บทที่ 258 ฮองเฮาของข้า

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 258 ฮองเฮาของข้า

เฟิ่งชิงหัวอาศัยโอกาสนั้นสะบัดออกจากองค์ชายใหญ่แล้วกระโดดออกมาด้านข้างทันที มองไปสถานการณ์ทางด้านนั้นผ่านผ้าบางๆ ที่ปิดหน้าเอาไว้

เห็นเพียงชั้นวางหนังสือแต่ละชั้นชนเข้ากับแต่ละชั้นเช่นนี้เอง นังลงมาถูกชั้นวางหนังสือที่อยู่ด้านหน้าสุดแล้ว

“น่าจะมีคนงั้นหรือ?” ท่าทางขององค์ชายใหญ่ตกตะลึงขึ้น เป็นกังวลว่าคำพูดที่พูดไปเมื่อครู่จะถูกคนได้ยินเข้า จึงรีบจะเดินเข้าไปสำรวจดู ก็ถูกเฟิ่งชิงหัวห้ามเอาไว้

“อย่าไป” เฟิ่งชิงหัวกล่าว

“ทำไมล่ะ? หากมีคนแอบอยู่ที่นี่ ไม่ฆ่าเขาทิ้ง เรื่องของเจ้ากับข้าก็จะปิดเอาไว้ไม่อยู่นะ” องค์ชายใหญ่กล่าวออกมาอย่างร้อนรน

“ทางด้านนั้นไม่มีใคร หากมีคนหลบซ่อนอยู่ตรงนั้น จะจงใจผลักชั้นหนังสือให้ล้มเพื่อมาดึงดูดความสนใจของพวกเราทำไม?”

“แต่ว่า……”

“เป็นไปได้มากสุดก็คือชั้นหนังสือล้มด้วยตัวมันเอง เสียงนี้ดังขนาดนั้น อีกไม่นานก็ย่อมมีคนขึ้นมาแน่ หากขึ้นมาแล้วถูกคนเห็นว่าท่านอยู่ตรงนั้น สงสัยว่าท่านไม่พอใจต่อท่านอ๋องเจ็ดเลยเจตนาผลักชั้นหนังสือเพื่อระบายอารมณ์ ถึงตอนนั้นแม้แต่ข้าก็อาจจะไม่เป็นที่โปรดปรานของเขาได้ หรือว่าเสด็จพี่อยากจะเห็นฉากเช่นนี้กัน?”

องค์ชายใหญ่ไม่อยากแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าสายตาที่ยังสงสัยอย่างลังเลอยู่ก็ยังกวาดมองไปอย่างไม่หยุดหย่อน

“เสด็จพี่ ท่านไปเรียกคนด้านนอกมา ข้าจะอยู่ที่นี่ แบ่งเส้นความสัมพันธ์ให้ขาดออกจากกันก่อนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ท่านวางใจได้ หากมีคนซ่อนอยู่ตรงนั้นจริงๆ รอจนตอนที่เขาออกมา ข้าก็จะจัดการเขาให้ตายอย่างไร้ร่องรอยแน่นอน” เฟิ่งชิงหัวกล่าวข้างหูองค์ชายใหญ่

คราวนี้องค์ชายใหญ่จึงวางใจลงได้ เดินออกไปเลย ไปที่ชั้นล่างเพื่อเรียกคนทันที

เฟิ่งชิงหัวกลับเดินไปทางชั้นหนังสือ เดินตรงมาเรื่อยๆ จนถึงแถวสุดท้าย ก็เห็นจ้านเป่ยเซียวเอาหลังพิงชนกำแพงไว้อยู่ จ้องมายังเฟิ่งชิงหัวด้วยสีหน้าท่าทางอันเย็นชา เหมือนกับสามีที่จับภรรยาของตนกับชู้ไว้ได้ ด้านในดวงตาก็แอบซ่อนไฟโมโหที่พร้อมจะแผดเผาเอาไว้

เฟิ่งชิงหัวลูบคลำแก้มไปมา เอามือไขว้หลังแล้วขยับเข้าใกล้เขา จ้องไปยังดวงตาของเขาแล้วกล่าวว่า: “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้กัน ก็ไม่ได้มีอะไรนี่ เขาก็แค่มองข้าเป็น”

“มือข้างไหนของเขาที่สัมผัสเจ้า?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาด้วยความโมโหและเย็นชา

“ฮะ?”

“ดูไปแล้วต้องเป็นมือทั้งสองข้างที่ถูกสัมผัสโดนเป็นแน่ ข้าจะไปตัดมือของเขาด้วยตัวเองเดี๋ยวนี้แหละ!” ในขณะที่จ้านเป่ยเซียวพูดอยู่ก็สะบัดแขนชุดเพ้าขึ้น หันหลังแล้วก็เดินไปเลย

จ้านเป่ยเซียวในตอนนี้ ความโกรธแค้นปะทุขึ้น ทำให้จิตใจแข็งกระด้างไปหมด

เฟิ่งชิงหัวพุ่งเข้ามาทันที แล้วดึงรั้งจ้านเป่ยเซียวเอาไว้แน่น: “ไม่ได้ เจ้าไปไม่ได้?”

“เจ้าขอร้องอ้อนวอนแทนเขา?” จ้านเป่ยเซียวหันศีรษะมองมาที่นาง สายตามืดมนไปหมด

จ้านเป่ยเซียวโมโหจนไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะไปเลย ฝ่ามือนั้นเมื่อครู่ก็ควรจะซัดไปบนร่างของคนผู้นั้น!

“จ้านเป่ยเซียว เจ้าใจเย็นลงก่อน เขาเพียงแค่เห็นข้าเป็นซีหลันนะ ไม่ได้จงใจจะลวนลามข้า”

“ข้าก็แค่สนใจสิ่งที่ดวงตาคู่นี้เห็นเท่านั้นเอง!”

เฟิ่งชิงหัวตกใจกลัวจนมือทั้งสองข้างจับไปยังแขนของจ้านเป่ยเซียวแน่น: “ไม่ได้ เจ้าไปไม่ได้ เจ้าไปแล้วก็ไม่ใช่เท่ากับว่าเป็นการยอมรับว่าเมื่อครู่นี้เจ้าได้ยินทุกอย่างเลยหรือ งั้นก็เท่ากับว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ใช่หรือ”

เฟิ่งชิงหัวไม่อยากจะต้องเสียแรงเปล่า ก็เลยรีบควบคุมจิ้งจอกที่ไร้การควบคุมตัวนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

จ้านเป่ยเซียวหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา มือของเฟิ่งชิงหัวปล่อยออก ก้าวเท้าออกไปก็จะเดินไปด้านนอกเลย

ภายใต้สถานการณ์จำยอม เฟิ่งชิงหัวไม่ทันได้คิดอะไรมาก ก็เลยพุ่งมาทางด้านหน้าของจ้านเป่ยเซียวทันที กระโดดขึ้นไปกอดคอของจ้านเป่ยเซียวไว้แน่นแล้วดึงงร่างของเขาลงมา จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์จูบเข้าไปยังริมฝีปากที่เม้มไว้แน่นเพราะความโกรธ

และในเวลาเดียวกันนี้เอง ด้านนอกประตูก็มีเสียงพูดคุยของหลายคนดังเข้ามา

“ชั้นหนังสือล้มเอง เป็นไปไม่ได้ ชั้นหนังสือของพวกเราที่นี่ดูมั่นคงทุกอัน”

“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน จู่ๆ ก็ล้มลงมาเอง”

เสียงขององค์ชายใหญ่ที่พูดคุยกับคนอยู่ดังเข้ามา

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็ยิ่งใจคอไม่ดีขึ้นมา เจ้าโง่คนนี้คิดไม่ถึงว่าจะยังกล้าเข้ามา ไม่กลัวจ้านเป่ยเซียวตีเขาให้ตายหรือยังไงกัน!

ในขณะที่คิดเช่นนี้อยู่ เฟิ่งชิงหัวกลับไม่กล้าที่จะผ่อนคลายเลย เพราะว่าในตอนที่นางจูบจ้านเป่ยเซียวนั้น คนผู้นี้ไม่ได้ตอบสนองกลับนางแม้แต่นิดเดียวเลย

เฟิ่งชิงหัวจนปัญญา ได้เพียงยิ่งถลำลึกเข้าไปอีก บุกทลายเข้าไปยังหว่างริมฝีปากและฟันของจ้านเป่ยเซียว ยั่วยวนเร้าอารมณ์เข้าไปอีก

ในสมองตอนนี้มีเพียงว่า อย่าให้จ้านเป่ยเซียวลงมืออย่างเด็ดขาด จะต้องดึงดูดความสนใจของเขาให้ได้

ยังไงนี่ก็ไม่ใช่การจูบครั้งแรก อย่าเขินอายไปเลย เพียงแค่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ยังไงนางก็ไม่เสียเปรียบ

ในขณะที่คิดเช่นนี้อยู่ มือข้างหนึ่งของเฟิ่งชิงหัวก็โอบกอดคอของจ้านเป่ยเซียวไว้ แล้วมืออีกข้างหนึ่งก็กดศีรษะของเขาเอาไว้แน่น จูบจนลืมหายใจไปเลย สีหน้าซีดไปทันที สะเทือนฟ้าดิน

คราวนี้ทั้งร่างของเฟิ่งชิงหัวตั้งแต่หัวจรดเท้าต่างเปี่ยมไปด้วยความรุนแรงขึ้นมา ก็เหมือนกับว่าจะกลืนกินจ้านเป่ยเซียวลงไปในท้องก็ไม่ปาน

ความโกรธแค้นที่จ้านเป่ยเซียวมีแต่เดิมนั้น ถูกแทนที่ด้วยความสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ไป ยังไงเมื่อก่อนเขาก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยจูบนาง แต่ว่าเป็นการจู่โจมแบบบ้าคลั่งเช่นนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรก

หลังจากที่จ้านเป่ยเซียวตกตะลึงไปแล้ว ในดวตาก็เผยให้เห็นนัยของรอยยิ้มขึ้นมมา จากนั้นมือทั้งสองข้างก็โอบกอดไปยังเอวของเฟิ่งชิงหัวแน่น แล้วเริ่มตอบสนองกลับ

ทั้งสองคนลืมไปสนิทเลยว่าคนที่อยู่ด้านนอกไม่เพียงแต่ไม่ได้ไปไหน อีกทั้งยังเข้ามาแล้วด้วย ณ ตอนนี้ก็ยืนอยู่ตรงที่ไม่ไกลจากชั้นหนังสือมากนัก มองมายังฉากที่อยู่เบื้องหน้าโดยตรงเลย

องค์ชายใหญ่ยังไงก็คิดไม่ถึงเลยว่า ตนเองเพียงแค่ออกไปประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เสด็จน้องของตนก็จูบติดพันกับท่านอ๋องเจ็ดเข้าให้แล้ว

ดูท่าทางราวกับว่าท่านอ๋องเจ็ดก็ค่อนข้างจะเป็นฝ่ายรุกเช่นกัน

การจูบของทั้งสองคนนั้นสามารถเรียกได้ว่าดูดดื่มเมามันมาก ทำให้คนอย่างเขาที่ยืนดูอยู่ด้านข้างรู้สึกไม่ค่อยดีไปบ้างเล็กน้อย

“ไปให้พ้น!” จ้านเป่ยเซียวสะบัดมือขึ้น หลายคนก็เหมือนดั่งใบไม้ร่วงก็ไม่ปานลืมเผ่นออกไปเลย จากนั้นก็ออกไปจากชั้นนี้อย่างรวดเร็ว

เฟิ่งชิงหัวเห็นว่าจ้านเป่ยเซียวเพียงแค่ไล่ตะเพิดคนออกไปแล้ว ในใจก็ถอนหายใจออกมาได้ แล้วก็ผละออกมาจากมือที่โอบเอาไว้ของจ้านเป่ยเซียว

แต่ทว่าในวินาทีต่อมาก็ถูกฝ่ายชายกดไปยังผนัง ฝ่ายชายกล่าวออกมาอย่างคนที่อยู่เหนือกว่าว่า: “ตอนนี้ไม่มีคนรบกวนแล้ว พวกเราทำต่อเถอะ เจ้าตั้งใจหน่อย”

“ไม่ใช่ ข้า” เฟิ่งชิงหัวยังคิดอยากจะพูดอะไรยางอย่าง แต่ว่าฝ่ายชายก็กดทับลงมาเลย กลืนกินคำพูดของนางเข้าไปอย่างหมดสิ้นเลย

การยั่วยวนนี้ของเฟิ่งชิงหัวทั้งหมดนี้ได้ยั่วยวนอารมณ์รุ่มร้อนนี้ของจ้านเป่ยเซียวให้ขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ กดนางไว้ข้างผนังแล้วจูบ หลังจากนั้นก็กดลงไปบนพื้นแล้วจูบอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็อุ้มนางในทันทีแล้วกลิ้งไปบนพรมขนเป็ดสีขาวหิมะ แล้วก็ทิ้งร่องรอยเขียวช้ำไว้บนคอของนางสองสามรอย

ลมหายใจอันร้อนรุ่มกวาดรดไปบนใบหน้าของนางไม่หยุด ผ่านไปนานมาก จ้านเป่ยเซียวก็ทับไปบนร่างของเฟิ่งชิงหัว ฝ่ามือข้างหนึ่งอยู่ข้างศีรษะของนาง มองมาที่นางอย่างคนที่อยู่เหนือกว่า: “ครั้งนี้ทำไมไม่ต่อต้าน?”

เฟิ่งชิงหัวสบตาไปครู่หนึ่ง แล้วก็มองมาด้านข้าง กล่าวออกมาเบาๆ งึมงำว่า: “เป็นข้าเองที่จูบเจ้าก่อน อีกอย่างข้าก็ไม่เสียเปรียบเช่นกัน”

ฝีมือการจูบของชายผู้นี้ดูเหมือนว่าจะพัฒนาไปไม่น้อยเลย นางช่างเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งจริงๆ

ได้ยินคำพูดนี้ ร่างของจ้านเป่ยเซียวก็นิ่งงันไป แล้วจ้องถลึงตามายังเฟิ่งชิงหัว กล่าวออกมาด้วยอารมณ์โมโหว่า: “เจ้าเพียงเพื่อคนผู้นั้นสามารถทำได้ถึงขั้นนี้เลยหรือ? ทำไมข้าจึงไม่เห็นได้ยินข้อมูลที่มีมูลค่าอะไรบนตัวของเขาเลย”

แน่นอนว่าเฟิ่งชิงหัวไม่อาจพูดความจริงออกมาได้ ได้เพียงกล่าวว่า: “ทำไมจะไม่มี ไม่ใช่ให้ข้าคิดหาวิธียุแยงตะแคงรั่วหรือ ทำให้เจ้าและรัชทายาททะเลาะกันแบบตายกันไปข้างน่ะ?”

จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม: “แค่จ้านถิงเฟิง? ยังต้องตายกันไปข้างเหรอ? หากข้าคิดจะจัดการเขา พลังนิ้วแค่นิ้วเดียวก็เพียงพอแล้ว”

“งั้นเจ้าทำไมไม่เป็นรัชทายาท อีกทั้งยังเป็นเพียงท่านอ๋อง” เฟิ่งชิงหัวเม้มปากแล้วกล่าวเบาๆ ออกมา

จ้านเป่ยเซียวมองมาที่นางอย่างเคร่งขรึม จากนั้นเลิกคิ้วกล่าวว่า: “ทำไม เจ้าไม่อยากเป็นพระชายาของข้า อยากเป็นฮองเฮาของข้าหรือ?”