ตอนที่ 397 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (1) / ตอนที่ 398 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (2)
ตอนที่ 397 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (1)
“ขอรับ” อิ่นเหยียนพยักหน้า
ศิษย์พี่หนิงก็โบกมืออย่างพอใจและบอกให้อิ่นเหยียนถอยกลับไป อิ่นเหยียนไม่กล้าขัดขืนนาง จึงได้เดินออกไปจากหอตำราของตึกสาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณอย่างเชื่อฟัง
จวินอู๋เสียซึ่งยังคงนอนอยู่ในหอพักของนาง ไม่ได้รับรู้เลยว่าการจัดการที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีของกู้หลีเซิงนี้กำลังจะนำเรื่องน่าปวดหัวมาให้นางมากมาย
อาศัยช่วงเวลาก่อนที่อิ่นเหยียนจะกลับมาที่ห้องพัก จวินอู๋เสียก็เปลี่ยนมาสวมชุดเครื่องแบบของสำนักศึกษาเฟิงหัว ไม่อาจไม่กล่าวว่าแม้ค่าธรรมเนียมของสำนักศึกษาเฟิงหัวที่เรียกเก็บไปนั้นจะมากมายมหาศาล แต่มันก็ครอบคลุมไปทุกรายละเอียดจริงๆ แม้กระทั่งเครื่องแบบของเหล่าลูกศิษย์ ก็ยังใช้ผ้าที่เนื้อดีที่สุด เพียงแต่ขนแพะงอกออกมาจากตัวแพะเอง[1] ล่ะนะ
ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียน จะจับถูกแยกย้ายไปยังทั้งสามสาขาในวันรุ่งขึ้น ส่วนค่ำคืนแรกหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในสำนักศึกษาเฟิงหัวอย่างเป็นทางการ พวกเขาทุกคนจะต้องไปรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่เพื่อฟังการบรรยายและปฐมนิเทศ
ก่อนอาหารเย็น ศิษย์ใหม่หลายสิบคนรวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ สามถึงห้าคนและเดินไปยังสถานที่จัดบรรยาย ทุกคนเปลี่ยนไปสวมชุดเครื่องแบบของสำนักศึกษาเฟิงหัว ใบหน้าของกลุ่มคนรุ่นเยาว์ทั้งผ่องใสและเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
จวินอู๋เสียเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่เพียงลำพัง ศิษย์ใหม่ทุกคนหาที่นั่งได้นานแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นจวินอู๋เสียเดินเข้ามา นางก็ดึงดูดความสนใจจากทุกคนไปทันที
ขอเพียงแค่เป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมกับสำนักศึกษาเฟิงหัวในปีนี้ ไม่มีใครที่ไม่อิจฉาริษยาในโชคของเด็กหนุ่ม ความเป็นปฏิปักษ์ที่พวกเขาส่งมายังจวินอู๋เสียจึงมากมายมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณจะรับลูกศิษย์เพียงสามคนต่อปีเท่านั้น และที่นั่งหนึ่งในนั้น ก็ได้ถูกจวินอู๋เสียคว้าเอาไปแล้วก่อนที่นางจะได้เข้าร่วมกับสำนักศึกษาอย่างเป็นทางการเสียอีก นั่นหมายความว่าโอกาสของพวกเขาที่จะได้เข้าร่วมกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณย่อมน้อยลง และการแข่งขันสำหรับที่นั่งนี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
“ข้ามองไม่เห็นถึงความพิเศษของเจ้าหนูนี่เลยจริงๆ ยกเว้นระดับพลังวิญญาณของเขา จุดอื่นเขาก็ล้วนด้อยกว่าพวกเราทั้งนั้น ทำไมเขาถึงได้โชคดีอย่างนี้นะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่รู้สึกไม่พอใจจวินอู๋เสียมาก่อนหน้านี้แล้ว อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังจวินอู๋เสียที่นั่งอยู่คนเดียวในมุมห้องแล้วกระซิบกระซาบกับกลุ่มสหายของเขา
จวินอู๋เสียมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่ทุกคน ในขณะที่คนอายุน้อยที่สุดลำดับถัดมาที่สามารถเข้ามายังตึกหลักได้โดยตรงนั้น ก็มีอายุสิบห้าปีครึ่งแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงมีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสีแดง สาเหตุที่พวกเขาสามารถเข้ามาศึกษายังตึกหลักได้โดยตรง ล้วนเป็นเพราะระดับของวงแหวนภูติวิญญาณของพวกเขาค่อนข้างทรงพลังกว่าของคนอื่นๆ
เป็นความจริงที่ว่าในตอนแรกเริ่มสุด บทบาทของระดับพลังวิญญาณนั้นจะมีน้อยมาก ผู้คนส่วนใหญ่จึงวางใจและพึ่งพาในพลังของวงแหวนภูติวิญญาณมากกว่า ยิ่งระดับของวงแหวนภูติวิญญาณที่ถือครองมีความแข็งแกร่งมากเท่าไร ก็จะยิ่งสามารถข่มพลังของวงแหวนภูติวิญญาณประเภทเดียวกันได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น จนกว่าจะถึงระดับสีเขียว แม้ในการต่อสู้ภูติวิญญาณในตอนนั้นจะเหลือพลังวิญญาณเพียงน้อยนิดแล้วก็ตาม แต่การสะกดข่มของระดับวงแหวนภูติวิญญาณก็ยังสามารถใช้ได้ผลอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม หลังจากระดับขั้นสีเขียวขึ้นไปบทบาทของพลังวิญญาณจะค่อยๆ ปรากฏขึ้น ทว่าหากผู้ที่มีพลังวิญญาณต่ำกว่าขั้นสีเขียว เมื่อได้เจอกับวงแหวนภูติวิญญาณที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี
เหมือนกับผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นสีแดงแต่ถือครองวงแหวนภูติวิญญาณในระดับสาม เขาสามารถฆ่าผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีส้มได้ในไม่กี่วินาที!
ดังนั้นแม้ว่าจวินอู๋เสียจะสามารถทะลวงระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นสีส้มได้ด้วยวัยเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ในสายตาของกลุ่มคนรุ่นเยาว์มากมายที่สามารถผ่านเข้ามาศึกษายังตึกหลักได้โดยตรง แทบจะไม่นับว่าเป็นตัวอะไรเลย เนื่องจากระดับของวงแหวนภูติวิญญาณที่พวกเขาถือครองอยู่ ต่อให้แย่ที่สุดก็ยังเป็นระดับที่สาม พวกเขาไม่มีทางแพ้ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีส้มง่ายๆ แน่
“โชคดีไม่มีวันอยู่กับเขาตลอดไป เจ้าคิดว่าเมื่อเขาเข้าสู่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณแล้ว ก็จะสามารถเป็นผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้อย่างนั้นหรือ! ไม่เลย ในทุกๆ ปีมีศิษย์ที่โดนขับออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณมากเท่าไร สุดท้ายในแต่ละรุ่นก็เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น และดูจากสภาพของเขาในปัจจุบันแล้ว ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะอยู่ในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้นานแน่” ชายหนุ่มไม่ได้มองในแง่ดีเลยเกี่ยวกับจวินอู๋เสียเลย เขาหันไปหัวเราะเยาะกับสหายของเขาในเรื่องนี้
ความอิจฉาริษยาได้กัดกินหัวใจของพวกเขาไปจนหมด แต่ละคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอให้จวินอู๋เสียร่วงหล่นลงมาจากก้อนเมฆสู่โคลนตม
ต้องรู้ก่อนว่า เมื่อศิษย์คนหนึ่งถูกขับไล่ออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณแล้ว คนผู้นั้นก็จะไม่สามารถศึกษาต่อในสำนักศึกษาเฟิงหัวได้อีกต่อไป และจะถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาเฟิงหัวโดยตรง
เสียงเอะอะวิพากษ์วิจารณ์รอบตัว และสายตาที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรจากทุกทิศทาง ไม่ได้ทำให้จวินอู๋เสียซึ่งนั่งอยู่เงียบๆ เพียงลำพังในมุมห้องรู้สึกขุ่นเคืองใจหรือมีปฏิกิริยาใด นางยังคงลูบขนของเจ้าแมวดำตัวน้อยอย่างช้าๆ ปล่อยตัวไปตามสบายไม่สะทกสะท้านต่ออารมณ์ด้านลบเหล่านั้น
……….
ตอนที่ 398 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (2)
ความวุ่นวายหยุดลงในไม่ช้าเมื่ออาจารย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวผู้หนึ่งในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยใบหน้าที่เข้มงวด เขาเริ่มอธิบายถึงทั้งสามสาขาให้แก่กลุ่มศิษย์ใหม่ได้ฟัง
การเลือกสาขาของเหล่าศิษย์นั้นง่ายมาก พวกเขาเพียงแค่เลือกตามคุณสมบัติของวงแหวนภูติวิญญาณที่พวกเขาถือครองอยู่ ยกเว้นกฎเกณฑ์ในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณที่จนถึงบัดนี้ยังไม่แน่ชัดว่าอาศัยอะไรเป็นตัวกำหนด แน่นอนว่าเมื่อเหล่าศิษย์ใหม่ทั้งหลายได้ยินคำว่า ‘สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ’ หลายคำนี้ ดวงตาของกลุ่มคนรุ่นเยาว์ทุกคนก็สว่างไสว
ก่อนที่พวกเขาจะมารวมตัวกันที่นี่ เหล่าศิษย์ใหม่ได้เรียนรู้จากศิษย์พี่ของพวกเขาแล้วว่า ในทุกปีสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณจะทำการรับศิษย์ในคืนแรกของการเข้าเรียนหรือก็คือในค่ำคืนนี้ของพวกเขานี่เอง กู้หลีเซิงจะเข้ามาในห้องโถงใหญ่และเลือกศิษย์จากบรรดาเด็กใหม่ทุกคนด้วยตัวของเขาเอง
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จึงรู้ดีว่านอกเหนือไปจากสาขาผู้ใช้อาวุธวิญญาณและสาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณซึ่งจะเลือกตรงตามคุณสมบัติของภูติวิญญาณที่พวกเขาครอบครองอยู่ สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณที่แทบจะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของกู้หลีเซิง จึงดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้มากกว่า ทุกคนล้วนกำลังรอคอยให้โอกาสนี้มาถึงตัวเองอย่างอดทน!
พวกเขากำลังรอ! และในช่วงเวลานี้เอง!
กู้หลีเซิง!
ผู้ก่อตั้งสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ และก็ยังเป็นปรมาจารย์ผู้เยียวยาจิตวิญญาณอีกด้วย เขาคือบุรุษที่ยืนอยู่บนจุดยอดสุดของพีระมิด และดูเหมือนเขาเพิ่งจะมีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น!
แทบจะไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าอาชีพผู้เยียวยาจิตวิญญาณที่ทั้งโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ จะถูกสร้างขึ้นโดยบุรุษที่ดูเหมือนกับชายหนุ่มในวัยยี่สิบต้นๆ ผู้นี้
แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครไร้เดียงสาถึงขั้นเชื่อว่ากู้หลีเซิงเพิ่งจะมีอายุยี่สิบต้นๆ จริงๆ
ในสายตาของผู้คนทั่วทั้งใต้หล้า กู้หลีเซิงคือบุคคลเดียวในแผ่นดินนี้ที่สามารถใช้ทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณได้เชี่ยวชาญที่สุดและก็เป็นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ พวกเขารู้เพียงแต่ว่ากู้หลีเซิงในยามนี้อาศัยอยู่ในสำนักศึกษาเฟิงหัวเท่านั้น
ส่วนประวัติความเป็นมาของเขา ภูมิหลัง อายุ และความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขานั้น ล้วนแต่เป็นปริศนาไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัด
กู้หลีเซิงเข้าร่วมกับสำนักศึกษาเฟิงหัวยังไม่ถึงห้าปีเต็มดีเลย ในความเป็นจริงผู้ที่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้เต็มปากเต็มคำนั้น บนโลกใบนี้ก็มีเพียงกู้หลีเซิงบุคคลเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ยังคงเป็นเพียงศิษย์ที่กำลังศึกษาทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณจากเขา ล้วนเป็นศิษย์ภายใต้การอบรมและสั่งสอนดูแลของกู้หลีเซิง
ผู้เยียวยาจิตวิญญาณเดิมไม่เป็นที่รู้จัก แต่หลังจากที่กู้หลีเซิงได้ให้ความช่วยเหลือท่านผู้นำรัฐของเขาในการรักษาวงแหวนภูติวิญญาณของอีกฝ่ายจนหายดี ชื่อของเขาก็กระฉ่อนไปทั่ว และอาชีพผู้เยียวยาจิตวิญญาณเพียงค่ำคืนเดียวก็กลายเป็นอาชีพที่ร้อนแรง และกู้หลีเซิงก็กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นที่ต้องการของผู้คนมากที่สุด
เนื่องจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน มันจึงกลายเป็นสาขาที่ร้อนแรงและเป็นเอกลักษณ์ของสำนักศึกษาเฟิงหัว สามารถดึงดูดความสนใจจากเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่มีสวรรค์จากทั่วทั้งใต้หล้ามาได้นับไม่ถ้วน
ส่วนกลุ่มเด็กหนุ่มสาวที่อ้างตัวว่าเคยได้ศึกษาทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณมาก่อน รวมไปถึงศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณจริงๆ แม้พวกเขาจะยังไม่จบจากสำนักศึกษาเฟิงหัว และยังไม่ได้กลายเป็นปรมาจารย์ผู้เยียวยาจิตวิญญาณที่แท้จริง แต่ทุกคนก็ล้วนได้รับคำเชิญจากขุมอำนาจใหญ่ๆ ตั้งแต่หนึ่งเดือนแรกที่พวกเขาเข้าสู่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณแล้ว
กู้หลีเซิงแทบจะไม่ควบคุมลูกศิษย์ของตัวเองเลย นอกจากสอนทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณให้กับพวกเขา เขาไม่เคยกะเกณฑ์ว่าอีกฝ่ายจะต้องเข้าร่วมกับขุมอำนาจใดหรือว่าจะต้องมีพฤติกรรมเช่นไร ดังนั้นในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ศิษย์บางคนก็ทำเพื่อครอบครัวของตัวเอง บางคนที่เข้าร่วมกับขุมอำนาจบางแห่งไปแล้วก็ทำเพื่อขุมอำนาจนั้น แม้จะยังไม่ได้สำเร็จการศึกษาอย่างแท้จริง ทว่าแต่ละคนก็กลายเป็นตัวตนที่มีสถานะสูงส่งในแผ่นดินไปแล้ว!
ทุกคนรู้ดีว่าผู้เยียวยาจิตวิญญาณหมายความว่าอย่างไร ขอเพียงแค่มีผู้เยียวยาจิตวิญญาณอยู่ แม้จะเพียงแค่คนเดียวในขุมอำนาจของพวกเขา พวกเขาก็เหมือนกับได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ และอนาคตของพวกเขาก็จะเป็นได้นับไม่ถ้วน
ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่ากลุ่มเด็กหนุ่มสาวพวกนี้เมื่อได้ยินคำว่าผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ทุกคนก็ตาโต เบิกตารอช่วงเวลาดังกล่าวด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าจวินอู๋เสียจะขโมยไปแล้วหนึ่งที่นั่ง แต่ก็ยังเหลืออีกสองที่นั่งไม่ใช่หรือที่พวกเขาสามารถแย่งชิงได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่จะเดินไปถึงสุดทางได้จริงๆ จะเป็นใครยังไม่แน่เลย ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเอง!
บุรุษที่ยืนอยู่บนเวทีกำลังอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้แก่เหล่าศิษย์ใหม่ฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นปกติ แต่หลังจากที่เขาอธิบายจบแล้วและเงยหน้าขึ้นไปมอง สายตาของเหล่าศิษย์ใหม่ที่จับจ้องมาที่เขานั้น ทำให้คิ้วของเขาย่นเล็กน้อย
ในเวลานี้ของทุกๆ ปี เหล่าศิษย์ใหม่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าหนูพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่
แต่…
เกรงว่าครั้งนี้เขาจะทำให้ทุกคนต้องผิดหวังแล้ว
บุรุษผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจอย่างหนักและพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอผู้อาวุโสกู้อยู่ แต่น่าเสียดายยิ่งนัก…ที่ค่ำคืนนี้เขาไม่มาแล้ว”
……………
[1] ขนแพะงอกออกมาจากตัวแพะ หมายถึง ได้ทรัพย์สินจากผู้ใดผู้หญิงแล้วตอบแทนหรือคืนประโยชน์แก่ผู้นั้นด้วยอีกวิธีหนึ่ง โดยที่ตนเองไม่เสียอะไร