ตอนที่ 261 จัดการ กูเหยียมาแล้ว (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 261 จัดการ กูเหยียมาแล้ว (2)

มั่วเชียนเสวี่ยดื่มน้ำชาด้วยความผ่อนคลาย แต่กลับพูดเรื่องฆ่าฟันและขายทาส แววตาฉายลำแสงเยือกเย็น ทว่าสีหน้ากลับยังคงยิ้มงดงามราวกับบุปผา

บิดามารดาของเฟิงต๋าเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลเฟิงที่ติดตามมารดาของมั่วเชียนเสวี่ยเมื่อครั้นออกเรือน มารดาคืนเพียงสัญญาทาสของเฟิงต๋า ให้เขากลายเป็นชนชั้นรากหญ้า แต่บิดามารดาของเขายังคงเป็นทาส ภรรยาของเขาก็ยังคงชนชั้นทาสเช่นเดียวกัน ในเมื่อเป็นชนชั้นทาส ว่าถึงแก่นแท้แล้ว ยังคงเป็นบ่าวรับใช้ของจวนกั๋วกง

อย่าหาว่านางไม่มีความเมตตา รังแกชายชราและหญิงชราใกล้ตาย ข่มเหงสตรีที่มีครอบครัว ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะ…เฟิงต๋าทำให้นางเกลียดชังยิ่งนัก

ราชวงศ์เทียนฉี ในตระกูลใหญ่ ได้รับการยอมรับเนื่องด้วยปฏิบัติมายาวนาน บ่าวรับใช้ที่นายอนุญาตให้ออกจากเรือนไปพัก ถือเป็นการคืนอิสระให้ทางอ้อม

ทว่า นั่นเป็นเพียงการถือปฏิบัติมายาวนานที่ได้รับการยอมรับเท่านั้น ไม่ใช่กฎหมาย

เห็นนางเป็นลูกพลับอ่อนที่อยากบีบเช่นไรก็ได้งั้นหรือ ในเมื่ออยากจะหลอกลวง เช่นนั้นนางก็จะใช้ไม้แข็งกับเขา

เขาเฟิงต๋าบอกว่า ตนไม่ใช่บ่าวรับใช้ของจวนกั๋วกงแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นนางก็จะทำให้เขาเห็นว่า เขาไร้ยางอาย หรือว่านางต่อกรยาก

ในยามคับขัน รับมือกับสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้ ไม่อาจใช้หลักของนักปราชญ์ได้

เฟิงต๋าเห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจตน แต่เปลี่ยนไปเล่นงานบิดามารดาของตน แววตาของเขาฉายแสงเหี้ยมโหด “ฮูหยินเคยรับปากเฟิงต๋า ให้เฟิงต๋ารับบิดามารดาไปอยู่ด้วย อีกทั้งฮูหยินก็เป็นคนยกตงเหนียงให้เฟิงต๋า ตงเหนียงย่อมเป็นคนของเฟิงต๋า คุณหนูใหญ่ไม่มีสิทธิ์แตะต้องพวกเขา…หากคุณหนูใหญ่ยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ เฟิงต๋าจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่ศาลาว่าการ…ต่อสู้กับคุณหนูใหญ่ที่ศาล…”

เฟิงต๋าหน้าดำหน้าแดง ในเมื่อพูดถึงขั้นขึ้นศาลแล้ว เช่นนั้นก็เป็นการฉีกหน้ากันอย่างแท้จริงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพมั่วเชียนเสวี่ยอีกต่อไป

พูดจบ เขาอยากจะเดินออกไปจากโถงใหญ่ แต่ว่าเขาที่เพิ่งเดินไปถึงหน้าประตู ก็ถูกองรักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าคว้าดาบขึ้นขวาง

องครักษ์คว้าดาบขึ้นมา บรรยากาศภายในห้องเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ทุกอย่างนิ่งงัน

พ่อบ้านออกไปบอกต่อคำสั่งของมั่วเชียนเสวี่ย ชูอีทำหน้าที่เพียงรินน้ำชา มั่วเชียนเสวี่ยแสยะยิ้มไม่พูดสิ่งใด ทว่ามั่วเหนียงไม่ปล่อยให้เฟิงต๋าอยู่สุข

“คิดจะไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือ หากวันนี้ไม่พูดให้กระจ่างก็อย่าคิดฝันที่จะได้ออกไป…” นางจับกระบี่ วาดไปตรงหน้าเฟิงต๋า พูดประชดประชัน “เจ้ายังรู้ด้วยหรือว่าบิดามารดาของเจ้าฮูหยินเป็นคนเมตตาให้เจ้ารับไปดูแล เจ้ายังรู้ด้วยหรือว่าตงเหนียงคือภรรยาที่ฮูหยินยกให้เจ้า ความผิดชอบชั่วดีของเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือ แม้แต่อิสระของเจ้า ฮูหยินก็เป็นคนมอบให้! หากไม่มีฮูหยิน เวลานี้เจ้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ชั้นต่ำคนหนึ่งของตระกูลเฟิงเท่านั้น ยังคงทำงานหนักในหยางโจว เจ้าจะได้มาเมืองหลวง มีชีวิตที่ดีเยี่ยงทุกวันนี้หรือ เจ้าไม่รู้จักบุญคุณก็ไม่เป็นเช่นไร แต่นี่ยังเนรคุณ ทำร้ายคุณหนูเช่นนี้อีก…”

คำพูดของมั่วเหนียงทำให้เฟิงต๋าถึงกับใบ้รับประทานไม่อาจโต้เถียงกลับได้ สำหรับมั่วเหนียงแล้วเขาหวาดกลัวเล็กน้อย ในอดีตเขาล้วนรู้ดีว่ามั่วเหนียงติดตามฮูหยินขึ้นเหนือล่องใต้ อีกทั้งเวลานี้เขาเพิ่งถูกมั่วเหนียงใช้กระบี่ฟันกวนครอบบนศีรษะทิ้งทั้งยังตัดผมเขาไปช่อใหญ่ เวลานี้ผมเพ้าของเขายุ่งเหยิง…กระบี่เล่มนั้นกวัดแกว่งไปมาบนแผงอกของเขา หัวใจของเขาสั่นไปพร้อมกับกระบี่ แม้จะฝืนยืนตัวตรงได้ ทว่าไม่อาจซ่อนเร้นความอนาถ

ทว่า ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่ได้มีชีวิตเสียเปล่า เขาพอจะคาดเดาได้ ร่วมกับสังเกตกระบี่ของมั่วเหนียงที่เคลื่อนไหวตามสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย เขาก็รู้ทันทีว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของมั่วเชียนเสวี่ย ในทางเดียวกันเขาก็ดูออกว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้อยากจะฆ่าเขา อย่างน้อยก็ไม่ได้ต้องการจะฆ่าเขาในเวลานี้ ไม่อยากเอาชีวิตเขาในจวนกั๋วกง

เถ้าแก่ทั้งแปดคนล้วนมีจุดอ่อนอยู่ในกำมือของเขา เวลานี้แม้จะคุกเข่า แต่ไม่มีใครกล้าพูดเหลวใหล ขอเพียงเขากัดฟันสู้ คุณหนูใหญ่ที่เป็นสตรี รอจนฟ้ามืด ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ นางทำได้เพียงปล่อยเขาออกไปจากจวน หรือไม่ก็ส่งเขาให้ทางการ ไม่มีทางเลือกที่สาม

คนสารเลวย่อมมีหลักการเลวทราม เมื่อกระจ่างชัดข้านี้ เขากลืนน้ำลาย กลับมามีแรงอีกครั้ง พูดเสียงเหี้ยม “อิสระของเฟิงต๋า เฟิงต๋าทำงานและสู้จนได้มา เกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่อย่างไร เทียนฉีไม่เคยมีกฎข้อนี้ ทาสรับใช้ที่ปล่อยไปแล้ว เอากลับมาเป็นทาสอีก…”

มั่วเชียนเสวี่ยตั้งใจจิบน้ำชาทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา นางไม่อยากสนใจเฟิงต๋ามานานแล้ว ความคิดของคนคนนี้มีปัญหา พูดกับคนไม่รู้ความ คนเช่นนี้ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ต้องใช้ไม้แข็งเท่านั้น

ภายในใจของมั่วเหนียงเปี่ยมไปด้วยความโมโห พูดประชดประชัน “เช่นนั้นราชวงศ์เทียนฉีมี ‘กฎระเบียบ’ ที่ว่า ให้พ่อบ้านที่ดูแลงานนอกเรือนคดโกงเงินของนาย…”

ชูอียืนถือกาน้ำชาอยู่ข้างๆ พูดเกลี้ยกล่อม “หมัวมัว กับคนเนรคุณเช่นนี้มีสิ่งใดให้เสวนาด้วย ไม่ควรค่าให้โมโหแล้วทำลายสุขภาพตนเองสักนิด”

ขณะพูดคุยกัน พ่อบ้านกลับมาแล้ว เขาทำความเคารพ แล้วพูดขึ้น “เรียนคุณหนูใหญ่ มั่วเฉียงไปที่ซอยถงฝูของตระกูลเฟิงแล้วขอรับ อีกเรื่องหนึ่งได้ให้สินน้ำใจแก่สำนักกฏหมายแล้ว ประเดี๋ยวใต้เท้าหวังเจ้าเมืองเมืองหลวงจะมาด้วยตนเอง นำตัวคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปทุกคน ตอนนี้น่าจะอยู่ระหว่างทางมาแล้วขอรับ”

ได้ยินว่าใต้เท้าหวังจะมาด้วยตนเอง หัวใจของเฟิงต๋าสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม รู้สึกท่าไม่ดีเล็กน้อย ทว่าไม่ได้เชื่อ แม้เจ้าเมืองเมืองหลวงจะเป็นเพียงขุนนางขั้นสี่ แต่ไม่ใช่ขุนนางที่บุตรีสายตรงของจวนกั๋วกงจะเรียกตัวมาตามอำเภอใจได้

แม้ท่านกั๋วกงจะอยู่ในจวน การเชิญเจ้าเมืองเมืองหลวงมาเช่นนี้ ต้องคิดอย่างถี่ถ้วน…

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นสีหน้าของเขาซับซ้อน หัวเราะเยาะในใจ ประเดี๋ยวเขาจะได้เห็นชัด ตายก็ต้องให้เขาตายอย่างชัดเจน หากไม่จัดการเขาให้ดี วันข้างหน้าต้องมีคนทำตามเขาแน่นอน แล้วนางจะดูแลจวนกั๋วกงให้ดีได้อย่างไร

มั่วเชียนเสวี่ยสั่งพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไปยกสมุดบัญชีสำรองที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกมา ประเดี๋ยวให้ใต้เท้าหวังยกกลับสำนักกฎหมาย”

เขาอยากให้เรื่องไปถึงสำนักกฎหมายแล้วทำลายสมุดบัญชี จากนั้นให้สินน้ำใจกับเจ้าหน้าที่ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นนางจะทำลายแผนการของเขา สมุดบัญชีเหล่านี้ตอนที่นางเอาให้ลุงอวี๋ นางบอกให้ลุงอวี๋หาคนคัดสมุดบัญชีสำรองไว้หนึ่งชุดตั้งแต่แรกแล้ว

เรื่องฆ่าขอทานเมื่อคราวก่อน เจ้าเมืองเมืองหลวงเขียนฎีกาตามที่มั่วเชียนเสวี่ยบอกทุกอย่าง ฎีกาที่เขียนขึ้นไปนั้นบอกว่าไม่มีผู้รอดชีวิต นางและเขาต่างเข้าใจ ด้วยเหตุนี้ตอนที่นางไปที่ท้องพระโรง จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องน่าสงสัยของใต้เท้าหวังในท้องพระโรง

นี่คือน้ำใจที่ยิ่งใหญ่!

มิเช่นนั้น จากการกวาดล้างหลังพายุโหมกระหน่ำเมื่อหลายวันก่อน เกรงว่าใต้เท้าหวังคงจบเห่แล้ว

ในตอนหลัง ใต้เท้าหวังที่รับรู้ถึงความร้ายกาจและความเฉลียวฉลาด จึงได้ส่งของกำนัลมากมายมายังจวนกั๋วกง ขอบคุณมั่วเชียนเสวี่ย ทางด้านมั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ได้นิ่งเฉย ย่อมส่งของกำนัลล้ำค่ากลับไปแน่นอน ด้วยการให้ของกำนัลกันเช่นนี้ น้ำใจแค่นี้ย่อมมีให้กันได้

สมุดบัญชีทั้งหมดถูกยกเข้ามาในโถงใหญ่ เฟิงต๋าถึงกับอยู่ไม่นิ่ง! ไม่อาจใจเย็นต่อไปได้แล้ว ท่ามกลางความเครียดเขาพุ่งตัวไปด้านหน้าราวกับคนบ้า เปิดสมุดบัญชี มุมปากของพ่อบ้านและบ่าวรับใช้ที่ยกสมุดบัญชีเข้ามาฉายความเย้ยหยัน และไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด

มั่วเชียนเสวี่ยยกมุมปากขึ้น อยากให้คนคนหนึ่งตาย เช่นนั้นต้องทำให้เขาบ้าก่อน

แม้เขาจะจ่ายใต้โต๊ะ ทำลายสมุดบัญชีที่ส่งไปยังสำนักกฎหมาย ทว่า ต้นฉบับยังอยู่ในจวนกั๋วกง สามารถเขียนใหม่ได้ไม่จำกัด เช่นนี้จึงจะเป็นการทำให้เขาตาย เป็นหลักฐานชี้ชัดที่จะขายคนทั้งครอบครัวของเขาใหม่อีกครั้ง

เฟิงต๋านำสมุดบัญชีเล่มหนึ่ง เทียบกับเล่มหนึ่ง เทียบสมุดบัญชีติดต่อกันสิบกว่าเล่ม เขาถึงกับสิ้นหวัง พูดไม่รู้ความ “เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้แน่นอน…”

เมื่อตระหนักได้ว่าความฝันของตนกำลังจะแตกสลาย เฟิงต๋าที่เริ่มสติแตกหันขวับ ชี้หน้ามั่วเชียนเสวี่ย “เจ้า เจ้าไม่ใช่คน…”

ไม่มีใครสามารถใช้เวลาเจ็ดวันในการตรวจบัญชี พร้อมกับคิดคัดลอกบัญชี

ขณะเฟิงต๋าพูดโดยไร้ซึ่งความเคารพ ด้านนอกโถงใหญ่มีคนเดินมา

คนผู้นี้สง่าผ่าเผย ทรงอำนาจ หากไม่ใช่ใต้เท้าหวังเจ้าเมืองเมืองหลวงแล้วจะเป็นผู้ใดได้ เป็นเพียงผู้จัดการแต่กลับกล้าไม่เคารพบุตรีสายตรงของท่านกั๋วกง ใต้เท้าหวังโมโห พูดตะคอกเสียงดัง “สามหาว! ทหาร จับตัวคนชั่วที่ล่วงเกินสตรีชั้นสูงของจวนกั๋วกง!”