เช่นนั้นแล้วบ้านดี ๆ แบบนี้จะไม่เสียหายเอาหรอกเหรอ

ฉินมู่หลานได้ยินก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “พี่ใหญ่ บ้านหลังนั้นมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของพวกพี่แล้วค่ะ แต่ถ้าฉันลองดูสักระยะแล้วเกิดมีความคิดอะไรก็จะบอกพวกพี่ทันที เพราะฉะนั้นพี่ไม่ต้องกังวลมากนักหรอกค่ะ”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดแบบนี้ เซี่ยเจ๋อเหว่ยจึงไม่พูดอะไรอีก

เซี่ยเจ๋อเหว่ยไม่ได้พูดอะไรแล้ว แต่หลี่เสวี่ยเยี่ยนสบโอกาส หันมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “มู่หลาน เธอบอกว่า…พวกเราไม่ต้องกลับ แค่อยู่ที่นี่ก็พอใช่ไหม?”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็หันมองแล้วเอ่ยถามหลี่เสวี่ยเยี่ยน “พี่สะใภ้ แล้วพวกพี่อยากจะอยู่ต่อไหมล่ะคะ?”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนส่ายหัว ก่อนจะเอ่ย “ไม่ได้อยาก เพียงแต่อาเหว่ยต้องอยู่ทำงานก่อสร้างที่นี่ ส่วนฉันก็ต้องกลับไปทำงานที่บ้านเกิด พวกเราสองคนก็เลยมีปากเสียงกันไปรอบหนึ่ง หลังจากนั้นอาเหว่ยก็บอกว่าเขาอยากอยู่ที่เมืองหลวงเพราะต้นตระกูลที่เป็นครอบครัวเดียวของพวกเราก็อยู่ที่นี่ แต่ฉันก็รู้สึกลังเลใจที่จะต้องทิ้งงานของฉันที่เคยทำ ได้ทำงานในโรงงานแล้ว แต่กลับต้องจากบ้านเก่ามา แบบนี้ฉันก็ไม่มีงานทำแล้วสิ”

ฉินมู่หลานได้ยินก็อดพูดไม่ได้ “จริง ๆ แล้วถ้าพี่สะใภ้อยู่ที่เมืองหลวงก็ดีนะคะ เพราะการศึกษาของที่นี่ดี เสี่ยวอวี๋ก็จะได้เรียนร็หลายอย่างได้มากขึ้น ส่วนเรื่องงาน ถึงเวลาก็ขอให้คุณตาช่วยหาก็ได้ค่ะ”

“นี่…จะรบกวนคุณตาเกินไปหรือเปล่า”

“คงจจะไม่ แค่ช่วยหางานง่าย ๆ สักงาน คุณตาจะต้องมีวิธีอยู่แล้ว เดี๋ยวตอนกินข้าวด้วยกันค่อยลองถามคุณตาดูก็ได้ค่ะ”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนรู้สึกซาบซึ้งใจนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ตกลง งั้นเดี๋ยวลองถามคุณตาดู”

ฉินมู่หลานได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางพยักหน้า “พี่สะใภ้ มันไม่สำคัญเลยค่ะถ้าพี่ไม่อยากจากบ้านเก่ามาเพราะด้วยเรื่องการงาน ยังไงพี่ก็หางานที่ปักกิ่งทำได้อยู่แล้ว”

“อื้ม”

ระหว่งรับประทานอาหาร หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

นายท่านเหยาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยกล่าว “ได้ เดี๋ยวฉันจะดูให้ ถ้ามีงานที่เหมาะสมแล้วจะบอกเธอนะ”

เมื่อนายท่านเหยาตอบตกลง สีหน้าของหลี่เสวี่ยเยี่ยนก็เต็มไปด้วยความสุข “จริงเหรอคะ ขอบคุณค่ะคุณตา”

เมื่อเห็นหลี่เสวี่ยเยี่ยนเป็นเช่นนี้ นายท่านเหยาก็ยกยิ้มพลางเอ่ย “เสวี่ยเยี่ยน พวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เธอไม่ต้องทำเหมือนเห็นคนนอกขนาดนั้นหรอก”

“อื้ม”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนยกยิ้มแล้วพยักหน้า

หลังเซี่ยเจ๋อเหว่ยเห็นว่านายท่านเหยายอมตกลงเรื่องนี้ ใบหน้าก็มีความสุขนิดหน่อย เมื่อคืนเขามีปากเสียงกับภรรยานิดหน่อยว่าจะกลับบ้านเกิดได้ไหม หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจ อีกทั้งยังครุ่นคิดว่าควรกลับไปดีไหม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยแล้ว หากคุณตาช่วยหางานให้ภรรยาได้จริง เช่นนั้นพวกเขาก็อยู่ที่เมืองหลวงได้อย่างสบายใจแล้ว

เหยาจิ้งจือก็มองออกเช่นกัน ว่าครอบครัวของลูกชายคนโตอยากอยู่ที่ปักกิ่ง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อยู่ปักกิ่งยังไงก็หางานได้เยอะแยะอยู่แล้วไม่ต้องห่วง แถมเส้นสายคุณตาเยอะอีกต่างหาก

ไหหม่า(海馬)