ตอนที่ 225 สุดท้ายหนีไม่พ้นดินกลบหน้า
ข้อความโฆษณาคุยโวเสียยกใหญ่ แถมหน้าปกยังมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเผยเรียวขายาววับๆ แวมๆ เพื่อตกเหยื่อ เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศสามารถเข้าไปอยู่ในกลุ่มหนังห่วยแตกในทัศนะของเติ้งฉือได้ทันที ดังนั้นเดิมทีเติ้งฉือจึงไม่คิดจะกดเข้าไปดู
แต่ในเมื่อภาพยนตร์เจ้ากรรมเริ่มเล่นแล้ว เติ้งฉือกลับไม่ได้รีบถอยหลังกลับทันที
ภาษิตโบราณว่าไว้ยังไงนะ
ไหนๆ ก็มาแล้ว…
ปืนก็ยิงออกไปแล้ว ต่อให้น้ำตานองหน้าก็ต้องสู้ต่อจนจบศึก…
ตนเป็นคนกดเปิดหนังเรื่องนี้เอง ดูสักหน่อยก็คงไม่ถึงกับตาบอดล่ะมั้ง
และขณะที่เติ้งฉือกำลังครุ่นคิดไปเรื่อยๆ เนื้อเรื่องก็เริ่มต้นขึ้น
ตัวเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อว่าถังปั๋วหู่ ปราดเปรื่องทั้งการเขียนบทกวีและจิตรกรรม ตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย ขณะเดียวกันก็ยังเป็นหนึ่งในสี่ยอดนักปราชญ์แห่งเจียงหนาน[1] [2]
เติ้งฉือรู้ว่าเมืองซูของมณฑลฉิน ในสมัยก่อนมีชื่อว่าซูโจว
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ฉากเปิดของภาพยนตร์เรื่องนี้
ก็เห็นว่าถังปั๋วหู่หยิบพู่กันขึ้นมาด้วยอย่างมีมาด
เติ้งฉือคิดว่าตัวเอกคนนี้กำลังจะเริ่มสร้างสรรค์ผลงาน เขียนตัวอักษรหรือวาดภาพไปตามประสา ปรากฏว่าหมอนี่กำลังย่างปีกไก่อยู่
ที่ไหนได้ พู่กันนี้ก็ไม่ได้ใช้จุ่มน้ำหมึก แต่กลับใช้จุ่มซอส?
สารบบความคิดของนักเขียนบทคนนี้เป็นยังไงกัน
น่าสนใจดีจริงๆ
หลังจากนั้น จู้จือซานก็เข้าฉาก
ภาพยนตร์ใช้บทสนทนาเรียบง่ายโผงผางแนะนำตัวละครจู้จือซาน หนึ่งในสี่ยอดนักปราชญ์แห่งเจียงหนาน และเป็นสหายคนสนิทของถังปั๋วหู่
นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเช่นเดียวกัน
ประเด็นสำคัญอยู่ที่จู้จือซานคนนี้ ไม่ได้มีมาดของนักปราชญ์แม้แต่นิดเดียว ถึงขั้นที่ดูไม่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าถังปั๋วหู่ซึ่งใช้พู่กันวาดภาพจุ่มซอสย่างปีกไก่ซะอีก
เขาเป็นผีพนัน มักจะแพ้พนันจนสิ้นเนื้อประดาตัว จากนั้นก็มาขอให้ถังปั๋วหู่วาดภาพให้ตนนำไปขาย
ถึงแม้ว่าบทสนทนาจะมุทะลุกระดากหู แต่ก็สอดแทรกรายละเอียดยิบย่อยไว้ไม่น้อย
หลังจากนั้น ถังปั๋วหู่จึงลงมือวาดภาพในท้ายที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้เติ้งฉือตะลึงงันไปก็คือ ภาพของถังปั๋วหู่ ถึงกับใช้ร่างกายของจู้จือซานวาดภาพ…
เคร้งๆๆ
ตึงๆๆ
ใช้วิธีนี้ ถังปั๋วหู่ก็ยังวาดภาพหมึกดำออกมาได้อย่างสวยสดงดงามจริงๆ!
เกินจริงหรือเปล่า?
เกินจริงมาก!
ไร้สาระหรือเปล่า?
ไร้สาระมาก!
ช่องว่างในสมองของนักเขียนบทนั้นอัดแน่นไปด้วยจินตนาการ
แต่ไม่รู้ว่าทำไม เติ้งฉือถึงยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หัวเราะก็เถอะ
เติ้งฉือเป็นคนเส้นลึก เมื่อเขาบอกว่าภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ‘น่าสนใจ’ ก็นับว่าเป็นคำประเมินที่สูงมากแล้ว
ในตอนนี้ เติ้งฉือไม่รีบร้อนถอยหลังกลับอีกต่อไป
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ดึงดูดความสนใจของเขาได้สำเร็จ
ขณะนั้นเอง
เติ้งฉือก็เห็นคอมเมนต์กระสุนซึ่งวิ่งอยู่ด้านบนจอ เมื่อเทียบกับคนเส้นลึกอย่างเติ้งฉือ คอมเมนต์กระสุนเหล่านี้แลดูสนุนสนานเฮฮากันเหลือเกิน
‘อห!’
‘ขำปอดโยก!’
‘ฮ่าๆๆๆๆๆ ใช้ไอ้นั่นวาดเป็นหนอนในจงอยปากพญาอินทรีเนี่ยนะ…’
‘แล้วคุณล่ะ ใหญ่เท่าพญาอินทรีหรือเล็กเท่าหนอนในปากพญาอินทรี’
‘แต่ของผมรับรองไม่คดไม่งอ’
‘…’
เติ้งฉือไม่ได้กดปิดคอมเมนต์กระสุน
ถึงแม้ว่าเขาจะเส้นลึก แต่เขาอ่านคอมเมนต์ขำขันของชาวเน็ตอย่างเมามัน รู้สึกอารมณ์ดีมากทีเดียว
อาจเป็นเพราะว่า ความสุขนั้นส่งต่อถึงกันได้?
เรื่องราวดำเนินต่อไป
ที่แท้ถังปั๋วหู่ก็มีภรรยาแปดคน
เพียงแต่สไตล์ของภรรยาทั้งแปดคนนี้ออกจะแปลกพิลึก
พวกนางหมกมุ่นกับการละเล่น ใช้ไก่ในภาพวาดของถังปั๋วหู่ไปแปะในไพ่นกกระจอก แถมยังใช้บทกวีของถังปั๋วหู่ไปปูโต๊ะ…
ถังปั๋วหู่ฝืนเค้นรอยยิ้ม
มารดาของเขากลับไม่เข้าใจเรื่องนี้ “ตอนนี้เจ้าก็ยังหนุ่มยังแน่น หน้าที่การงานประสบความสำเร็จ มีชาติตระกูลร่ำรวย ภรรยามากมาย เจ้าน่าจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ไฉนวันๆ เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงเช่นนี้เล่า”
เมื่อดูมาถึงตรงนี้ เติ้งฉือก็พลันรู้สึกว่าตนถูกแทงใจดำเข้าอย่างแรง
ถังปั๋วหู่ เหมือนกับตนเหลือเกิน!
และมักจะมีคนไม่เข้าใจเติ้งฉือ บอกว่าเติ้งฉือทั้งหล่อทั้งรวย แฟนก็มีแต่สวยๆ ทำไมถึงยังเป็นโรคซึมเศร้าได้อีก…
ชั่วขณะนั้น เติ้งฉือรู้สึกว่าตนเข้าใจหัวอกของถังปั๋วหู่เหลือเกิน
น่าเสียดายที่ความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้ยังไม่ทันได้ส่งผ่านมา ก็ถูกเจือจางด้วยฉากต่อไปซะแล้ว เพราะภรรยาทั้งแปดคนของถังปั๋วหู่พร้อมใจกัน…
แขวนคอ?
ถังปั๋วหูู่กล่าวชมเชย “ทั้งแปดคนแขวนคอพร้อมกัน น่าทึ่งเสียยิ่งกระไร!”
เติ้งฉือเริ่มเกิดความรู้สึกอยากหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก
ภรรยาแปดคนของนายจะแขวนคอ นายแค่รู้สึกว่าน่าทึ่งเนี่ยนะ?
……
เขาถูกดึงดูดด้วยสารบบความคิดของตัวเอกแล้ว หรือจะกล่าวให้ชัดก็คือถูกสารบบความคิดของนักเขียนบทดึงดูดซะแล้ว…
ภาพยนตร์เรื่องนี้ สไตล์ของเรื่องได้เบนไปโดยไม่ทันตั้งตัวแล้ว
ทว่าการออกนอกลู่นอกทางของเรื่องราวแต่ละครั้ง กลับเพิ่มอรรถรสขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เติ้งฉือดูภาพยนตร์ตลกมามาก เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศไม่เป็นไปตามแบบแผนมากที่สุด!
และที่ไม่เป็นไปตามแบบแผนมากที่สุดก็คือ ยามที่หนิงอ๋องส่งคนมาเชิญถังปั๋วหู่ให้เข้าร่วมกับตน ถังปั๋วหู่กลับแสร้งบอกว่าป่วย ขณะที่กำลังแทะปีกไก่อย่างเอร็ดอร่อย
อีกฝ่ายนึกแคลงใจ ถังปั๋วหู่จึงร้องเพลงออกมาอย่างสบายใจเฉิบ “ก็เพราะ…ปีกไก่ตุ๋นนี้หนาข้าชอบกิน…”
อีกฝ่ายร้องรับ “แต่แม่เจ้าบอกว่าเจ้ากำลังจะสิ้นใจ…”
มารดาร้องต่อ “จะตายแล้วต้องรีบกินให้หนำใจ ถ้าไม่กินตอนนี้ ตายแล้วตอนไหนจะได้กิน ชะเอิงเอย…”
ฮะ?
อะไรฟระเนี่ย
เติ้งฉือมุมปากกระตุก รู้สึกว่าตนถูกดึงดูดโดยสมบูรณ์
เล่นอะไรแบบนี้ได้ด้วยเรอะ?
ยังร้องเพลงกันออก?
กำลังจะก่อกบฏเชียวนะโว้ย จริงจังกันหน่อยได้ไหม
และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ…
ร้องรับส่งกันเป็นจังหวะจะโคนมากซะด้วย?
เติ้งฉือรู้สึกว่าตนกลั้นขำไม่ไหวแล้ว
และเมื่อถึงฉากที่หมอมาจับชีพจรให้ถังปั๋วหู่ ถังปั๋วหู่กลับปรับชีพจรให้เป็นจังหวะดนตรี พลอยให้เติ้งฉือยกมุมปากยิ่งกว่าเดิม
คอมเมนต์กระสุนก็ยิ่งสนุกสนานกันไม่หยุด
‘อมก สนุกได้ขนาดนี้เลยเหรอ’
‘ช่วยผมด้วย ขำแทบขิต!’
‘เชื่อแล้วว่าเป็นหนังของเซี่ยนอวี๋ เพลงในเรื่องสุดจัดปลัดบอกไปเลย!’
‘ปล่อยเป็นซิงเกิลออกมาเลย!’
‘นี่มันหนังอะไรกันครับเนี่ย’
‘นักเขียนบทต้องไม่ใช่คนบลูสตาร์แน่ มีแค่มนุษย์ต่างดาวเท่านั้นแหละถึงจะมีสารบบความคิดแบบนี้!’
‘…’
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไร้ซึ่งความเคร่งครัด ขุดตรรกะมาอธิบายก็ไม่ได้ แต่ที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีใครคิดว่าไม่เหมาะ หนำซ้ำยังคิดว่าตลกดีซะอีก
ตลกโปกฮา!
เพลงจังหวะโจ๊ะๆ ติดหู!
ตามมาด้วยเนื้อเรื่องในส่วนต่อไป
สี่ยอดนักปราชญ์แห่งเจียงหนาน คุยกันไม่รู้เรื่องทีไรเป็นอันต้องถอดเสื้อผ้า…
แถมยังมีฉากคลาสสิกที่หรูฮวาหันหลังมาพลางยกมือแคะขี้มูกอีก
คอมเมนต์กระสุนเพิ่มขึ้นเป็นระลอก เมื่อมองจากจำนวนแล้ว คล้ายกับจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ความตลกขบขันก็รุนแรงขึ้นเช่นกัน
เรื่องราวเข้าสู่เส้นเรื่องหลัก
ถังปั๋วหู่เปรียบเทียบความเอน็จอนาถของชีวิตกับคนผ่านทาง หมายแฝงตัวเข้าจวนสกุลหวาเพื่อเข้าใกล้ชิวเซียง
ถังปั๋วหู่หาคนมาแกล้งตาย เพื่ออ้างว่าตนอยากขายตัวนำเงินมาฝังศพบิดา
คนผ่านทางเข็นคนตายมาทั้งครอบครัวถึงเจ็ดคน แถมเจ้าหมาน้อยสุดที่รักยังหายใจรวยรินร่อแร่เต็มที…
“อุก!”
เติ้งฉืออดไม่ได้ หลุดหัวเราะออกมา
และเมื่อถังปั๋วหู่หยิบแมลงสาบขึ้นมา ร้องเรียกว่าเสี่ยวเฉียง หนำซ้ำยังเบะปากร้องห่มร้องไห้ เติ้งฉือถึงกับหัวเราะลั่นไม่หยุด
สุดท้ายแล้ว คนผ่านทางถึงกับหยิบไม้มาฟาดตนเองจนน็อกไป เพียงเพื่อแข่งขันความชีช้ำของชีวิตกับถังปั๋วหู่ ทำเอาเติ้งฉือหัวเราะจนท้องแข็งไปหมด!
ในตอนนั้น เขากลายเป็นเหมือนชาวเน็ตเส้นตื้นในคอมเมนต์กระสุนไม่มีผิดเพี้ยน…
‘เสี่ยวเฉียงอะไรฟระเนี่ย’
‘หมาก็ตายด้วยเหรอ ช่วยด้วย ไม่ไหวๆๆๆ ขำฟันหัก ฮ่าๆๆ!’
‘แข่งความอนาถของชีวิตแบบนี้ได้ด้วย?’
‘เรื่องนี้ทำฉันขำจนเจ็บพุงแล้ว…’
‘ไปสุดมากนะแม่!’
‘ขอเตือนด้วยความหวังดี ตอนดูหนังเรื่องนี้ห้ามกินอะไรเด็ดขาด โดยเฉพาะน้ำ! อย่าถามว่าทำไมฉันถึงรู้ ฉันลองมาแล้วไงล่ะ!’
‘แล้วทำไมไม่บอกก่อน! เพิ่งจะกินน้ำไป สำลักเกือบตาย!’
‘ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วยยย ขำหัวพุ่งแล้วว้อย!’
‘…’
ผ่านไปนาน กว่าเติ้งฉือจะหยุดหัวเราะได้
สำหรับคนที่ไม่เคยดูภาพยนตร์ชวนหัวไร้แก่นสารมาก่อน เมื่อใดที่คลื่นสมองจูนติดแล้ว พลังของเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศนั้นน่ากลัวจริงๆ
เติ้งฉือแทบจะลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ตนหัวเราะลั่นเช่นนี้คือเมื่อไหร่
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคอมเมนต์จะเป็นคำชื่นชม
มีคอมเมนต์กระสุนบางส่วนเขียนว่า
‘อะไรวะเนี่ย’
‘เละตุ้มเป๊ะมาก’
‘เข้าใจไม่ลง’
‘หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีความหมายความลึกซึ้งอะไรเลย’
‘…’
เติ้งฉือตั้งค่าให้กรองคอมเมนต์กระสุนเหล่านี้อัตโนมัติ
พวกที่ชอบทำลายความสนุกสนานของคนอื่นก็มีอยู่ทุกที่นั่นแหละ
หาความหมายลึกซึ้งจากหนังตลก? มาผิดเรื่องแล้วหรือเปล่าพี่ชาย
ขนาดดูมาถึงตอนนี้ ยังไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นแนวไหนอีกเหรอ
ถึงยังไงคนส่วนมาก เมื่อดูมาถึงตรงนี้ ก็ต้องหัวเราะออกมากันทั้งนั้น
และท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้ชม ถังปั๋วหู่ก็เข้ามายังจวนสกุลหวา
ในตอนนี้ โครงเรื่องได้เชื่อมโยงกันเรียบร้อยแล้ว
หวาฮูหยินและสกุลถังมีความแค้นต่อกัน ฉะนั้นจึงจงเกลียดจงชังถังปั๋วหู่เหลือเกิน
และชิวเซียงซึ่งในใจคิดถึงแต่ถังปั๋วหู่ ถึงขั้นแอบหลงรักจอมปราชญ์ถังปั๋วหู่ ก็ท่องบทกลอนของถังปั๋วหู่ออกมา
“เถาฮวาอู้มีเรือนดอกท้อ ในเรือนดอกท้อมีเซียนดอกท้อ เซียนดอกท้อปลูกต้นท้อ เด็ดดอกท้อแลกเงินซื้อสุรา[3]”
เมื่อดูจนถึงตอนนี้ รอยยิ้มของเติ้งฉือพลันชะงักค้าง สีหน้าฉายแววแปลกพิลึก
กลอนบทนี้ นักเขียนบทเขียนเอง?
ไม่ว่าเนื้อเรื่องด้านหน้าจะตลกขบขันอย่างไร ความคิดของนักเขียนบทจะลึกล้ำสุดหยั่งรู้แค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้ผู้ชมมองข้ามฝีมือในการประพันธ์บทกลอนไปได้
ผู้ที่พอจะมีความรู้ด้านวรรณกรรมล้วนฟังออกถึงความหมายของบทกลอนนี้!
นักเขียนบทคนนี้! มี! ของ!
คนที่รู้สึกเช่นเดียวกับเติ้งฉือนั้นมีไม่น้อย ในคอมเมนต์กระสุนต่างก็แตกตื่นตกใจ
‘กลอนบทนี้ฝีมือสูงส่ง!’
‘เช็กดูแล้ว นักเขียนบทเขียนเอง’
‘ไวมาก ความไวเป็นเรื่องของปีศาจจริงๆ’
‘คนเขียนบทคือเซี่ยนอวี๋…ยอมแล้วจ้า เซี่ยนอวี๋ฝีมือโหดมาก เขียนกลอนบทนี้ได้สุดยอดไปเลย’
‘มิน่าล่ะเซี่ยนอวี๋เขียนเนื้อเพลงได้ดีขนาดนั้น’
‘ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเซี่ยนอวี๋ก็แอบมีความเป็นถังปั๋วหู่อยู่นะ?’
‘หรือว่าความจริงแล้ว…เนื้อร้องทำนองของถังปั๋วหู่ตรงกับรสนิยมของทุกคน…แต่บทหนังที่เขาเขียน ทั้งตลกและไร้สาระ ทำให้รู้สึกถึงความเจ้าสำราญของถังปั๋วหู่…’
‘…’
ผู้ชมล้วนแต่ตกใจไม่มากก็น้อย
แต่ก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะตัวถังปั๋วหู่เอง ยังขับขานบทกลอนต่อไปอีก ซึ่งเป็นบทเดียวกับที่ชิวเซียงคิดพอดิบพอดี
“คนเขาเย้ยเยาะข้าว่าเสียสติ ข้าเย้ยเยาะว่าเขามองไม่ขาด พินิจดูคฤหัสถ์ขุนนางแม้นมากมี สุดท้ายหนีไม่พ้นดินกลบหน้ากลางผืนนา”
โอ้ว!
สุดยอด!
หากบอกว่า เมื่อได้ฟังบทกลอนวรรคที่ชิวเซียงท่องออกมาแล้ว ทุกคนทำได้เพียงตกตะลึงและประหลาดใจ เมื่อมีบทกลอนวรรคนี้ตามมาอีก ในใจของผู้ชมก็ตะลึงงันไปตามกัน!
‘ยังมีอีก?’
‘กลอนนี่สุดจะเท่’
‘นักเขียนบทเป็นเทพเซียนมาจากไหนก่อน!’
‘เป็นกลอนบทเดียวกับที่ชิวเซียงท่องเมื่อกี้สินะ?’
‘คนที่บอกว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีความหมายลึกซึ้งอะไรแสดงตัวมาเดี๋ยวนี้ กลอนวรรคนี้มีความหมายลึกซึ้งพอหรือยัง!’
‘ตอนแรกคิดว่าเป็นหนังตลกธรรมดา…ตอนนี้รู้แล้วว่าคนเขียนบทอัจฉริยะขนาดไหน!’
‘ฟันธง! ถังปั๋วหู่ก็คือเซี่ยนอวี๋ เซี่ยนอวี๋ก็คือถังปั๋วหู่!’
‘…’
ในตอนนั้น เติ้งฉือจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้างราวไข่ไก่!
ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่…
คนเขาเย้ยเยาะข้าว่าเสียสติ ข้าเย้ยเยาะว่าเขามองไม่ขาด?
แรกเริ่มเดิมที สิ่งที่ถังปั๋วหู่เผชิญ มีเพียงบางส่วนที่เติ้งฉือเกิดความรู้สึกร่วม ทว่ากลอนวรรคนี้ กลับทำให้รู้สึกประหนึ่งใบมีดคมแทงทะลุหัวใจของเติ้งฉือ
ความรู้สึกของเขา เป็นความรู้สึกทั้งหมดของตน เขาถูกกลอนวรรคนี้เปิดโปงจนหมดเปลือกซะแล้ว!
ตลก?
คิดว่านักเขียนบทจะเขียนออกมาได้แค่มุกตลกหรือ นี่สิถึงเป็นเรื่องตลกของจริง!
นักเขียนบทคนนี้ซ่อนไว้ลึกเหลือเกิน!
ฝีมือด้านวรรณกรรมและบทกลอนของเขา เรียกได้ว่ายกระดับภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นไปอีกขั้น!
“เซี่ยนอวี๋?”
ในคอมเมนต์กระสุนต่างก็พูดกันว่าคนเขียนบทคือเซี่ยนอวี๋
ก่อนหน้านี้เติ้งฉือไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่รู้สึกว่าคุ้นหูอยู่บ้าง แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้…
เซี่ยนอวี๋เหมือนจะเป็นนักประพันธ์เพลง?
นักเขียนบทของหนังเรื่องนี้คือเซี่ยนอวี๋?
คนคนนี้โหดเกินไปแล้ว!
ชั่วขณะนั้น ในใจของเติ้งฉือก็พลันรู้สึกชื่นชมเซี่ยนอวี๋ขึ้นมา พินิจดูคฤหัสถ์ขุนนางแม้นมากมี สุดท้ายหนีไม่พ้นดินกลบหน้ากลางผืนนา…
อย่าว่าแต่ชิวเซียงที่ยกย่องชื่นชมถังปั๋วหู่เลย!
เติ้งฉือเองก็ยังรู้สึกว่าตนกำลังจะกลายเป็นแฟนคลับตัวยงของเซี่ยนอวี๋แล้วเหมือนกัน!
และในตอนนั้น…
ภาพยนตร์ยังคงดำเนินต่อไป!
……………………………………………..
[1]สี่ยอดนักปราชญ์แห่งเจียงหนาน ได้แก่ ถังปั๋วหู่ จู้จือซาน เหวินเจิงหมิง และสวีเจินชิง
[2]เจียงหนาน ใช้เรียกรวมพื้นที่ทางตอนล่างของแม่น้ำแยงซี (ฉางเจียง) เมืองสำคัญในปัจจุบันของพื้นในแถบนี้ เช่น เซี่ยงไฮ้ หนานจิง ซูโจว อู๋ซี หนิงปัว หางโจว ฉางโจว เซ่าซิง ฯลฯ
[3] เถาฮวาอู้มีเรือนดอกท้อ ในเรือนดอกท้อมีเซียนดอกท้อ เซียนดอกท้อปลูกต้นท้อ เด็ดดอกท้อแลกเงินซื้อสุรา ประพันธ์โดยนักปราชญ์สมัยราชวงศ์หมิง ถังอิ๋น นามรองถังปั๋วหู่ บรรยายถึงทัศนคติของกวี ซึ่งเต็มใจจะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบและสันโดษ โดยไม่สนใจชื่อเสียง กวีใช้คำว่า ‘ดอกท้อ (เถาฮวา)’ ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า ‘หลีกหนี (เถา)’ มาเป็นกลวิธีในการประพันธ์ นอกจากนั้นยังสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของกวีต่อชีวิตที่เต็มใจที่จะอยู่อย่างสันโดษ ไม่สนใจชื่อเสียง ดอกท้อมีความหมายของฤๅษีเพราะพ้องเสียงกับคำว่า “หลีกหนี” และยังสะท้อนถึงจิตวิญญาณซึ่งแสวงหาอิสระเสรีและความหวงแหนชีวิตอันมีค่าของกวีอีกด้วย