ตอนที่ 197 ฮือฮือฮือ

ตอนที่ 197 ฮือฮือฮือ

องครักษ์นายนั้นยังอยากพูดบางสิ่งบางอย่างแต่โดนหมินอ๋องซื่อจื่อห้ามไว้ก่อน “เมื่อครู่เพราะกู่เหนียงท่านนี้ช่วยถ่วงเวลามนุษย์โอสถเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเรายังจะมีชีวิตมาถึงตอนนี้หรือ ? หากนางต้องการชีวิตของข้าจริง นางคงไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยข้าไว้หรอก ! ”

ขณะที่กล่าว เขาก็ดื่มน้ำอุ่นในมือจนหมดเพื่อแสดงให้เห็นความเชื่อใจที่มีต่อหลินเว่ยเว่ย

หลินเว่ยเว่ยที่บรรลุเป้าหมายแล้วก็รับถ้วยน้ำกลับคืนมา หลังฉีกยิ้มแล้ว นางก็หันหลังเดินออกไปทันที

หมินอ๋องซื่อจื่อทำมือคารวะตามแผ่นหลังของนาง “บุณคุณช่วยชีวิต วันหน้าจะต้องตอบแทนแน่นอน ! ”

หลินเว่ยเว่ยไม่ได้หันหลังกลับไปมองอีก นางเพียงโบกมือให้เท่านั้น

หลังออกจากระยะสายตาของทุกคนได้พอสมควรแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็หยุดเสแสร้ง นางกระโดดราวกับลิงอยู่ตรงที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับเจียงโม่หานพร้อมเสียงหัวเราะ “เมื่อครู่ข้าดูดีมากใช่หรือไม่ ? เหมือนยอดฝีมือในยุทธภพ ให้ความรู้สึกคาดเดายากใช่หรือไม่ ? ”

“ไม่เจ็บข้อเท้าแล้วหรือ ? ” เจียงโม่หานยังจำรอยเขียวช้ำตรงข้อเท้าของนางได้ แววตาทั้งสองข้างจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

หลินเว่ยเว่ยที่เคยกระโดดด้วยความสนุกสนานเมื่อครู่จึงมีร่างกายอ่อนยวบในทันที นางเอนไปพิงกายบัณฑิตหนุ่มราวกับหลินไต้อวี้1ผู้อ่อนแอ “ไอหยา เดิมทีไม่ควรเจ็บ ทว่าพอเจ้าถลึงตาใส่แล้ว ข้อเท้าของข้าก็เริ่มเจ็บขึ้นมาทันที ไอหยา…ข้าเดินไม่ไหวแล้ว จะทำอย่างไรดี ? ”

สีหน้าของเจียงโม่หานเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย รู้ทั้งรู้ว่านางแสร้งทำ แต่เขาก็ยังช่วยประคอง หลินเว่ยเว่ยเอนกายเข้าสู่อ้อมแขนบัณฑิตหนุ่ม ทิ้งน้ำหนักตัวส่วนใหญ่ไว้ที่เขา…ให้นางได้เพลิดเพลินกับการบริการของพี่ชายสุดหล่อหน่อยเถิด !

ตอนนี้หยาเอ๋อร์กำลังประคองซัวถัวเดินตามหลังทั้งสองคน ซัวถัวมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความปวดร้าว…บัณฑิตเจียง เจ้าแบกเสี่ยวเว่ยขึ้นหลังสิ นางเจ็บข้อเท้าอยู่ เจ้ายังให้นางเดินอีก หากขาของเขาไม่บาดเจ็บก็คงดี…

หยาเอ๋อร์มองพวกเขาด้วยความอิจฉาเล็กน้อย “พวกเขาดูเหมาะสมกันมากเลย ! ”

เหมาะสมตรงไหน ? บัณฑิตเจียงทำตัวสูงส่ง วันหน้าหากสอบซิ่วไฉได้ จะต้องไม่กลับมาหาภรรยายังสถานที่แร้นแค้นอย่างฉือหลี่โกวแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเสี่ยวเว่ยจะทำอย่างไร ?

มีบัณฑิตมากมายเพียงใดในนิทานที่ละทิ้งภรรยาผู้ยากไร้แล้วเลือกปีนขึ้นที่สูง ? ท้ายสุดคนที่ต้องขมขื่นก็คือสตรี…เสี่ยวเว่ยฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้ จะเหมือนกับเด็กสาวโง่เขลาในหมู่บ้านที่โดนรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้านี่หลอกให้สับสนได้อย่างไร ?

บุรุษหน้าตาดีแล้วมีประโยชน์อันใด ? อ่อนแอราวกับลูกไก่ ไหล่ไม่แข็ง มือไม่ด้าน ไม่ว่างานใดก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น…สตรีในหุบเขาควรจะเลือกผู้ชายที่แข็งแรงและทำงานหนักไว้ก่อน ! เหตุใดพวกนางจึงคิดไม่ได้ ?

ขณะกำลังจะถึงค่ายพักแรมของชาวบ้านฉือหลี่โกว จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็ยืนตัวตรง ศีรษะก็ไม่ได้เวียน ขาก็ไม่ได้อ่อนแรงอีกต่อไป ท่าเดินทรงพลัง ดูดีเสียยิ่งกว่าเจียงโม่หานราวกับว่าสตรีผู้อ่อนแอในอ้อมแขนบัณฑิตหนุ่มเมื่อครู่ไม่ใช่นาง !

“พี่รอง ! เป็นเช่นไรบ้าง ? มือสังหารถูกจับตัวได้หรือไม่ ? แล้วใต้เท้าซื่อจื่อปลอดภัยหรือเปล่า ? ” หลินจื่อเหยียนรีบเดินเข้ามาหา หลังจากสังเกตพี่สาวอย่างละเอียดแล้ว เขาก็เห็นนางมีชีวิตชีวาดี เขาจึงเดินผ่านตัวนางไปยังซัวถัวที่ร่างกายโอนเอนอยู่

เจียงโม่หานทำหน้าราวกับมีใครไปติดหนี้ตนไว้หลายหมื่นตำลึง เขาเค้นเสียง ฮึ อย่างเย็นชา “ซื่อจื่อไม่เป็นไร แต่พี่รองของเจ้าเป็น ! ใครใช้ให้นางใจกล้า แม้แต่หมินอ๋องซื่อจื่อกับองครักษ์ยังจัดการไม่ได้ แต่นางก็พุ่งเข้าไปอย่างไร้สมอง ทำไมหรือ ? อยากได้รับคำชมจนเป็นบ้าไปแล้ว ? ”

เมื่อหลินจื่อเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็รีบผละออกจากซัวถัวแล้วกลับมาอยู่ข้างกายหลินเว่ยเว่ยอีกครั้ง “พี่รองบาดเจ็บหรือ ? เมื่อครู่ได้ยินว่ามียักษ์ตัวใหญ่แสนน่ากลัว พละกำลังมหาศาล สามารถฉีกคนเป็นชิ้นได้ ท่าน…ท่านคงไม่คิดว่าตนมีแรงเยอะจึงเข้าไปสู้กับยักษ์ใช่หรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยรีบคุยโวทันที “เจ้าพูดเกินจริงแล้ว พละกำลังของเจ้านั่นก็แค่นั้นเอง โดนข้าจับกดอยู่กับพื้นยังลุกไม่ขึ้น…”

“เช่นนั้นรอยเขียวช้ำตรงข้อเท้าของเจ้ามาจากที่ใด ? ! ” เจียงโม่หานพูดขัดนางอย่างไร้ความปรานี

หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยความกระอักกระอ่วน “ดูเจ้าสิ หมดสนุกกันพอดี ? เจ้าแค่พูดมาว่าข้าเป็นคนฆ่าเจ้ายักษ์นั่น ! เฮ้…ข้าสังหารคน ! หัวใจดวงน้อยได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงแล้ว ต่อไปอีกหลายวันข้าต้องฝันร้ายแน่…เจ้า เจ้าไม่ปลอบข้าก็ช่างเถิด แต่ยังทำหน้าเย็นชาใส่แถมยังถากถางข้า ข้า…ฮือฮือฮือฮือ…”

เมื่อบทละครเริ่มขึ้น นางก็แสดงได้ดีเสียยิ่งกว่านักแสดงชื่อดัง ! เดิมทีเจียงโม่หานไม่อยากสนใจนาง แต่แล้วเขาก็เริ่มคิดทบทวนทันที เนื่องจากนางเป็นเพียงเด็กสาวเท่านั้น อดีตเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหน ไม่ควรให้จิตใจเกิดปัญหา เขาจึงรีบพูดปลอบนางทันที

“มนุษย์โอสถถูกเจ้าสังหารที่ไหนกัน ? อย่าเอาผลงานเข้าตัวหน่อยเลย ! เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามันตายเพราะกระบี่ของหมินอ๋องซื่อจื่อแทงลงที่ลูกตา เจ้าใจกล้าไม่น้อย ถึงขั้นกล้าแย่งผลงานหมินอ๋องซื่อจื่อ คิดว่าตนเป็นนักรบจริงหรือ ? ”

“ข้าไม่ได้สังหารมันจริงหรือ ? แต่ข้าเป็นคนแทงเหล็กแหลมใส่หูของมัน…” หลินเว่ยเว่ยมองมืออันสะอาดสะอ้านที่ล้างแล้ว แต่ความรู้สึกเหนียวเหนอะนั้นยังไม่จางหายไป

“เจ้าเองก็พูดแล้ว แค่แทงเข้าไปที่หูมัน อย่างมากก็ทำให้มันหูหนวกเท่านั้น ถ้ามนุษย์โอสถสังหารได้ง่ายถึงเพียงนั้นจริง ไฉนเลยจะต้องให้เจ้าลงมือ ? ” เจียงโม่หานปลูกฝังความคิดเพื่อล้างสมองว่านางไม่ได้เป็นฆาตกร

ทันใดนั้นหัวใจของหลินเว่ยเว่ยก็โล่งขึ้นมา แต่ปากเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ายักษ์ตัวนั้นฟันแทงไม่เข้า ข้าทำร้ายมันได้ก็ถือว่าเก่งแล้วไม่ใช่หรือ ? อีกอย่างนะ ถ้าไม่ได้ข้าทำให้มันบาดเจ็บก่อน หมินอ๋องซื่อจื่อจะมีโอกาสจัดการมันได้อย่างไร ? เจ้าจะทำลายชื่อเสียงของข้าไปหมดไม่ได้ ! ”

เจียงโม่หานลอบสังเกตนางอย่างละเอียด เมื่อเห็นนางเกือบกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาจึงตอบว่า “เพื่อชื่อเสียงที่ว่า เจ้าเอาชีวิตตนเข้าไปเสี่ยง มันคุ้มแล้วหรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าคราวนี้บัณฑิตน้อยมีโทสะ นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เราจะเอาแต่ปล่อยให้มันทำร้ายชาวบ้านตาดำ ๆ ไม่ได้ ! แล้วยังมีหมินอ๋องซื่อจื่อคนหล่อเช่นนั้น หากตายด้วยน้ำมือของเจ้าอัปลักษณ์นั่น ไม่คิดว่าน่าเสียดายหรือ ? ”

“เจ้า ! ” ทันใดนั้นไฟโทสะที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจก็ทะยานขึ้น เจียงโม่หานฉีกยิ้มเย็นชา “ที่แท้หน้าตาดีก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดได้ ! ข้าได้มุมมองใหม่อีกแล้ว ! ”

“ไม่ใช่ ! เจ้าอย่าเพิ่งโมโห ต่อไปข้าจะไม่วู่วามเช่นนั้นแล้ว ตกลงหรือไม่ ? ข้ารับปากเจ้าเลย ถ้าไม่มั่นใจมากพอข้าไม่มีทางเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีก หายใจเข้าลึก ๆ นะ ยิ้มหน่อย…” หลินเว่ยเว่ยแอบสังเกตสีหน้าเขา จากนั้นก็กล่าวต่อ “แท้จริงสาเหตุที่ข้าช่วยซื่อจื่อก็เพราะเขาค่อนข้างเหมือนเจ้า ! ”

“เหมือนข้า ? เหมือนตรงไหน ? ” หมินอ๋องซื่อจื่อเหมือนบิดาชนิดว่าแทบจะถอดแบบมาราวกับแกะ ส่วนเขา…ไม่รู้ว่านางเห็นพวกเขาทั้งสองเหมือนกันจากตรงไหน

“ที่จริง ถ้ามองให้ดีแล้วรูปโฉมไม่เหมือนกันหรอก ทว่าพอมองโดยรวมกลับทำให้ข้ารู้สึกว่ายังพอเหมือนกันอยู่เล็กน้อย…หากจะให้บอกว่าเหมือนกันตรงไหน…ก็น่าจะเป็นบุคลิกและนิสัยกระมัง บัณฑิตน้อย เจ้ามี ‘buff’ ชนชั้นสูง ไม่แน่ว่าบรรพบุรุษของเจ้าอาจมีสายเลือดของชนชั้นสูงอยู่ก็ได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มเอาใจเยี่ยงเด็กรับใช้

หืม ? คืออันใดอีก ? เด็กตัวแสบนี้พูดภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ! นางชอบทำตัวไม่สนโลก แต่ในบางครั้งนางก็ฉลาดหลักแหลมจนน่าตกใจ ในทุกครั้งก็เหมือนจะพูดความจริงหรือไม่ก็เหมือนล้อเล่นได้ในคราเดียว…

1 หลินไต้อวี้ คือ ตัวละครหลักจากเรื่องความฝันในหอแดง