ภาค-1-จ้วงหยวนแห่งหนานฉู่-บทนำ ตอนที่ 16 สงครามปะทะวาจา ณ หอหมิงเยว่ (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเก้าเดือนเจ็ด เต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยเสด็จกลับ เจ้าแคว้นหารือเรื่องโจมตีสู่ ยามนั้นอัครมหาเสนาบดีซั่งเหวยจวินผลักดันให้โจมตีสู่อย่างแข็งขัน เหล่าขุนนางประชาราษฎร์ทั้งบนล่างล้วนเห็นพ้อง ทว่าเต๋อชินอ๋องค้านหัวชนฝา เจ้าแคว้นจึงนึกลังเล

วันที่สิบห้าเดือนเจ็ด เหลียงหวั่นธิดาบุญธรรมในหลิงอ๋องจัดงานเลี้ยง ณ หอหมิงเยว่ เชิญเต๋อชินอ๋องเสด็จร่วมงาน ผู้ร่วมงานเลี้ยงคนอื่นๆ ได้แก่ อัครมหาเสนาบดีซั่งเหวยจวิน ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนแห่งต้ายง และฉินเจิงทหารกองบัญชาการของฉีอ๋อง

เจียงเจ๋ออยู่ในรายนามผู้ได้รับการเชื้อเชิญเช่นกัน คนรุ่นหลังเห็นดังนี้พานให้นึกฉงน เจียงเจ๋อเป็นเพียงขุนนางผู้น้อย ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงได้รับเชิญร่วมงานที่เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ระดับแว่นแคว้นเช่นนี้ หรือผู้อื่นมีใจคิดไม่ซื่อ ทว่าเมื่อใคร่ครวญข้อเท็จจริงแล้ว เขามิจำเป็นต้องทำเช่นนั้น

หลังงานเลี้ยง เต๋อชินอ๋องเสด็จกลับด้วยความเดือดดาล เจียงเจ๋อตามไปสนทนาความกับเต๋อชินอ๋อง ชินอ๋องจึงสงบลง ต่อมาราชสำนักหารือเรื่องโจมตีแคว้นสู่ เต๋อชินอ๋องสงบคำมิกล่าวความ ข้อเสนอเรื่องโจมตีสู่จึงสำเร็จราบรื่นไปเช่นนี้

บางคนกล่าวว่า เรื่องที่ชินอ๋องไม่คัดค้านการโจมตีสู่ เมื่อสืบความไปถึงต้นตอ ล้วนเป็นความผิดของเจียงเจ๋อ นับเป็นความผิดมหันต์ ทว่าเมื่อขุนนางใต้บัญชาชินอ๋องทราบถึงคำพูดทั้งหมดของเจียงเจ๋อ จึงรู้ถึงใจอันซื่อสัตย์ภักดีของเขา

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ

เต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยกลับมาแล้ว ข้อถกเถียงเรื่องโจมตีแคว้นสู่ที่กำลังคุกรุ่นจึงสงบลงมาก เนื่องจากทันทีที่จ้าวเจวี๋ยกลับมาถึงก็เร่งไปโขกหัวไว้อาลัยเจ้าแคว้นพระองค์ก่อนทันที ยามเจ้าแคว้นพระองค์ก่อนสวรรคต จ้าวเจวี๋ยรักษาการณ์อยู่ด่านหน้าบริเวณชายแดน มิอาจกลับมาร่วมไว้ทุกข์ได้

ตอนนี้สถานการณ์ทางการเมืองในราชสำนักสงบนิ่งแล้ว จ้าวเจวี๋ยเป็นขุนนางคนสำคัญทางการทหาร ข้อถกเถียงเรื่องโจมตีสู่จำเป็นต้องฟังความเห็นของเขา ดังนั้นจึงเรียกตัวเขากลับมาโดยเฉพาะ

เมื่อจ้าวเจวี๋ยร้องไห้ไว้อาลัยเสร็จสิ้นก็เข้าวังไปเข้าเฝ้าเจ้าแคว้น กล่าวคัดค้านเบื้องพระพักตร์อย่างตรงไปตรงมา กลายเป็นอุปสรรคในการโจมตีแคว้นสู่ทันใด จ้าวเจวี๋ยมีบารมีสูงส่งในราชสำนัก ขุนนางหลายคนจึงไม่กล่าวถึงเรื่องโจมตีแคว้นสู่อีก หากแต่พากันไปโน้มน้าวถึงประตูจวน โดยเฉพาะเหล่าอำมาตย์ฝ่ายซั่งเหวยจวิน ทว่าจะอย่างไรเต๋อชินอ๋องก็ไม่ยอม

วันที่สิบห้า เดือนเจ็ด องค์หญิงหมิงเยว่เหลียงหวั่นส่งเทียบเชิญเต๋อชินอ๋องเสด็จเข้าร่วมงานเลี้ยง ขณะเดียวกันก็เชิญฉีอ๋องหลี่เสี่ยนและอัครมหาเสนาบดีซั่งเหวยจวินมาร่วมด้วย ทุกคนล้วนทราบดีว่ามีความหมายอย่างไร

ความจริงเรื่องระหว่างผู้ทรงอิทธิพลที่กุมอำนาจของแว่นแคว้นไว้ในมือเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า แต่เหตุใดข้าจึงถูกนับรวมไปด้วยเล่า

ข้ามองไปยังฉีอ๋องอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ข้าเพิ่งบอกไปว่าข้าเป็นเพียงขุนนางตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงาน ฉีอ๋องถึงกับกล่าวโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีว่า “ทว่าคุณหนูเหลียงเชิญมาร่วมงานเลี้ยงแล้ว เจ้าเป็นคนที่เจ้าแคว้นส่งมารับใช้ข้า ย่อมต้องเข้าร่วมด้วย”

แม้ใจข้าจะปฏิเสธ แต่ยามเมื่อองครักษ์ข้างกายฉีอ๋องใช้สายตาเปี่ยมไอสังหารมองข้า ข้าจึงได้แต่รับปากไป

ผู้ใดกล่าวว่า อย่ายินยอมก้มหัวแก่อำนาจ ท่านก็ลองให้พวกเขามายืนกล่าวคำเหล่านั้นต่อหน้าองครักษ์ที่ผ่านการฆ่าฟันมาอย่างโชกโชนเหล่านี้ดูเถิด

ฉีอ๋องมาถึงเป็นคนที่สอง งานเลี้ยงคราวนี้จัดขึ้นที่หอหมิงเยว่ ตอนนี้อยู่ในช่วงกลางคิมหันตฤดู อากาศร้อนอบอ้าวสุดทานทน บนหอน้อยเปิดแง้มหน้าต่างทั้งหมด วางถังบรรจุน้ำแข็งไว้รอบๆ จึงเย็นสบายขึ้นมาก เหลียงหวั่นสวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ซั่งเหวยจวินสวมชุดคลุมผ้าไหมนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่สองทางซ้ายมือ ถัดจากเขาเป็นบัณฑิตในอาภรณ์ดำผู้หนึ่ง เขาคือเหนียนเยวี๋ยนที่ปรึกษาของซั่งเหวยจวิน เมื่อซั่งเหวยจวินเห็นฉีอ๋องมาถึงแล้วพลันถลาเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ทว่ายามเห็นข้ากลับขมวดคิ้ว

ข้ารีบคว้าโอกาสบอก “ผู้น้อยได้รับราชโองการให้ตามเสด็จฉีอ๋อง ในเมื่อใต้เท้าอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นผู้น้อยขอตัวลา”

ซั่งเหวยจวินเผยรอยยิ้มพึงพอใจ ชื่นชมที่ข้ารู้ความยิ่งนัก ข้าที่นึกว่าแผนการสำเร็จแล้ว กำลังจะเดินลงหอน้อย ฉีอ๋องกลับยิ้มเหี้ยม คว้าแขนข้าไว้พลางเอ่ยเนิบนาบ “ไม่ต้องไป ใต้เท้าซั่ง ในเมื่อเจียงฮั่นหลินเป็นขุนนางที่เจ้าแคว้นส่งมา ทั้งยังเป็นซือตู๋แห่งสำนักฮั่นหลินและอัจฉริยบุคคลแห่งหนานฉู่ของพวกท่าน มิสู้ให้เขาอยู่ฟังที่นี่เป็นอย่างไร”

ซั่งเหวยจวินขมวดคิ้ว สุดท้ายไม่กล้าล่วงเกินฉีอ๋อง ได้แต่มองข้าด้วยสายตาข่มขู่ มิให้ข้าพูดจามากความ

ฉีอ๋องนั่งตำแหน่งแรกทางขวามือ ส่วนคุณชายฉินนั่งถัดจากเขา ข้าได้แต่นั่งลงถัดจากคุณชายฉิน มิอาจนั่งทางซ้ายได้เด็ดขาด เพราะฉีอ๋องเป็นฝ่ายยืนหยัดรั้งให้ข้าอยู่ต่อ

ไม่นานก็มีเสียงหัวเราะกังวานดังแว่วมาจากนอกประตู บุรุษหล่อเหลาสวมอาภรณ์ดั่งอ๋องแห่งแคว้นเดินเข้ามา เนื่องจากหลิงอ๋องเพิ่งสวรรคตไปไม่ถึงหนึ่งปี คนผู้นี้จึงสวมกวานไว้ทุกข์บนศีรษะ เขาคือเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยนั่นเอง

ด้านหลังเขามีคนติดตามสองคน หนึ่งคือบัณฑิตวัยกลางคนในชุดสีเขียว อีกหนึ่งคือนักรบอาภรณ์ดำผู้พกดาบติดกาย

เมื่อข้าเห็นจ้าวเจวี๋ยก็แทบพ่นเสียงร้องออกมา คนผู้นี้คือชายชุดเทาที่ข้าดูดวงให้เขาก่อนเข้าฟังประกาศผลเมื่อปีนั้น หากเขาคือเต๋อชินอ๋อง คาดว่าตอนนั้นเขาต้องไปรักษาการณ์ที่เหิงเจียงและคิดลอบโจมตีโม่หลิงเป็นแน่ มิน่าเล่า ยามนั้นจึงให้ข้าคำนวณชะตาดีร้าย ตอนนั้นข้าบอกเขาไปว่า ‘ในขัดแย้ง นอกมีศัตรูแกร่ง’ ตอนนี้เมื่อตรองดูแล้วช่างเข้ากับสถานการณ์เสียจริง

เต๋อชินอ๋องท่านนี้คือน้องชายของหลิงอ๋อง ทั้งยังเป็นขุนนางคนสำคัญทางการทหาร คิดไม่ถึงว่าข้าถึงกับเคยตรวจดวงชะตาให้เขา ไม่รู้ว่าเขาจะจำข้าได้หรือไม่

สายตาของจ้าวเจวี๋ยกวาดมองทุกคนในห้องทีละคน มิได้หยุดมองบนร่างข้าเป็นพิเศษ เช่นนั้นสมควรไม่มีความทรงจำอันใดเกี่ยวกับข้ากระมัง เพียงแต่คล้ายสงสัยในฐานะของข้าอยู่บ้าง

จ้าวเจวี๋ยนั่งลงตรงตำแหน่งแรกทางซ้ายมือ นักรบผู้นั้นก็เข้ายืนอยู่ด้านหลัง ส่วนบัณฑิตฝ่ายบัญชาการนั่งลงตรงท้ายสุดของฝั่งนั้น เนื่องจากข้าจงใจเว้นระยะห่างจากคุณชายฉินหนึ่งที่ คนผู้นั้นจึงนั่งตรงข้ามข้าพอดี ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน ข้ารีบยิ้มสอพลอ หากแต่คนผู้นั้นกลับใช้แววตาคมกริบมองสำรวจข้า

เมื่อจ้าวเจวี๋ยนั่งลง ไม่นานก็มีสาวใช้ยกชาขึ้นโต๊ะแล้วถอยออกไป เหลียงหวั่นลุกขึ้น ประกาศว่า “ผู้น้อยได้รับคำไหว้วานจากฉีอ๋องและท่านอัครมหาเสนาบดีซั่ง จึงเชิญเต๋อชินอ๋องเสด็จเข้าร่วมงานเลี้ยง แม้ผู้น้อยไม่ควรร่วมเสวนาเรื่องใหญ่ของแว่นแคว้นเช่นเรื่องการทหาร แต่จะอย่างไร ใต้เท้าทั้งหลายย่อมต้องมีคนปฏิบัติรับใช้ ผู้น้อยจึงได้แต่รั้งอยู่ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงต้ายงและหนานฉู่ ผู้น้อยเกิดที่ต้ายง ทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเจ้าแคว้นพระองค์ก่อนของหนานฉู่ ดังนั้นย่อมมิกล้าแพร่งพรายคำพูดใดออกไปแน่นอน”

จ้าวเจวี๋ยยิ้มชืดชา “คุณหนูเหลียงเป็นธิดาบุญธรรมของเจ้าแคว้นพระองค์ก่อน ย่อมนับเป็นหลานของจ้าวเจวี๋ย จ้าวเจวี๋ยเชื่อใจคุณหนู แต่ไม่ทราบว่าฉีอ๋องและท่านอัครมหาเสนาบดีซั่งคิดเห็นเช่นไร”

หลี่เสี่ยนมองจ้าวเจวี๋ย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ยินมานานว่าเต๋อชินอ๋องเป็นยอดขุนพลอันดับหนึ่งแห่งหนานฉู่ ผู้กำกับดูแลกองทัพหนานฉู่ วันนี้ได้พบช่างสง่างามสูงส่งดังคาด มีบุคลิกโดดเด่นไม่ธรรมดา แม้หลี่เสี่ยนเลื่อมใสชินอ๋อง แต่จะอย่างไรก็เป็นเพียงแม่ทัพในกองทัพ หากกล่าวถึงตำแหน่งการงาน หลี่เสี่ยนย่อมอยู่ใต้ชินอ๋อง ท่านถามความเห็นข้าเช่นนี้ ข้าย่อมมิกล้ารับ เพียงแต่เต๋อชินอ๋องคัดค้านเรื่องโจมตีแคว้นสู่ ดูมิสอดคล้องกับนามยอดขุนพลเอาเสียเลย เต๋อชินอ๋องโปรดช่วยชี้แจงแถลงไขด้วยเถิด”

จ้าวเจวี๋ยกล่าวอย่างเฉยเมย “แคว้นสู่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง แม้จะมีความผิด แต่เจ้าแคว้นสู่เป็นขุนนางที่เหลือรอดจากราชวงศ์ตงจิ้น เคยเป็นขุนนางร่วมราชสำนักเดียวกับต้ายง มิได้แบ่งแยกนายบ่าว ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าต้ายงอาศัยสิ่งใด จึงใช้เหตุผลว่าแคว้นสู่ไม่ยอมสวามิภักดิ์จนคิดโจมตีรุกราน แม้ต้ายงคิดว่าเหตุผลพรั่งพร้อม แม้หนานฉู่ของข้าจะเรียกขานตนเป็นขุนนางของต้ายง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมิเคยรับหน้าที่ส่งม้าส่งทหารและฟังคำสั่งเคลื่อนทัพของต้ายง”

หลี่เสี่ยนยิ้มพราย “เต๋อชินอ๋องกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้องนัก จักรพรรดิและขุนนางแห่งต้ายงของข้าล้วนมากความสามารถ สู่อ๋องผู้นั้นใช้กำลังแบ่งแยกดินแดน ไม่ยอมเข้าสวามิภักดิ์ การกระทำเช่นนี้มิอาจทนรับได้ หากแคว้นสู่ยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นข้าแต่แรก ต้ายงของข้าคงไม่เข้ารุกรานแคว้นสู่ ข้าเคยได้ยินว่า แค้นของโอรสสวรรค์ เก้ารุ่นให้หลังค่อยล้างแค้นก็ยังไม่สาย ตอนแรก แคว้นสู่ฉวยโอกาสยามต้ายงกำลังสร้างชาติ ส่งทหารไปยังฉินชวน ทั้งสังหาร จุดไฟเผา และปล้นสะดม ทำให้จักรพรรดิต้ายงหลั่งน้ำตาดุจสายเลือด แค้นนี้จำต้องชำระ มิเช่นนั้นมิอาจอยู่เป็นคน ต่อมาต้ายงของข้าโจมตีหนานฉู่ แคว้นสู่กลับส่งกองทัพออกมาอีกครั้ง แม้มีบุญคุณต่อหนานฉู่ แต่กลับสร้างความเสียหายรุนแรงให้แก่ต้ายง พื้นที่ซานฉิน[1] นับพันลี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หลายชีวิตมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน หลังจากนั้น มิใช่ว่าแคว้นสู่เรียกบรรณาการเป็นหญิงงาม ผ้าไหมและทองคำจากแคว้นท่านมากมายหรือไร เมื่อตรองดู แคว้นสู่เป็นดั่งหมาป่าชั่วช้าที่แอบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ยามปกติมิออกมาจู่โจม แต่หากเห็นผู้ใดเผยช่องว่างย่อมออกมากัดกินคนผู้นั้น ตอนนี้เต๋อชินอ๋องกล่าวแทนแคว้นสู่ เกรงว่าวันหนึ่งอาจถูกพันธมิตรที่รู้จักเพียงผลประโยชน์ทว่าไร้คุณธรรมเช่นนี้กลืนกิน”

จ้าวเจวี๋ยกล่าวเย็นชา “แม้ข้าไร้ความสามารถ แต่ยังรู้จักคำโบราณที่ว่า ฟันและปากต้องพึ่งพากัน เกรงว่าหลังสิ้นแคว้นสู่ คงเวียนมาถึงคราวหนานฉู่ของข้ากระมัง”

หลี่เสี่ยนหุบปากทันควัน ในใจเขากระจ่างแจ้งยิ่ง หลังโจมตีแคว้นสู่ หนานฉู่จะเป็นเป้าหมายต่อไป เพียงคิดไม่ถึงว่าจ้าวเจวี๋ยจะกล่าวคำพูดตรงไปตรงมาดุจคมมีดเพียงนี้ ไม่นึกกลัวล่วงเกินต้ายงสักนิด ในฐานะที่ตนเป็นองค์ชายแห่งต้ายง ย่อมไม่เชื่อคำสาบานเพียงปากเปล่าเช่นกัน

ตอนนี้เอง คุณชายฉินกล่าวเสริมว่า “จะกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกนัก สิ่งที่เรียกว่าฟันและปากต้องพึ่งพากันก็คือการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน คือลงเรือลำเดียวกัน ทว่าตอนนี้ แคว้นสู่ยั่วยุหนานฉู่หลายครั้งหลายครา มองข้ามมิตรไมตรี เพียรสร้างความเคืองแค้น ยามนี้สมควรเรียกว่าฟันแหลมดุจคมมีด กัดปากจนเลือดท่วมเสียมากกว่า ข้าไม่คิดว่าฟันและปากต้องพึ่งพากันที่เต๋อชินอ๋องอ้างถึงจะเป็นเช่นนี้”

จ้าวเจวี๋ยยิ้มบาง บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีเขียวซึ่งเป็นที่ปรึกษากองบัญชาการของเขาวางพัดด้ามจิ้วที่โบกพัดไปมาในมือลง เอ่ยปากว่า “แม้หนานฉู่และแคว้นสู่จะมีความขัดแย้งกันเล็กๆ น้อยๆ แต่มิใช่ความอัปยศอดสูยิ่งใหญ่อันใด รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่เก้า ต้ายงสยบดินแดนจงหยวน ตั้งทัพบริเวณแม่น้ำฉางเจียง หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเจ้าแคว้นสู่ที่ส่งทัพไปยังฉินชวน ต้ายงจะยอมพักรบได้อย่างไร แม้เป็นเช่นนี้ หนานฉู่ของข้ายังคงสวามิภักดิ์ต่อต้ายง นี่จึงจะเป็นความอัปยศอย่างแท้จริง แม้ยามนี้สองแคว้นเป็นพันธมิตรกันแล้ว องค์หญิงฉางเล่อก็แต่งให้เจ้าแคว้นข้า เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้นด้วยการแต่งงาน แต่แคว้นท่านยังคงฝึกทัพเรือเหนือน่านน้ำฉางเจียงทุกปี ยังไม่ทิ้งความคิดสยบแดนใต้ ไม่ทราบว่าฉีอ๋องจะอธิบายเช่นไร”

[1] พื้นที่ซานฉิน หมายถึงแถบ กวนจง-ส่านซี-ส่านเป่ย

ตอนต่อไป