ตอนที่ 198 ผิงอัน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 198 ผิงอัน
แววตาที่องครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยนใช้มองไป๋ชิงเหยียนจริงจังมากกว่าเดิม เขาลงมาจากหลังม้าแล้วทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนอย่างนอบน้อมอีกครั้งพลางกล่าวขึ้น “ขอบพระคุณคุณหนูใหญ่ไป๋มากขอรับ ข้าจะนำคำของคุณหนูใหญ่ไป๋ไปบอกนายท่านโดยเร็วที่สุดขอรับ!”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า คนข้างกายของเซียวหรงเหยี่ยนมีแต่คนฉลาดและไหวพริบดี

เพียงแต่ชาติที่แล้ว เซียวหรงเหยี่ยนใช้แต่วิธีอำมหิตโหดเหี้ยม ไม่เคยใช้วิธีที่อ่อนโยนและประนีประนอมเลยสักครั้ง

หญิงสาวเคยรับมือกับเซียวหรงเหยี่ยนอยู่หลายครั้ง รู้ดีว่าแม้ภายนอกชายหนุ่มจะดูอ่อนโยนเพียงใด แต่ภายในนั้น…ผู้ที่ขัดขืนเขาต้องตายสถานเดียว ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใช้อำอาจบีบบังคับหรือข่มขู่ หรือแม้กระทั่งประหารเจ็ดชั่วโคตรผู้ที่ขวางทางเขาจนไม่เหลือแต่ผู้เดียว ชายหนุ่มฉลาดล้ำลึก ลงมืออย่างเลือดเย็น กล้าที่จะทำ และระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก

คนที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ และหยิ่งทระนงในตัวเองเช่นนี้ ที่จริงแล้วเป็นคนที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดมากที่สุด เขาดูถูกโลกใบนี้ ไม่หวาดกลัววิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจความยุติธรรม มารยาท ศีลธรรม คุณธรรม ไม่เกรงคำครหาของผู้คน นอกจากบรรลุเป้าหมายที่ตัวเองตั้งเอาไว้แล้ว เขาไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น

เขาสังหารผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนในสนามรบ ใช้แผนการชั่วร้ายกำจัดตระกูลสูงศักดิ์ และบรรดาขุนนางของแคว้นศัตรูจนหมดสิ้น แม้เป็นการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเพื่อคืนความสงบสุขให้แก่ชาวบ้าน ทว่า แผนการของเขามันอำมหิต และไม่สนใจสิ่งใดเกินไป สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ไม่มีค่าในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาไม่สนว่าการโจมตีเมืองจะทำให้ชาวบ้านล้มตายมากเท่าใด ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากเท่าใด เพื่อเสบียงอาหารของกองทัพ เขาถึงขึ้นแย่งชิงอาหารของชาวบ้าน

บัดนี้เมื่อไป๋ชิงเหยียนนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นก็อดรู้สึกชาวาบไปทั้งร่างไม่ได้

ดังนั้นในใจของไป๋ชิงเหยียนจึงรู้สึกหวาดกลัวเซียวหรงเหยี่ยน แม้ว่าตอนนี้เซียวหรงเหยี่ยนจะยังไม่ได้กลายเป็นเซียวหรงเหยี่ยนเหมือนในชาติที่แล้ว ทว่า ความหวาดกลัวที่เขาทิ้งไว้ให้นางในชาติที่แล้วยังคงมีอยู่

คำโบราณกล่าวไว้ว่า คนเท้าเปล่าไม่กลัวที่จะต้องสวมรองเท้า[1] เบื้องหลังของไป๋ชิงเหยียนยังมีคนตระกูลไป๋อยู่ นางคือคนที่สวมรองเท้าคนนั้น! ส่วนแผ่นดินของต้าเยี่ยนแทบแตกสลายแล้ว เซียวหรงเหยี่ยนคือคนเท้าเปล่าผู้นั้น!

วันนี้นางเอ่ยปากเตือนเซียวหรงเหยี่ยน เพราะอยากอาศัยช่วงที่เซียวหรงเหยี่ยนยังมีความเมตตาหลงเหลืออยู่ในใจ ตอนที่กองทัพของต้าเยี่ยนกำลังขาดแคลน ให้ชายหนุ่มเลือกใช้วิธีที่ทำให้ต้าเยี่ยนเสียหายน้อยที่สุด ให้เขารู้ซึ้งว่าพลังของชาวบ้านมีค่ามากเพียงใด

หวังว่าภายภาคหน้าหากเขาลงมือทำการสิ่งใด เขาจะนึกถึงตอนที่ชาวบ้านช่วยเขายึดหนานเยี่ยนกลับคืนมา มีเมตตากับชาวบ้านมากกว่านี้

“ไปเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับองครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยน

องครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยนขึ้นไปบนหลังม้า ยกมือคาราวะไป๋ชิงเหยียนอีกครั้ง ขี่ม้าจากไปพร้อมกับใจที่เต้นรัว เขาต้องรีบขี่ม้านำคำของคุณหนูใหญ่ไป๋ไปบอกเจ้านายของเขาโดยเร็วที่สุดถึงจะถูก

เมื่อเห็นองครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยนหายลับไปในความมืด ไป๋ชิงเหยียนจึงกล่าวขึ้น “หรู่ซยง จูงมากลับกันเถิด!”

เซียวรั่วเจียงยื่นมือไปจูงเชือกม้าสีขาวตัวนั้น ทว่า กลับโดนม้าตัวนั้นสะบัดหน้าหนี หากไม่ใช่เพราะเซียวรั่วเจียงมีวรยุทธ์ที่ดี เขาคงตกลงไปในแม่น้ำแล้ว

“เป็นม้าพยศจริงๆ ด้วย!” เซียวรั่วเจียงไม่เพียงไม่โมโห แต่กลับรู้สึกสนุกสนานเป็นอย่างมาก

“ข้าจำได้ว่าตอนที่ซื่อจื่อนำม้าจี๋เฟิงกลับมา จี๋เฟิงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันขอรับ!”

เซียวรั่วเจียงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

จี๋เฟิงเป็นม้าที่พยศมาก ตอนนั้นท่านพ่อของนางนำจี๋เฟิงกลับมาเมืองหลวงด้วยความยากลำบาก ตอนนั้นนางยังเด็กอยู่ ท่านพ่อกะว่าจะให้คนฝึกม้าฝึกมันให้เชื่องก่อนแล้วค่อยมอบมันให้แก่นาง ผู้ใดจะคิดว่าคนฝึกม้าหกคนยังฝึกจี๋เฟิงให้เชื่องไม่ได้ สองคนในนั้นยังโดนจี๋เฟิงทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีกต่างหาก

หลังจากไป๋ชิงเหยียนได้ยินเรื่องนี้ นางจึงแอบท่านพ่อไปยังสนามม้า ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ฝึกจี๋เฟิงจนเชื่องได้ ตอนกลับมาร่างกายเต็มไปด้วยดินโคลน สาวน้อยไม่สนใจแม้กระทั่งรอยฟกช้ำตามร่างกายของตัวเอง แกว่งแส้ม้าในมือไปมาพลางกล่าวกับไป๋ฉีซานอย่างดีใจว่านางปราบม้าพยศที่แม้แต่คนฝึกม้าหกคนยังปราบไม่ได้จนสำเร็จ แถมยังตั้งชื่อม้าตัวนั้นว่าจี๋เฟิงอีกด้วย

“ข้าทำเอง!” ไป๋ชิงเหยียนลงมาจากหลังม้า เดินไปหยุดอยู่หน้าม้าสีขาวตัวนั้น

เซียวรั่วเจียงกำเชือกม้าไว้ในมือแน่น ม้าขาวสะบัดไม่หลุดจึงได้แต่ย่ำเท้าลงบนหินปูนริมแม่น้ำจนเกิดเสียงดัง พ่นหมอกขาวออกมาทางจมูกอย่างฉุนเฉียว

ไป๋ชิงเหยียนยื่นมือไปลูบขนของม้าขาว ม้าส่งเสียงพยศออกมา ยกเท้าหน้าทั้งสองข้างขึ้น ทว่า ทำอย่างไรก็สะบัดเชือกไม่หลุด

“เจ้าตัวดี! พยศจริงนะ!” เซียวรั่วเจียงกระตุกเชือกอย่างแรง

ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันที จับอานม้าพลางกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้า ม้าขาวตัวนั้นพยศอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม สะบัดตัวอย่างแรงจนไป๋ชิงเหยียนเกือบพลัดตกลงม้า

“หรู่ซยง เชือก!”

เมื่อเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ได้มีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว เซียวรั่วเจียงคิดว่าตนเองยืนประกบอยู่ด้านข้างคงไม่มีอันตรายอันใดจึงโยนเชือกไปให้ไป๋ชิงเหยียน ส่วนตัวเองยืนชูคบไฟขึ้นสูงอยู่ด้านข้าง

คงเป็นเพราะมีประสบการณ์จากการฝึกจี๋เฟิงมาแล้ว สองมือของหญิงสาวจับบังเหียนไว้แน่น ร่างของนางเคลื่อนไหวไปตามการขยับของม้าขาว ราวกับเกาะติดอยู่กับร่างของม้าขาวอย่างง่ายดาย ไม่ว่ามันจะสะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด

ม้าขาวสะบัดอย่างพยศอยู่ประมาณครั่งชั่วยาม ในที่สุดก็เหนื่อยจนไม่มีแรงกระโดดอีกแล้ว จังหวะนี้เองไป๋ชิงเหยียนตวัดแส้ในมือของตัวเองอย่างแรง ม้าขาวเจ็บจนส่งเสียงร้องออกมา จากนั้นเริ่มกระโดดอย่างพยศอีกครั้ง

หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ม้าขาวพยศตัวนั้นถูกไป๋ชิงเหยียนปราบพยศจนสำเร็จ ไป๋ชิงเหยียนกระตุกบังเหียนเล็กน้อย ม้าขาวตัวนั้นก้มหน้าเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวอย่างยอมจำนน

เซียวรั่วเจียงมองดูอย่างอึ้งๆ ไป๋ชิงเหยียนมีทักษะการขี่ม้าที่ดี หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงโดนสะบัดตกลงม้าจากหลังม้านานแล้ว

ไป๋ชิงเหยียนลงมาจากหลังม้า หญิงสาวเหนื่อยจนเหงื่อชุ่มไปทั้งร่าง ม้าขาวตัวนั้นก้มหน้าเดินมาใกล้ไป๋ชิงเหยียนสองสามก้าว จากนั้นหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่อยากจะยอมจำนน ไป๋ชิงเหยียนลูบขนของมันเบาๆ

“ต่อไป ม้าตัวนี้ชื่อว่าผิงอัน[2]แล้วกัน นำไปให้เสี่ยวซื่อเถิด เสี่ยวซื่อต้องชอบแน่ๆ!”

บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยอีกแล้ว

แววตาเป็นประกายของเซียวรั่วเจียงจากการเห็นไป๋ชิงเหยียนมีความสุขค่อยๆ นิ่งขรึมลง เขาจำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาและพี่ชายเคยไปเยี่ยมไป๋ชิงเหยียนที่เพิ่งคลอดที่จวนเจิ้นกั๋วกง เด็กน้อยก้อนกลมๆ น่ารักถึงเพียงนั้น มารดากำชับพวกเขาว่าต้องดูแลปกป้องคุณหนูใหญ่ให้ดี คุณหนูใหญ่ไม่เพียงเป็นน้องสาวที่ดื่มนมร่วมเต้าเดียวกันกับพวกเขาเท่านั้น นางยังเป็นยอดดวงใจของผู้มีพระคุณของพวกเขาด้วย

เซียวรั่วเจียงและเจียงรั่วไห่คิดว่าสตรีที่เกิดมาในจวนเจิ้นกั๋วกงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวงต้องเป็นสตรีที่ถูกประคบประหงมอย่างดี ควรเป็นคนที่ถูกดูแลทะนุถนอมอยู่ในฝ่ามือราวกับเครื่องประดับล้ำค่า

ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในฐานะหลานสาวคนโตของตระกูลไป๋นางต้องลำบากกว่าคุณหนูและคุณชายคนอื่นๆ ในตระกูลไป๋มากนัก หลังจากได้รับบาดเจ็บจากสนามรบ หญิงสาวยิ่งเคร่งขรึมลงกว่าเดิม ไม่มีความร่าเริงสมวัยอีกต่อไป

หลังจากตระกูลไป๋เผชิญกับหายนะ หญิงสาวแบกรับภาระดูแลตระกูลไป๋ วางแผนเพื่อบรรดาน้องสาวของตัวเอง

เดินทางมายังหนานเจียงซึ่งเต็มไปด้วยความอันตรายเช่นนี้ คุณหนูใหญ่กลับมอบองครักษ์ลับยอดฝีมือให้แก่คุณหนูสามและคุณหนูรองที่อยู่ในเมืองหลวง ไม่เหลือไว้ให้ตัวเองเลยแม้แต่น้อย!

ครั้งนี้ได้ม้าที่ดีเช่นนี้มา คุณหนูใหญ่กลับจะยกมันให้แก่คุณหนูสี่

คงเป็นเพราะหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะหลานสาวคนโตของตระกูล หญิงสาวจึงมักจะนึกถึงน้องสาวอยู่เสมอ เหมือนกับตอนที่ซื่อจื่อไป๋ฉีซานยังอยู่ เขาก็มักจะนึกถึงบรรดาน้องชายอยู่เสมอเช่นเดียวกัน

———————————————

[1] เท้าเปล่าไม่กลัวที่จะต้องสวมรองเท้า เป็นสำนวนหมายถึง ไม่มีสิ่งใดต้องเสียอีกแล้ว หรือ ทำสิ่งใดโดยไม่ต้องกังวลผลที่จะตามมาอีกแล้ว

[2] ผิงอัน แปลว่า ปลอดภัย