ตอนที่ 202 ความสามารถเหนือธรรมชาติ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 202 ความสามารถเหนือธรรมชาติ
แต่ไม่ว่าเซียวหรงเหยี่ยนตรงหน้าจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ในเมื่อชายหนุ่มซื้อเขามาแล้ว เขาก็ต้องตอบแทนบุญคุณของเซียวหรงเหยี่ยน ทว่า เขาจะลากตระกูลไป๋เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้เด็ดขาด

การเกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์ สำหรับพวกเขาแล้วการปกป้องผลประโยชน์ และศักดิ์ศรีของตระกูลเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง ดังนั้นหากเป็นบุญคุณส่วนตัว คนในตระกูลไป๋ทุกคนจะไม่ลากตระกูลไป๋เข้ามาตอบแทนบุญแทนแน่นอน

เซียวหรงเหยี่ยนค่อนข้างประหลาดใจ ชายหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ได้รับถ้วยชามา เพียงแต่เอ่ยถาม

“คุณชายจะตอบแทนอย่างไรขอรับ”

น้ำเสียงของไป๋ชิงเจวี๋ยหนักแน่น “เงินที่เซียนเซิงซื้อตัวข้า ข้าจะคืนให้สิบเท่า และจะทำตามคำสั่งของเซียนเซิงสามเรื่อง…หลังครบสามเรื่องข้าค่อยจากไปขอรับ!”

คนตระกูลไป๋หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี รู้จักตอบแทนบุญคุณคน เซียวหรงเหยี่ยนรู้ซึ้งจากไป๋ชิงเหยียนแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวหรงเหยี่ยนจึงไม่คิดฝืนใจ เขารับถ้วยน้ำชามาจากมือของไป๋ชิงเจวี๋ย ถือเป็นการตอบรับ จากนั้นเอ่ยถามยิ้มๆ “เช่นนั้น…ข้าควรเรียกคุณชายเช่นไรดีขอรับ”

“หวังชีเจวี๋ย” ไป๋ชิงเจวี๋ยตอบ

ไป๋ชิงเจวี๋ยเป็นบุตรคนที่เจ็ดของตระกูล มารดาแซ่หวัง ดังนั้นเขาจึงใช้ชื่อหวังชีเจวี๋ย เมื่อใช้ชื่อนี้ตอบแทนบุญคุณเซียวหรงเหยี่ยนเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันอีก

“ขอรับ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณชายชีเจวี๋ยมาเป็นองครักษ์ข้างกายข้า เมื่อตอบแทนครบสามเรื่อง คืนเงินครบ คุณชายชีเจวี๋ยสามารถจากไปได้อย่างอิสระขอรับ”

กล่าวจบ เซียวหรงเหยี่ยนดื่มน้ำชาจนหมดถ้วย สั่งให้คนพาไป๋ชิงเจวี๋ยไปพักผ่อน

บัดนี้สถานการณ์ของแคว้นต้าจิ้นซับซ้อน คุณชายไป๋ผู้นี้ยังไม่กลับไปยังต้าจิ้นก็ดีเหมือนกัน หากรัชทายาทหรือจักรพรรดิของแคว้นต้าจิ้นทราบเรื่องนี้คงไม่เป็นผลดีต่อสตรีของตระกูลไป๋

ทว่า อย่างน้อยก็ควรเขียนจดหมายแจ้งให้ไป๋ชิงเหยียนทราบสักหน่อย หญิงสาวจะได้สบายใจ

หลังจากไป๋ชิงเจวี๋ยเดินจากไป เซียวหรงเหยี่ยนเรียกหวังจิ่วโจวเข้ามาพบ เขาสั่งให้หวังจิ่วโจวตามหมอมาดูอาการของไป๋ชิงเจวี๋ย

หวังจิ่วโจวทราบว่าเจ้านายของตนให้ความสำคัญกับคุณชายผู้นั้นจึงรีบพยักหน้ารัว จากนั้นกล่าวรายงานอีกเรื่อง

“นายท่าน ตอนที่คุณชายผู้นั้นตามข้ากลับมา เขาทำสัญลักษณ์ไว้ระหว่างทางด้วยขอรับ ข้าประมาทเอง ยังดีที่องครักษ์ลับของเราพบเข้าเสียก่อนขอรับ”

เซียวหรงเหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พยักหน้าสื่อว่าเขาทราบแล้ว

“นายท่านจะให้คนลบร่องรอยเหล่านั้นหรือไม่ขอรับ” หวังจิ่วโจวถาม

“ไม่ต้อง…มิเป็นอันใด” เซียวหรงเหยี่ยนกล่าว

มิน่าเขาถึงไม่รีบร้อนกลับแคว้นต้าจิ้น คงเป็นเพราะคุณชายไป๋ผู้นี้ยังไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัดของแคว้นต้าจิ้น เขาจึงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายกลับไป เขาทิ้งร่องรอยรอให้คนของตระกูลไป๋ตามมาพบสินะ ช่างเป็นคนเฉลียวฉลาด และมีความอดทนสูงจริงๆ

อายุน่าจะราวๆ สิบหกปี แม้เซียวหรงเหยี่ยนจะไม่รู้ว่าเป็นคุณชายคนใดของตระกูลไป๋ แต่เขาต้องเป็นทายาทของตระกูลไป๋แน่นอน หากไป๋ชิงเหยียนทราบเรื่องนี้ นางต้องดีใจมากแน่นอน

เซียวหรงเหยี่ยนวางหมากตัวหนึ่งลงบนกระดาน มุมปากหยักยิ้มขึ้นน้อยๆ วางตัวหมากทั้งหมดลงบนกระดาน จากนั้นลุกเดินไปยังโต๊ะหนังสือ คลี่กระดาษเขียนจดหมายออก มือขวาจับพู่กัน ค่อยๆ บรรจงเขียน เป่าหมึกจนแห้งแล้วพับใส่ลงไปในซองจดหมาย จากนั้นสั่งให้คนไปตามองครักษ์ที่เคยไปส่งม้าให้ไป๋ชิงเหยียนมา สั่งให้เขาขี่ม้าเร็วนำจดหมายฉบับนี้ไปมอบให้ไป๋ชิงเหยียน

รุ่งสางของวันรุ่งขึ้น แสงอรุณส่องผ่านเมฆหนา สาดส่องไปยังภูเขาและสายน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล แสงอรุณปรากฏขึ้นพร้อมดวงตะวัน สาดส่องแม่น้ำจิงที่ไหลจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก ส่องผ่านค่ายทหารของต้าจิ้นแล้ว เคลื่อนไปยังค่ายทหารของซีเหลียง ขับไล่ความมืดจนค่อยๆ จางหายไป

ค่ายทหารของซีเหลียงบริเวณทางใต้ของแม่น้ำจิงที่อยู่อย่างสงบนิ่งมาหลายวัน จู่ๆ ทหารจำนวนหนึ่งก็บุกออกมาจากค่าย มุ่งหน้าไปยังริมแม่น้ำจิง ตะโกนว่าต้องการพบไป๋ชิงเหยียน ซึ่งผู้ที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดก็คืออวิ๋นพั่วสิง

บัดนี้เข่าทั้งสองข้างของอวิ๋นพั่วสิงแตกละเอียดแล้ว เขาไม่สามารถยืนขึ้นได้อีก ทว่า ขาของเขายังพอมีความรู้สึกอยู่บ้าง หากนั่งอยู่บนหลังม้าผู้อื่นคงไม่อาจจับพิรุธได้

อวิ๋นพั่วสิงมองไปยังศีรษะของบุตรชายที่ถูกแขวนสูงอยู่กลางค่ายทหารของต้าจิ้น เขาขบกรามแน่น ดวงตาแดงฉาน ทว่า อารมณ์เดือดดาลทั้งหมดกลับสงบลงภายในพริบตาเดียวราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็น

มีคำกล่าวหนึ่งกล่าวไว้ว่า…เวรกรรมมีจริง กรรมตามสนอง

เขาสังหารไป๋เวยถิง แขวนศีรษะบุตรชายของไป๋เวยถิงไว้กลางค่ายทหารของซีเหลียงเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของทหารซีเหลียง นึกไม่ถึงเลยว่า…เวรกรรมจะมีจริง หลานสาวของไป๋เวยถิงสังหารบุตรชายและหลานชายของเขา แขวนศีรษะบุตรชายของเขาไว้กลางค่ายทหารของแคว้นต้าจิ้น

อวิ๋นพั่วสิงหลับตาลง ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีน้ำตาร้อนไหลไปตามใบหน้าของเขา

ไป๋ชิงเหยียนที่นั่งอยู่ในกระโจมได้ยินว่าอวิ๋นพั่วสิงต้องการพบนาง หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ

“ดูท่าเสบียงอาหารของซีเหลียงคงจะมาถึงในวันนี้แล้ว อวิ๋นพั่วสิงจึงกล้าบุกมาเจรจากับข้าเช่นนี้”

ฝ่ายศัตรูคนมาก ฝ่ายเราคนน้อย นี่คือข้อได้เปรียบที่สุดของไป๋ชิงเหยียน เสบียงอาหารถูกเผาจนไม่พอประทังชีวิตคนทั้งกองทัพ นี่คือจุดอ่อนของอวิ๋นพั่วสิง

ดังนั้น เมื่ออวิ๋นพั่วสิงยุติการทำสงคราม ไป๋ชิงเหยียนจึงเฝ้าอยู่อย่างสงบ เผชิญหน้ากับซีเหลียงโดยมีเพียงแม่น้ำขั้นกลาง

ก่อนหน้านี้อวิ๋นพั่วสิงไม่กล้าเจรจากับไป๋ชิงเหยียน มีเพียงเสบียงของซีเหลียงมาถึงเท่านั้น อวิ๋นพั่วสิงจึงจะกล้าเจรจาไป๋ชิงเหยียน

ทว่า ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้เสิ่นเหลียงอวี้นำทหารค่ายหู่อิงไปจับตาดูค่ายทหารของซีเหลียงล่วงหน้าแล้ว นอกจากทหารส่งสารที่มาจากซีเหลียงแล้ว ไม่มีเสบียงส่งมายังค่ายทหารเลย

ที่สำคัญหลังจากที่ซีเหลียงถูกเผาเสบียงอาหาร ทุกวันเห็นควันหุงอาหารจากค่ายทหารซีเหลียงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซีเหลียงขาดแคลนเสบียงอาหารจนถึงที่สุดแล้ว

ไป๋ชิงเหยียนมั่นใจว่าเสบียงอาหารของซีเหลียงต้องมาถึงภายในวันนี้อย่างแน่นอน

หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่หน้ากระบะทราย มองดูแผนที่แสดงรายละเอียดภูมิประเทศบริเวณรอบๆ อย่างละเอียด

ก่อนหน้านี้ นางเคยให้คนดักซุ่มโจมตีเสบียงอาหารของซีเหลียงที่เส้นทางไปหุบเขาถัวเฟิง ทว่า ตอนนั้นซีเหลียงอยู่ที่เทียนเหมินกวน ดังนั้นเส้นทางที่จะส่งเสบียงอาหารมาถึงโดยเร็วที่สุดก็คือผ่านทางหุบถัวเฟิง

บัดนี้กองทัพซีเหลียงถอยทัพไปอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำจิงแล้ว หากซีเหลียงต้องการส่งเสบียงอาหารมาถึงโดยเร็วที่สุด…คงต้องผ่านภูเขาชวนหลิง ซึ่งก็คือสถานที่ที่ท่านปู่ของนางจบชีวิตลง

ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว เอ่ยขึ้น

“ไป๋จิ่นจื้อ ถ่ายทอดคำสั่งไปยังเสิ่นเหลียงอวี้ ให้เขานำค่ายหู่อิงไปซุ่มโจมตีที่ภูเขาชวนหลิง กำจัดเสบียงอาหารของซีเหลียงให้สิ้นซาก เจ้าจงไปกับเสิ่นเหลียงอวี้ด้วย!”

เดิมทีไป๋จิ่นจื้ออยากอยู่คุ้มครองพี่หญิงใหญ่ ทว่า เมื่อคิดได้ว่าพี่หญิงใหญ่กับอวิ๋นพั่วสิงอยู่ห่างกันโดยมีแม่น้ำกั้นขวางอยู่คงไม่มีอันตรายอันใด นางจึงรับคำสั่งแล้วเดินออกไปจากค่าย

ไม่มีเสบียง นอกจากอวิ๋นพั่วสิงจะมีความสามารถเสกเสบียงขึ้นมาได้ มิเช่นนั้นทหารที่กินไม่อิ่มคงท้อง…ไม่มีเรี่ยวแรงรบชนะอย่างแน่นอน

ไม่นาน ไป๋ชิงเหยียนขี่ม้านำกำลังทหารจำนวนหนึ่งออกจากค่ายทหารของต้าจิ้น มุ่งไปยังริมแม่น้ำจิง

เมื่ออวิ๋นพั่วสิงที่อยู่บนหลังม้ามองเห็นไป๋ชิงเหยียน เขานึกถึงบุตรชายและหลานชายที่เสียชีวิตไปแล้วในทันที เขาข่มความโกรธแค้นไว้ไม่ได้ ทว่า เมื่อนึกได้ว่าปู่ พ่อ บรรดาอาและน้องชายของไป๋ชิงเหยียนล้วนตายด้วยน้ำมือของเขา เขาก็รู้สึกสะใจขึ้นมาไม่น้อย อวิ๋นพั่วสิงหันไปกล่าวกับทหารข้างกาย

“ส่งคนข้ามแม่น้ำจิงไปบอกกับไป๋ชิงเหยียนว่าข้าต้องการเจรจากับนาง นางเลือกสถานที่ได้เลย”

ทหารซีเหลียงคนหนึ่งได้รับคำสั่ง เขาล่องแพข้ามแม่น้ำจิงไปตามลำพัง

เซียวรั่วเจียงยกมือขึ้น พลธนูรีบถลาไปคุ้มกันอยู่ด้านหน้าไป๋ชิงเหยียน ง้างสายธนูเล็งไปยังทหารซีเหลียงที่กำลังข้ามแม่น้ำมา

“ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก ทหารซีเหลียงข้ามมาเพียงคนเดียว หรู่ซยงคิดว่าทหารซีเหลียงผู้นั้นมีความสามารถเหนือธรรมชาติหรืออย่างไรกัน”

สายตาของไป๋ชิงเหยียนจับจ้องไปยังอวิ๋นพั่วสิง น้ำเสียงราบเรียบ