บทที่ 202 ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์แดนเซียน มหาจักรพรรดิเหยียนจวิน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 202 ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์แดนเซียน มหาจักรพรรดิเหยียนจวิน

กระแสปราณกระบี่ที่รวมตัวจากเงากระบี่นับร้อยล้านยิ่งใหญ่เหลือหลาย อีกทั้งปกคลุมชายชุดดำอย่างรวดเร็วยิ่ง แม้แต่เจดีย์ยักษ์ร่างแปลงของมังกรก็จมอยู่ในนั้น

ท่ามกลางปราณกระบี่ ชายชุดดำหน้าถอดสี ในใจหวาดกลัวถึงขีดสุด

เป็นไปได้อย่างไร!

พลังเวทนี้…ปราณกระบี่นี้… เป็นแค่เซียนลึกล้ำจริงหรือ

ชายชุดดำกัดฟันแน่น อาศัยพลังเวทมหาศาลของตนเองต้านทานไว้

ไม่นานนัก เจดีย์ที่ครอบเขาอยู่ก็แตกร้าวด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกแค่ไม่กี่อึดใจของวิเศษของเขาก็จะแตกเป็นเสี่ยงแล้ว

“บัดซบ!” ชายชุดดำตะโกนลั่น “มีอะไรก็พูดกันดีๆ ไม่จำเป็นต้องลงมือฆ่าแกงกัน!”

[เทียนเอ้อส่านเหรินเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 5 ดาว]

หานเจวี๋ยมองเห็นข้อความแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาตรงหน้า จิตสังหารเพิ่มขึ้นพุ่งพรวด

เขาเพิ่มพลังเวท บดขยี้สังหารเทียนเอ้อส่านเหรินด้วยความเด็ดขาดทรงพลัง

ทำลายทั้งร่างและวิญญาณ!

สังหารโดยตรง!

หลังจากหานเจวี๋ยไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของเทียนเอ้อส่านเหรินแล้ว ถึงจะหยุดสำแดงวิชา

หานเจวี๋ยตรวจดูในค่าความสัมพันธ์และไม่พบเทียนเอ้อส่านเหริน น่าจะตายไปแล้ว

เขารู้สึกว่าโชคร้ายนัก นี่มันเรื่องอะไรกัน

เขากำลังปิดด่านฝึกบำเพ็ญ จู่ๆ กลับมีคนคนหนึ่งโผล่มาจะทำลายโลกมนุษย์ของเขา ช่างโชคร้ายจริงๆ

หานเจวี๋ยกลับมาในถ้ำเทวาฟ้าประทานอีกครั้ง

เขาเพิ่งนั่งลง ตัวอักษรแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

[เนื่องจากท่านสังหารเซียนลึกล้ำไท่อี่เป็นครั้งแรก ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ยกระดับฟังก์ชันแบบจำลองการทดสอบ]

[สอง ยกระดับฟังก์ชันการซ่อนของระบบ]

หานเจวี๋ยหรี่ตา จมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด

ผ่านไปสักพัก เขาเลือกยกระดับการทำงานของแบบจำลองการทดสอบ

ฟังก์ชันนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

สามารถรู้พลังที่แท้จริงของศัตรูได้ชัดเจน

[ท่านเลือกยกระดับฟังก์ชันแบบจำลองการทดสอบ]

[ตรวจสอบพบว่าโลกมนุษย์นี้ขึ้นตรงต่อท่าน ขอบเขตการตรวจจับของแบบจำลองการทดสอบถูกยกระดับขึ้น ห้วงอากาศว่างเปล่ารอบๆ ล้วนอยู่ในขอบเขตของแบบจำลองการทดสอบ โดยมีโลกใบนี้เป็นศูนย์กลาง]

‘อันนี้ได้!’

หานเจวี๋ยตื่นเต้นดีใจ

ในที่สุดก็ยกระดับขอบเขตการตรวจจับได้แล้ว ด้วยตบะของเขาในตอนนี้ ระยะรัศมีร้อยลี้ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เล็กเกินไปจริงๆ

หานเจวี๋ยรีบตรวจหาผู้แข็งแกร่งที่สุดในบริเวณใกล้ๆ โลกเมฆาแดงนอกจากตัวเขา

[ตงฝาเทียน: ระดับเซียนพิภพไท่อี่ระยะต้น ผู้อาวุโสจวนเซียนสวรรค์]

เอ๊ะ? จวนเซียนสวรรค์ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับนี้อีกหรือ

มิน่าล่ะ ผ่านเคราะห์ใหญ่มามากมายเช่นนี้ ทั้งยังเคยถูกล้อมโจมตี แต่จวนเซียนสวรรค์ยังคงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้

ในตอนแรกที่นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนฆ่าล้างจวนเซียนสวรรค์ เหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่ลงมือ

หานเจวี๋ยอ่านต่อไป พบว่าโลกเมฆาแดงซ่อนยอดฝีมือไว้ไม่น้อย ลำพังแค่เซียนอิสระก็มีหลายคนแล้ว หรือว่าคนเหล่านี้จะเป็นเทพเซียนพสุธาในตำนาน?

ผู้บำเพ็ญระดับมหายานมีจำนวนนับร้อย ไร้เหตุผลสิ้นดี

หานเจวี๋ยเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองประเมินโลกเมฆาแดงต่ำเกินไป

มีบางคนซ่อนตัวไว้ แม้แต่ป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ยังตรวจสอบไม่พบ

มิน่าล่ะอันดับของโลกเมฆาแดงถึงได้เลื่อนขึ้นอยู่ตลอด

หานเจวี๋ยดูอยู่พักหนึ่งก็เริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ

……

สี่ปีต่อมา ตี้ไท่ไป๋มาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยให้อู้เต้าเจี้ยนออกไป ตนเองอยู่กับตี้ไท่ไป๋ตามลำพัง

“งานชุมนุมใหญ่ท้อเซียนสิ้นสุดลงแล้ว วังเทพไม่ได้เปรียบแต่อย่างใด ก็นับว่าสิ้นสุดโดยสมบูรณ์” ตี้ไท่ไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีไม่น้อย

หานเจวี๋ยถามอย่างสงสัย “จักรพรรดิเทพกระบี่ถูกโจมตีพ่ายแพ้แล้ว?”

“ใช่”

“ฝีมือใคร”

“บุตรแห่งสวรรค์ผู้หนึ่ง แม้จะเป็นเทพเซียนจากวังสวรรค์ แต่สืบทอดสำนักเต๋า ปรากฏตัวให้เห็นน้อยมาก สถานะของเขาเจ้าไม่ต้องสืบ ช้าเร็วพวกเจ้าก็ต้องพบกันอยู่ดี”

วังสวรรค์มีความสัมพันธ์กับสำนักเต๋าด้วยหรือ

หานเจวี๋ยตกอยู่ในภวังค์

ตี้ไท่ไป๋กล่าวต่อว่า “ช่วงนี้มีกลุ่มอิทธิพลอยากจะทำลายโลกมนุษย์ที่อยู่ภายใต้อาณัติของวังสวรรค์ เจ้าต้องระวังสักหน่อย”

หานเจวี๋ยได้ยินก็อดพูดไม่ได้ “หลายปีก่อนมีคนชื่อเทียนเอ้อส่านเหรินมาที่นี่”

หลังจากสังหารเทียนเอ้อส่านเหริน หานเจวี๋ยไม่ได้รับความเกลียดชังจากผู้ทรงพลังคนอื่นๆ เขาอดคิดไม่ได้ว่าเทียนเอ้อส่านเหรินอาจจะเป็นผู้บำเพ็ญอิสระ

ผู้บำเพ็ญอิสระจะกล้ายุแหย่วังสวรรค์ได้อย่างไร

“เทียนเอ้อส่านเหริน?”

สีหน้าตี้ไท่ไป๋เปลี่ยนไปทันที คิ้วก็ขมวดตาม

เขากล่าวราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “เทียนเอ้อส่านเหรินคือเซียนลึกล้ำ เจ้า…”

หานเจวี๋ยยิ้มแต่ไม่เอ่ยอะไร

ตี้ไท่ไป๋ตื่นตระหนกตกใจ

‘เจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งจนสังหารเซียนลึกล้ำได้แล้ว? จะก้าวหน้ารวดเร็วเกินจริงไปหน่อยแล้วกระมัง!’

ตี้ไท่ไป๋สูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า “เทียนเอ้อส่านเหรินมาจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ของผู้บำเพ็ญอิสระที่แข็งแกร่งราชวงศ์หนึ่ง ดูท่าเผ่ามนุษย์ก็มีความคิดเกี่ยวกับวังสวรรค์ด้วย”

หานเจวี๋ยถามด้วยความประหลาดใจ “แดนเซียนมีอาณาจักรราชวงศ์ด้วยรึ”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น แดนเซียนก็มีเผ่ามนุษย์เช่นกัน อีกทั้งมีจำนวนมากด้วย เป็นถึงตัวเอกมรรคาสวรรค์ วังสวรรค์และวังเทพส่วนใหญ่ล้วนมีพื้นฐานจากเผ่ามนุษย์ คัดเลือกมาเป็นเทพเซียน”

“พวกเขายังจะมาอีกหรือไม่”

“ข้าจะให้เทพเซียนมาปกป้องโลกเมฆาแดงโดยเฉพาะ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

คำมั่นสัญญาของตี้ไท่ไป๋ทำให้หานเจวี๋ยโล่งใจไปเปลาะหนึ่งทันที

สมกับเป็นวังสวรรค์ ภูมิหลังแข็งแกร่งมาก

หานเจวี๋ยก็เกรงว่าปัญหาจะมาไม่หยุดหย่อน

ตี้ไท่ไป๋รีบลุกขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อรู้ว่ามาจากกลุ่มอิทธิพลใด ก็สามารถจัดการได้ง่ายแล้ว เทียนเอ้อส่านเหรินก็ช่างโง่เขลาเสียจริง คิดไม่ถึงว่าจะเปิดเผยสถานะของตนเองกับเจ้า”

หานเจวี๋ยยิ้มๆ เขาลุกขึ้นยืนส่งตี้ไท่ไป๋กลับ

หลังจากตี้ไท่ไป๋ไปแล้ว หานเจวี๋ยเดินมาเบื้องหน้าต้นฝูซัง สังเกตดูเถาน้ำเต้าพิภพเซียน

เมล็ดน้ำเต้าเจ็ดเมล็ดกลายเป็นน้ำเต้าน้อยเรียบร้อย ดูเหมือนว่าภูตน้ำเต้าใกล้จะเปลี่ยนร่างแล้ว หานเจวี๋ยเฝ้ารอคอยมาก

หานเจวี๋ยส่งพลังจิตเข้าไปในดินที่ฝังเมล็ดท้อเซียนไว้

ไม่มีการเคลื่อนไหว

ดูแล้วการปลูกต้นท้อชนิดนี้จะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากปลูกได้ง่ายๆ ต้นท้อเซียนคงเป็นสินค้าตามท้องตลาดนานแล้ว

“อาจารย์ปู่…”

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะอารมณ์ในการคิดของหานเจวี๋ย

โจวหมิงเยวี่ยเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง ท่าทางตื่นเต้นมาก

หานเจวี๋ยปรายตามอง ตอบกลับว่า “หืม?”

โจวหมิงเยวี่ยเรียกความกล้าก่อนจะพูด “อาจารย์ปู่ ข้าอยากเรียนพลังวิเศษวิชาเวทกับท่าน ไม่ทราบว่าข้าต้องทำอย่างไรท่านถึงจะสอนข้า”

ฉู่ซื่อเหรินเกียจคร้านเรื่องการฝึกบำเพ็ญ และก็ไม่เคยเรียนพลังวิเศษ จึงไม่มีพลังวิเศษและวิชาเวทที่สอนโจวหมิงเยวี่ยได้เลย

หานเจวี๋ยเผยรอยยิ้มบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะสอนเจ้าสักหนึ่งกระบวนท่า”

โจวหมิงเยวี่ยดีใจมาก รีบคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ยด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง

ฉู่ซื่อเหรินที่อยู่ไม่ไกลเบ้ปาก

ไก่คุกรัตติกาลพูดหยอกล้อ “อาจารย์ของเจ้าคนนี้ทำตามใจตัวเองจริงๆ ระวังจะเป็นแบบสวินฉางอันอาจารย์อาของเจ้า”

ฉู่ซื่อเหรินขมวดคิ้วบอก “อาจารย์ข้าก็ไม่ได้สอนอะไรข้านี่”

ตั้งแต่หยางเทียนตงรู้ว่าเขาไม่ชอบการฝึกบำเพ็ญก็ไม่สนใจเขาอีก มักจะท่องอยู่ภายนอกตลอดปี ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ของคนทั้งสองจืดจางมาก

ไก่คุกรัตติกาลส่ายหน้าและอดหัวเราะไม่ได้

หานเจวี๋ยถ่ายทอดวิชาเทพวายุกับมหาวายุอัสนีให้แก่โจวหมิงเยวี่ย

โจวหมิงเยวี่ยมีคุณสมบัติไม่เลว หานเจวี๋ยต้องสอนแค่ไม่กี่วันเท่านั้น

……

เวลาสิบปีผ่านไปในพริบตา

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เริ่มตรวจสอบหาผู้แข็งแกร่งที่สุดในละแวกโลกเมฆาแดง

หลังจากถูกเทียนเอ้อส่านเหรินโจมตี ทุกๆ สิบปีนอกจากจะสาปแช่งและอ่านจดหมายแล้ว หานเจวี๋ยยังตรวจสอบหาผู้ทรงพลังในบริเวณนี้เพื่อป้องกันคนมาโจมตีด้วย

[มหาจักรพรรดิเหยียนจวิน: ระดับเซียนทองไท่อี่ระยะปลาย แม่ทัพสวรรค์ขั้นสามแห่งวังสวรรค์]

หานเจวี๋ยเห็นว่าเป็นระดับเซียนทองระยะปลายก็ตื่นเต้นทันที แต่พอเห็นว่ามาจากวังสวรรค์ เขาก็ถอนหายใจโล่งอก

‘ควรจะไปคารวะเขาสักหน่อยหรือไม่’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ แต่อีกฝ่ายไม่ได้เกิดความประทับใจต่อเขาแม้แต่ดาวเดียว บอกชัดว่าไม่อยากคบค้าสมาคมกับเขา

ช่างเถอะ ฝ่ายนั้นก็ทำเพราะงาน ไม่ได้มีจิตใจดีปกป้องเขาสักหน่อย

หานเจวี๋ยเริ่มจำลองการทดสอบ

การต่อสู้กับมหาจักรพรรดิเหยียนจวิน ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าใด

……………………………………….