ตอนที่ 52 กิลด์ของผู้เล่น

Game of the World Tree

สองวันผ่านไป หลังจากที่เมืองฟลอเรนซ์ได้กลับมาเป็นของเหล่าเอลฟ์

ภารกิจหลักบทต่อไปได้ปรากฏขึ้นเมื่อเหล่าผู้เล่นได้บรรลุเป้าหมายทั้งหมดของภารกิจหลักบทแรกจากการสร้างวงเวทเคลื่อนย้าย

เนื้อความของภารกิจคือการสำรวจนครศักดิ์สิทธิ์แห่งอดีต และการค้นหามรดกทางอารยธรรมเอลฟ์ที่หลงเหลืออยู่ภายในเมือง

ทว่าครั้งนี้ ผู้เล่นบางส่วนเลือกที่จะไม่รับภารกิจสำรวจเมืองฟลอเรนซ์

เมื่อพัฒนาสู่เลเวล 11 ผู้เล่นสายต่อสู้บางกลุ่มพากันออกไปนอกเขตปลอดภัย เพื่อแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจจากการผจญภัยในพื้นที่อันกว้างใหญ่

พวกเขาอยากจะพัฒนาเลเวลด้วยการต่อสู้กับสัตว์อสูร

The Kingdom of Elves มีความแตกต่างจากเกมทั่วไป

ระบบการต่อสู้ของ เกม VR เกมนี้มอบอิสระในระดับสูงให้กับผู้เล่น เมื่อผู้เล่นคุ้นชินกับระบบภายในเกม พวกเขาก็จะชื่นชอบระบบการต่อสู้ที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงอย่างรวดเร็ว

การผจญภัยในเกมทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่เหมือนกับการเป็นทหารรับจ้าง หรือพรานป่าบนดาวเคราะสีคราม

นอกจากนี้ เมื่อล็อกเอาท์ออกจากเกม ผู้เล่นจำนวนมากที่คุ้นเคยกับการต่อสู้ต่างพบว่าร่างกายของตนมีการตอบสนองที่ดีขึ้นอย่างมหาศาล

และยังมีข่าวลือที่เล่าว่าผู้เล่นบางคนได้ป้องกันตัวจากโจรปล้นจี้ด้วยสิ่งที่เรียนรู้มาจากเกมนี้

การค้นพบครั้งนี้ทำให้บรรดาผู้เล่นทวีความหลงไหลในการต่อสู้ขึ้นไปอีกระดับ และสิ่งต่าง ๆ ในผืนป่าด้านนอกเขตปลอดภัย ก็ช่วยเติมเต็มความปรารถนาในการต่อสู้ของผู้เล่นได้เป็นอย่างดี

บริเวณนอกเขตปลอดภัย มีสัตว์อสูรที่เปี่ยมไปด้วยพลังเวทอาศัยอยู่จำนวนมาก พวกมันส่วนใหญ่อยู่ในระดับเหล็ก ซึ่งพอเหมาะพอควรต่อการใช้เป็นคู่มือเพื่อฝึกซ้อมทักษะของบรรดาผู้เล่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์อสูรในระดับเหล็กขั้นต้น

อย่างไรก็ตาม ป่าแห่งนี้มีอสูรกายระดับเงินเช่นกัน ทว่าพวกมันมักจะอาศัยอยู่บริเวณทิศเหนือของเขตป่า

ว่ากันว่าในทางเหนือ มีตัวตนที่แข็งแกร่งระดับทองคำหรือแม้แต่ระดับวีรชน ซึ่งถิ่นที่อยู่ของพวกมันล้วนห่างไปในทางเหนือ

แน่นอนว่าตัวตนระดับวีรชนยังเป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการของเหล่าผู้เล่นในเวลานี้

ข้อมูลเหล่านี้ล้วนมาจากอลิซ ภายหลังจากที่ทุกคนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาใจนักบวชสาว

เธอได้ถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ให้กับผู้เล่น ไม่ว่าจะเป็นการจำแนกร่องรอยของสัตว์อสูรที่ทรงพลัง การหลีกเลี่ยงอสูรระดับสูง และอื่น ๆ อีกมากมาย

เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้ เพราะความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างอลิซและผู้เล่นทั้งหลาย

ภายหลังจากที่เหล่าผู้เล่นได้เชิญชวนอลิซมายังเมืองฟลอเรนซ์ ค่าความสนิทของเธอและผู้เล่นส่วนใหญ่ได้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง …ยกเว้นกับเดมาเซีย

เรื่องนี้ยิ่งเห็นได้ชัดเป็นพิเศษสำหรับบรรดาผู้เล่นที่มีส่วนร่วมในการยึดเมืองฟลอเรนซ์ พวกเขาส่วนใหญ่ต่างมีค่าความสนิทในระดับ เป็นมิตร กับนักบวชสาว

ภายหลังจากเหตุการณ์นั้น อลิซได้สนทนากับเหล่าผู้ถูกเลือกอย่างเป็นกันเองมากขึ้น

นอกจากนี้ เธอยังชื่นชมในความสามารถด้านวงเวทของนกกาเหว่าและได้เริ่มถ่ายทอดความรู้ให้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่อิจฉาตาร้อนของบรรดาผู้เล่นคนอื่น ๆ

นกกาเหว่าจึงกลายเป็นศิษย์คนแรกของอลิซ และยังเป็นผู้ถูกเลือกคนแรกที่เรียนรู้ศาสตร์แห่งวงเวทเป็นอาชีพเสริม

เอ่อ… อย่างน้อยพวกผู้เล่นก็คิดเช่นนั้น

ภายในโบราณสถานเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของสถาปัตยกรรมของเอลฟ์

หลี่มู่เดินหน้าสำรวจอย่างระมัดระวังด้วยแสงสว่างจากคบไฟในมือ

หลี่มู่เป็นผู้เล่นที่มีใจรักในการติดตามเรื่องราวภายในเกม เขาปฏิเสธบรรดาผู้เล่นที่ชักชวนให้ไปร่วมทีมผจญภัยเพื่อที่จะได้ทำภารกิจหลัก

ภายหลังจากการทำภารกิจหลักบทที่แล้ว และการบวงสรวงเทพธิดาด้วยสิ่งของที่ได้มาจากก็อบลิน เช่น ดาบโค้ง ธนู ลูกศร และตะบองไม้… หลี่มู่รวบรวมแต้มผลงานได้จำนวนหนึ่ง และใช้พวกมันไปกับการแลกเปลี่ยนทักษะใหม่ 2 อย่าง

ท่าเท้าวิฬาร์ และ พลังมหิงสา

ทักษะแรกมีผลต่อความคล่องตัว ส่วนทักษะที่สองมีผลต่อพละกำลัง

ส่วนด้านอุปกรณ์สวมใส่…

หลี่มู่ได้ทุ่มสุดตัวเพื่อทักษะพวกนี้และไม่เหลือแต้มไว้แลกสิ่งอื่น …เขาไม่ใช่ผู้เล่นกระเป๋าหนักที่จะใช้จ่ายได้ตามใจตัวเอง

เมื่อเหล่าผู้เล่นบรรลุเป้าหมายของภารกิจหลัก พลันมีอาวุธใหม่ ๆ โผล่ขึ้นมาในร้านค้าจากระบบ

อาวุธส่วนใหญ่ที่เพิ่งปรากฏขึ้นมา คือดาบโค้ง ธนู ลูกศร และไม้เท้าเวทมนตร์ พวกมันมีรูปลักษณ์ที่สวยงามแถมยังราคาถูก เพียงแค่ 2,000 แต้มต่ออาวุธ 1 ชิ้นเท่านั้น โดยบรรดาอุปกรณ์เหล่านี้ล้วนเป็นไอเท็มกรอบฟ้าระดับแรร์

แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งได้สูงเหมือนไอเท็มกรอบม่วง แต่อุปกรณ์เหล่านี้ล้วนแข็งแกร่งกว่าอาวุธของก็อบลินที่หลี่มู่และผู้เล่นทั้งหลายได้เก็บมาใช้

หลี่มู่คาดว่าอุปกรณ์พวกนี้เป็นของสวมใส่ที่ทางบริษัทเกมตั้งใจจะให้คนทั่วไปได้ใช้งาน

เขาตั้งใจจะเก็บแต้มผลงานจำนวนหนึ่งเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็นไม้เท้าเวทมนตร์

หลี่มู่รู้สึกคุ้นเคยกับไอเท็มเหล่านี้อย่างประหลาด แต่เขาไม่แน่ใจว่าเคยเห็นพวกมันจากที่ไหน…

สงสัยผมจะจำผิด

หลี่มู่ส่ายศีรษะพลางมุ่งหน้าเข้าไปในโบราณสถาน

ห่างออกมาจากวิหารของเมืองฟลอเรนซ์ มีซากปรักหักพังขนาดใหญ่อยู่มากมาย โบราณสถานเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ก่อขึ้นมาจากหินก้อนมหึมา

หลี่มู่มีความรู้สึกว่าโบราณสถานขนาดใหญ่แบบนี้ ต้องมีขุมทรัพย์แห่งอารยธรรมเอลฟ์ซ่อนอยู่อย่างแน่นอน

โชคไม่ดีที่เขาไม่พบสิ่งใดจากการสำรวจกว่า 2 ชั่วโมง

แถมสิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือการมีใครบางคนติดสอยห้อยตามเขามา พร้อมกับพูดไม่หยุดตลอดทาง…

“พี่มู่ ทำไมเลือกสำรวจโบราณสถานอ่ะ? เดินกันมาตั้ง 2 ชั่วโมงละ ไม่เห็นจะเจอไรเลย”

เดมาเซียเคี้ยวฟางเส้นหนึ่งแก้เบื่อ พลางงึมงำออกมาในขณะที่เดินตามหลี่มู่

“ชั้นได้ยินมาว่าทีมพี่ข้าวกล่องเพิ่งตบหมูหินเวล 13 ตายไปตัว พวกเขาจะอัพเป็นเวล 12 แล้วเนี่ย อา.. พี่มู่ ทำไมเราไม่ตั้งตี้ไปฟาร์มกันมั่งอ่ะ?”

เดมาเซียบ่นออกมาในขณะที่จ้องแผ่นหลังของหลี่มู่

ในฐานะนักรบที่อยู่ในแนวหน้ามาตลอด เขารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้มาเป็นระยะเวลาหลายวัน

เดมาเซียยังไม่เคยต่อสู้ด้วยดาบโค้งเล่มใหม่ที่เพิ่งแลกมา เขายอมสละโอกาสในการแลกทักษะ เพื่อให้ได้มาซึ่งอาวุธชิ้นนี้

เมื่อได้ยินเสียงเดมาเซียที่บ่นอย่างต่อเนื่อง หลี่มู่ขมวดคิ้วพลางกล่าว

“เอาน่า จบเควสนี้เมื่อไรค่อยไปฟาร์มก็ได้ ไม่สายเกินไปหรอก”

“แต่สองวันนี้พวกเราเอาแต่สำรวจโบราณสถาน แถมไม่เจอไรเลยอ่ะ… อา– ถ้าตามที่เควสบอก ที่นี่กลายเป็นซากมามาพันปีแล้ว ถึงจะมีไรอยู่จริงก็คงจะโดนก็อบลินทุบเละไปแล้วมั้งพี่มู่”

เดมาเซียส่ายศีรษะไปมาขณะพูด

หลี่มู่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มอธิบาย

“ภารกิจนี้ต้องเป็นเควสหลักด้วยเหตุผลบางประการ …ยิ่งหามันพบยากเท่าไร รางวัลก็น่าจะใหญ่ขึ้นเท่านั้น”

แต่จากการใช้เวลาสำรวจมากว่าสองวัน ทำให้หลี่มู่ไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตนเพิ่งจะพูดออกไปเท่าไร

บางครั้ง หลี่มู่ก็ลอบบ่นถึงความอุตสาหะของบรรดาผู้สร้างเกมที่ออกแบบเมืองฟลอเรนซ์

พื้นที่ส่วนใหญ่ในโบราณสถานเป็นเพียงซากปรักหักพัง ถ้าไม่นับขยะจากการชีวิตประจำวันของพวกก็อบลิน ก็ไม่พบสิ่งอื่นใดอยู่ในโบราณสถาณแห่งนี้เลย

“อา– ได้ยินมาว่ามะเขือเทศผัดมันสร้างกิลด์สายต่อสู้ขึ้นมา ดูภูมิอกภูมิใจเกิ้น ฮึ่ย…”

เดมาเซียทำหน้ามุ่ย

“พี่มู่ ไอ้หมอนั่นพยายามจะแย่งคริสตัลไปจากพี่จริงป่ะ? ชั้นจำได้ว่าตอนระบบเด้งเตือนขึ้นมา มันระบุว่าไอ้นั่นมันโจมตีพี่อ่ะ…”

เดมาเซียถามด้วยความสงสัย

หลี่มู่นิ่งลงครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว

“นายควรจะเลิกพูดไม่หยุดแล้วใช้เวลามองไปรอบ ๆ บ้างนะ”

สำหรับเดมาเซียแล้ว การที่หลี่มู่ไม่ปฏิเสธเทียบเท่ากับการยืนยันอย่างชัดเจน

“ตูว่าแล้ว ไอ้นี่มันชาติหมา!”

เดมาเซียเหยียดหยัน

“ฮ่าฮ่า เดี๋ยวมีกิลด์วอร์เมื่อไหร่ พ่อจะอัดให้เละเป็นซอสมะเขือเทศ!”

เมื่อภารกิจบทแรกจบลง เหล่าผู้เล่นต่างพากันสร้างกิลด์ขึ้นมา

การรวมกลุ่มจะช่วยให้ผู้เล่นมีความสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการฝึกฝนพวกเขาให้มีการประสานงานที่ดี นอกจากนี้ยังสร้างแรงผลักดันในการแข่งขันระหว่างผู้เล่น ซึ่งจะส่งผลให้เกมนี้มีความน่าสนใจมากกว่าเดิม

เพื่อที่จะพัฒนาประสิทธิภาพในการทำภารกิจของเหล่าผู้เล่น อีฟจึงไม่เมินเฉยต่อระบบนี้

แต่ในความเป็นจริง แม้เทพธิดาจะไม่สร้างระบบกิลด์ขึ้นมา บรรดาผู้เล่นก็จะจับกลุ่มกันเองอยู่ดี เพราะการรวมตัวกันเป็นกลุ่มคือสัญชาตญาณของมนุษย์

ถึงกระนั้น มันก็เป็นการดีที่อีฟจะเพิ่มระบบกิลด์ให้กับพวกเขา เพื่อที่เทพธิดาจะได้ใช้งานผู้เล่นได้มากกว่าเดิม

ระบบกิลด์ในปัจจุบันจะมีเพียงช่องสื่อสารเฉพาะกลุ่ม กับฟังก์ชันในการแชร์มินิแมพเท่านั้น

อีฟตั้งใจว่าจะเพิ่มภารกิจหลากหลายแบบผ่านทางช่องทางกิลด์ เพื่อที่จะพัฒนาทักษะในการต่อสู้ไปพร้อม ๆ กับทักษะในการประสานงานให้กับผู้เล่น

เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดคือการใช้ระบบกิลด์เป็นรากฐานในการสร้างกองทัพที่ฝึกฝนมาอย่างดี!

การสร้างกิลด์จะใช้แต้มผลงานจำนวน 10,000 หน่วย

มันเป็นปริมาณที่มากโข แต่ถ้าบรรดาผู้เล่นจับกลุ่มกันเพื่อรวบรวมแต้ม แต้มต่อหัวที่พวกเขาต้องจ่ายก็จะลดลงไปอย่างมาก

เหล่าผู้เล่นในรอบทดสอบจึงระดมทุนกัน และได้ก่อตั้ง 3 กิลด์แรกขึ้นมา

_ .. _ .. _ .. _ .. _ .. _

T/N: 10k แต้มนี่ไม่น้อยเลยนะคะ …

ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ

Support the project: https://book.qidian.com/info/1016509432

_ .. _ .. _ .. _ .. _ .. _