ตอนที่ 233 ถ่วงกรงหมู

เมื่อกรงเล็บแหลมคมคลายออกจากกระดูกสันหลังของเขา เขาร่วงกระแทกริมฝั่ง ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยสภาพจนตรอก ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยโลหิต มองดูกลุ่มคนที่อยู่ยืนเบื้องหน้า พลันยิ้มออกมาอย่างน่าเวทนา

ถานเย่าเสี่ยนอุทาน “หลี่ซยง!” ทำท่าจะพุ่งออกไป

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์รีบขวางเขาไว้ รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่บุรุษโง่งมของตนคนนี้จะเข้าไปมีส่วนร่วมได้ อย่าปล่อยให้บุรุษโง่งมคนนี้ก่อเรื่องโง่ๆ ขึ้นอีกจะดีกว่า

หลังจากผ่านการไล่ล่าใต้น้ำมา อุปกรณ์แปลงโฉมง่ายๆ ที่ใช้ปรับเปลี่ยนใบหน้าบางส่วนก็หลุดลอกออกไป

ม่านตาซ่งซูหดตัววูบ ร้องเรียกทันที “ลู่เซิ่งจง นั่นเจ้าหรือ?”

เดิมทีเขาเคยเกี่ยวดองกับหวังเหิงแห่งเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ส่วนลู่เซิงจงเดิมทีเป็นผู้ติดตามของหวังเหิง เขาจึงรู้จักลู่เซิ่งจง

เซ่าผิงปอที่อาการไอทุเลาลงแล้วหันไปเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักเขาหรือ?”

ซ่งซูประสานมือรายงานว่า “คุณชายใหญ่ คนผู้นี้เป็นศิษย์สำนักเบญจคีรี เดิมทีเป็นฝ่าซือติดตามของหวังเหิงหนึ่งในสี่แม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารองครักษ์พิทักษ์เมืองหลวงแห่งแคว้นเยี่ยน ต่อมาได้รับคำสั่งจากหวังเหิงให้ไปลอบสังหารหนิวโหย่วเต้า สุดท้ายไม่เพียงแต่จะทำงานผิดพลาดนั้น แต่ยังเปิดโปงคนที่ทางตระกูลซ่งส่งไปด้วย บุตรชายของหลิวลู่พ่อบ้านตระกูลซ่งเราก็ตายเพราะเขา ข้าปรารถนาจะเอาชีวิตเขาอย่างยิ่งขอรับ!”

ถานเย่าเสี่ยนได้ฟังก็ตะลึงงัน พวกเขาพูดถึงหลี่ซยงหรือ?

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์คิดในใจ คนผู้นี้มีปัญหาจริงๆ ด้วย

ซูจ้าวมองเซ่าหลิ่วเอ๋อร์พลางเอ่ยถามว่า “หลิ่วเอ๋อร์ มีเขาคนเดียวหรือ?”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ตอบว่า “พี่ซู ยังมีสารถีรถม้ากับนายท้ายเรืออีกคนเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าใช่พวกเดียวกันหรือไม่”

เซ่าผิงปอปรายตามองน้องสาวเล็กน้อย หันหลังก้าวเข้าไป ยกเท้าเขี่ยหน้าลู่เซิ่งจง “หักหลังหวังเหิงได้ เจ้าคงไม่ใช่คนมีศักดิ์ศรีอันใด หากไม่อยากทรมานก็สารภาพความจริงมาซะ ใครส่งเจ้ามา?”

ลู่เซิ่งจงหัวเราะอย่างน่าเวทนา “ข้าไม่เข้าใจ พวกเจ้าจับทิศทางแล้วไล่ตามพวกเรามาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?”

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรถาม” เซ่าผิงปอกดเท้าลงไป กล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อครู่เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว ซ่งซูก็อยากถลกหนังเจ้าใจแทบขนาดเช่นกัน ข้าคิดว่าเขาจะต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดีแน่ ข้าจะถามเจ้าเพียงประโยคเดียว จะสารภาพหรือไม่?”

ลู่เซิ่งจงส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง เอ่ยไปว่า “ไม่ว่าทางไหนก็ตายเหมือนกัน เจ้าคิดว่าข้าจะยอมสารภาพกับศัตรูที่ต้องการสังหารข้าหรือ?”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีคุณค่าต่อข้าหรือไม่ หากว่ามี ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ข้าไม่มีทางผิดคำพูดแน่ ข้าสามารถรับปากเจ้าต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่เอาเรื่องเจ้า จะมอบทางรอดให้เจ้า แต่ถ้าหากไม่มีค่าพอ เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่รู้ว่าผู้ใดส่งเจ้ามา?”

ลู่เซิ่งจงถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ สารภาพออกมาง่ายๆ ว่า “หนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าส่งข้ามา”

เซ่าผิงปอถาม “มากันกี่คน?”

ลู่เซิ่งจงตอบ “ข้าคนเดียว”

เซ่าผิงปอหรี่ตาลง “เจ้าคนเดียว?” คล้ายจะไม่เชื่อ

ลู่เซิ่งจงตอบว่า “หนิวโหย่วเจ้าน่าจะจัดวางกำลังคนไว้ในมหานครเพื่อประสานงานกับข้า ส่วนจะเป็นผู้ใดนั้น ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าถ้าจะติดต่อต้องไปหาผู้ใด หากสืบสาวไปตามเบาะแสนี้ น่าจะสืบหาตัวคนอื่นๆ ได้ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้มีค่าต่อคุณชายเซ่าหรือไม่? ”

แววตาเซ่าผิงปอวูบไหวขึ้นมา

ลู่เซิ่งจงเอ่ยขึ้นมาอีก “ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว ข้าต้องการรักษา!”

เซ่าผิงปอเอียงคอส่งสัญญาณเล็กน้อย “รักษาให้เขา”

มีคนเข้ามาหามเขาออกไปด้านข้างทันที ป้อนยาและใส่ยารักษาให้เขา

เฉินกุยซั่วหันไปมองเขาเป็นระยะ ดวงตาฉายแววกังวลเล็กน้อย กังวลว่าถ้าสืบสาวไล่ย้อนกลับมาตามที่ลู่เซิ่งจงกล่าวไว้ อาจจะสาวมาถึงตัวเขาได้

หนิวโหย่วเต้าเองก็มอบหมายงานให้เขาเช่นกัน หากว่ามีโอกาสให้จัดการเซ่าผิงปอเสีย ทว่าเขาไม่มีโอกาสเลยจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือว่าสภาวะของเขา เซ่าผิงปอไม่มีทางมาพบเขาตามลำพัง พบหน้าเซ่าผิงปอทีไรก็มีคนคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายเสมอ เขาไม่มีโอกาสลงมือเลย

ในเมืองก็มีคนคอยประสานงานกับเขาเช่นกัน ส่วนจะเป็นผู้ใด เขาก็ไม่รู้เช่นกัน หากลู่เซิ่งจงใช้เครือข่ายประสานงานเดียวกันกับเขา อย่างนั้นก็เดือดร้อนแน่

ถานเย่าเสี่ยนสีหน้าไม่สู้ดี ท่าทางเหม่อลอยคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง ต่อให้เขาโง่แค่ไหนก็ยังฟังออกว่าคำพูดของลู่เซิ่งจงมีความหมายอย่างไร อีกฝ่ายไม่ได้มาเพื่อช่วยตัวเองเลย ตัวเองถูกเขาหลอกใช้เพื่อเล่นงานสกุลเซ่า

…..

เซ่าผิงปอหันกลับไปมองทางฝั่งน้องสาว ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง กางแขนปกป้องถานเย่าเสี่ยนอีกครั้ง ร้องขึ้นว่า “พี่ซู” มีเจตนาขอความช่วยเหลือ

ซูจ้าวเอ่ยอย่างลำบากใจ “ผิงปอ!”

เซ่าผิงปอหยุดเดิน จ้องมองบุรุษที่อยู่ด้านหลังน้องสาว รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

แรกเริ่มยามที่เขาสังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าถานเย่าเสี่ยนและน้องสาวผิดปกติ เขาก็คิดจะกำจัดถานเย่าเสี่ยนทิ้งแล้ว แต่ก็กลัวจะทำร้ายจิตใจน้องสาว คำสั่งเสียที่ท่านแม่ฝากฝังไว้ก่อนจากไปเขายังจดจำได้ชัดเจน

อันที่จริงแล้ว น้องสาวอยู่ในวัยนี้ ก็สมควรออกเรือนได้แล้ว เป็นสตรีไม่อาจปล่อยยืดเยื้อจนอายุมากเหมือนเขาได้ เขาเองก็กำลังพิจารณาเรื่องคู่ครองของน้องสาวอยู่ เขาย่อมหวังให้น้องสาวได้ใช้ชีวิตสุขสบาย อยากหาคนที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดให้น้องสาว

ถานเย่าเสี่ยนไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเขาเลย เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะว่าไม่เหมาะสม!

ชาติกำเนิดของน้องสาวเป็นตัวกำหนดแล้วว่าไม่อาจแต่งกับคนแบบนี้ได้ เบื้องหลังตระกูลเซ่าพัวพันกับความขัดแย้งด้านผลประโยชน์และบุญคุณความแค้นมากขนาดไหนเล่า?

น้องสาวเป็นคนอย่างไรเขารู้ดี ตามหลักแล้วนางไม่น่าจะชอบคนแบบนี้ได้ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดน้องสาวถึงชอบบัณฑิตหัวรั้นเช่นนี้

ส่วนเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็กังวลว่าเขาจะลงมือกับถานเย่าเสี่ยนตั้งแต่ตอนที่ยุบชุมนุมกวีลงแล้ว นางเคยเตือนเขาเอาไว้ บอกว่าถ้ากล้าแตะต้องถานเย่าเสี่ยน ก็อย่ามาโทษหากนางจะแตกหักกับเขา!

เนื่องด้วยเหตุนี้ เซ่าผิงปอจึงไม่แตะต้องถานเย่าเสี่ยน เพียงแค่คิดจะกดดันให้ถานเย่าเสี่ยนจากไปด้วยตัวเอง เพื่อจะได้ทะเลาะกับน้องสาว

แต่แน่นอน ที่เขากดดันถานเย่าเสี่ยนเช่นนั้นยังเป็นเพราะเหตุผลอีกอย่างคือ หากว่าน้องสาวจะแต่งงานกับคนผู้นี้ให้ได้จริงๆ เขาจะทำอย่างไรได้เล่า? ว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ด้านนิสัยใจคอของถานเย่าเสี่ยนไม่มีอะไรต้องพูดถึง น้องสาวออกเรือนกับคนประเภทนี้ไม่มีทางได้รับความคับข้องหมองใจง่ายๆ แต่เขาก็อยากเห็นว่าหากตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ธาตุแท้ของคนผู้นี้จะเป็นอย่างไร เขาอยากมองอีกฝ่ายให้กระจ่าง ไม่อาจปล่อยให้น้องสาวออกเรือนไปง่ายๆ เพราะความรักความลุ่มหลงได้

ผู้ใดจะทราบว่าความใจอ่อนชั่วขณะกลับทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาเกลียดนัก!

“เจ้าครอบครองตัวนางแล้วจริงหรือ?” เซ่าผิงปอจ้องมองถานเย่าเสี่ยนพลางเอ่ยถาม

ถานเย่าเสี่ยนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนทันที ไม่ทราบว่าควรจะพูดอย่างไร

เซ่าหลิงเอ๋อร์เอ่ยขัดทันที “ใช่แล้วอย่างไร? ข้าบอกแล้วไง หากไม่ใช่เขา ข้าก็ไม่แต่ง!”

เซ่าผิงปอไม่สนใจนาง เพียงจ้องมองถานเย่าเสี่ยน ต้องการคำตอบจากถานเย่าเสี่ยน เขารู้จักนิสัยของถานเย่าเสี่ยนแล้ว ทราบดีว่าคนผู้นี้มิใช่คนโป้ปด เขาสงสัยว่าน้องสาวแค่ใช้ข้ออ้างนี้เพื่อเป็นเกราะกำบัง

สุดท้ายถานเย่าเสี่ยนรวบรวมความกล้าเอ่ยออกไป “คุณชายใหญ่ ข้าจะรับผิดชอบหลิ่วเอ๋อร์แน่นอน”

“รับผิดชอบหรือ? ฮ่าๆ มารดาเถอะ เจ้าได้เห็นหมดแล้วกระมัง? ฮ่าๆ…” เซ่าผิงปอพลันเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง สองแขนชูขึ้นฟ้า เสียงหัวเราะเจือความโศกเศร้าเอาไว้หลายส่วน คำพูดอีกฝ่ายถือเป็นคำยืนยันอย่างไม่ต้องสงสัย ความเจ็บปวดในใจยากจะบรรยายเป็นคำพูดได้

มิใช่เพราะน้องสาวเสียตัว หากแต่เป็นเพราะคนที่เขาห่วงใยที่สุด คนที่เขาอยากปกป้องที่สุด คิดไม่ถึงว่าจะหักหลังเขาในช่วงเวลาเช่นนี้ได้

ตระกูลเซ่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พี่ใหญ่อย่างเขาถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน แต่น้องสาวกลับไม่ใส่ใจความเป็นความตายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าความรักเชิงชู้สาวจะสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของพี่ใหญ่อย่างเขา สามารถทอดทิ้งพี่ใหญ่อย่างไม่ไยดีเพื่อหนีตามคนนอกไป จะให้เขาทนรับไหวอย่างไรเล่า? ปวดใจนัก!

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ขบริมฝีปาก ไม่เคยเห็นพี่ใหญ่ดูคลุ้มคลั่งเช่นนี้มาก่อนเลย ในใจก็ทนไม่ไหวเช่นกัน

“ผิงปอ!” ซูจ้าวเข้ามาปลอบ

เซ่าผิงปอดันนางออกไป ชี้หน้าถานเย่าเสี่ยน ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าจะรับผิดชอบหรือ? ในโลกที่ที่มีสงครามวุ่นวายเช่นนี้ เจ้าจะเอาสิ่งใดมารับผิดชอบนาง? เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนมากมายเพียงใดที่จ้องจะเล่นงานตระกูลเซ่าให้ตาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าทันทีที่นางออกจากตระกูลเซ่าจะมีคนมากน้อยเพียงใดที่ต้องการจับตัวนางไป? เจ้าสอบรับราชการไม่ได้ รู้จักแต่ท่องตำราโคลงศีรษะ ต่อสู้ไม่เป็น เข้าร่วมทัพกำจัดศัตรูไม่ได้ มือไม่มีแรงแม้แต่จะเชือดไก่ อาศัยแค่สอนหนังสือเด็กไม่กี่คนกับรับคัดอักษรแล้วจะปกป้องนางได้หรือ? คิดว่าจะคุ้มครองนางได้หรือ? บัณฑิตไร้ประโยชน์อย่างเจ้า ต่อให้ตระกูลเซ่าของข้าอยากให้การสนับสนุนเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน เจ้าบอกข้ามาสิ เจ้าจะเอาอะไรมารับผิดชอบ?”

ถานเย่าเสี่ยนหายใจหอบถี่ ถูกต่อว่าจนใบหน้าแดงก่ำ

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์รีบช่วยพูดแก้ต่าง “พี่ใหญ่ เขาไม่ได้แย่อย่างที่ท่านว่ามาเสียหน่อย”

เซ่าผิงปอชี้หน้านางทันที “เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา พวกเจ้าจะออกจากตระกูลเซ่าอย่างนั้นหรือ? ในใจเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใด หากออกจากตระกูลเซ่า ขอเพียงตระกูลเซ่าไม่สนใจไยดีพวกเจ้าสองคน พวกเจ้าต้องตายแน่นอน ปากกล้าไปก็ไม่มีประโยชน์!”

“หลิ่วเอ๋อร์ เจ้าน่าจะรู้ดี พวกเราถือกำเนิดในครอบครัวเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้า หรือว่าข้า ล้วนไม่มีสิทธิ์เลือกทั้งสิ้น! มิใช่ข้าไม่ยินดีให้เจ้าแต่งกับเขา แต่เป็นเขาเองที่แบกรับภาระไม่ไหว ไม่เกี่ยวกับว่ายากจนหรือร่ำรวย หากแต่เป็นเขาที่ไม่มีคุณสมบัติและความสามารถพอจะได้แต่งกับเจ้าได้!”

“หรือเจ้าอยากเห็นสามีในอนาคตของเขาต้องก้มหน้าก้มตาอยู่ในตระกูลเซ่า ไม่อาจเชิดหน้าชูตา? หรือเจ้าอยากเห็นคนใช้ในบ้านหัวเราะว่าสามีเจ้าเป็นคนเหลาะแหละเกาะสตรีกิน? เจ้าจะยอมทนหรือจะให้เขายอมทนเล่า? หากเจ้าหวังดีต่อเขาจริง ก็ปล่อยเขาไป อย่าได้ทำร้ายเขา!”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าควรจะโต้แย้งอย่างไรดี เถียงอย่างหัวรั้น “ข้าไม่สน ข้าเป็นคนของเขาแล้ว ข้าแค่อยากอยู่กับเขาเท่านั้น!”

เซ่าผิงปอโมโหจนหัวเราะออกมา “ถึงตายก็ยินดี ใช่หรือไม่?”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์กล่าวด้วยความโมโห “หากท่านแน่จริงก็สังหารข้าไปด้วยสิ!”

“ดี! ข้าจะช่วยให้พวกเจ้าสมหวัง” เซ่าผิงปอหันไปตะโกนสั่ง “ซ่งซู เฉินกุยซั่ว ไป ไปทำกรงหมูมาจับสุนัขชายหญิงคู่นี้ถ่วงน้ำซะ!”

ซ่งซูและเฉินกุยซั่วมองหน้ากัน

ซูจ้าวรีบเกลี้ยกล่อม “ผิงปอ พี่น้องกันทั้งนั้น มีอะไรก็ค่อยๆ กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ”

เซ่าผิงปอหันขวับไปอย่างโกรธเกรี้ยว ส่งสายตาให้นาง พร้อมกับเอ่ยเนิบๆ ว่า “ให้เวลาพวกเจ้าทำกรงหมูหนึ่งก้านธูป มิเช่นนี้ข้าจะถ่วงพวกเจ้าลงไปด้วย!”

ซูจ้าวเงียบไปแล้ว

ซ่งซูและเฉินกุยซั่วออกไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก ทั้งสองหิ้วกรงไม้กรงหนึ่งกลับมา เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตัดต้นไม้มาสร้าง แม้แต่เปลือกไม้ก็ยังไม่ลอกออกเลย

ด้วยคำสั่งของเซ่าผิงปอ เซ่าหลิ่วเอ๋อร์และถานเย่าเสี่ยนถูกดันเข้าไปในกรง ด้านในโยนก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อนไว้เพื่อถ่วงน้ำหนัก จากนั้นซ่งซูกับเฉินกุยซั่วปิดปากกรงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใส่สลักไม้เข้าไปจนไม่สามารถเปิดออกได้

“เซ่าผิงปอ ท่านมีสิทธิ์อะไรมาลงโทษข้า? ข้ามีอำนาจอะไรมาตัดสินเรื่องวิวาห์ของข้า ข้าจะพบท่านพ่อ ข้าต้องการพบท่านพ่อ…” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ในกรงอาละวาดโวยวาย ไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะเอาจริง

ถานเย่าเสี่ยนหลับตาลง หลั่งน้ำตาออกมา

ซ่งซูและเฉินกุยซั่วยกกรงหมูเดินลงไปในแม่น้ำ น้ำในแม่น้ำค่อยๆ ทะลักเข้าไปในกรงหมู

เซ่าผิงปอเอ่ยเนิบๆ “คนแซ่ถาน ขอเพียงเจ้ายินดีเลิกรากับหลิ่วเอ๋อร์ ข้าจะปล่อยเจ้าไป ถือเสียว่าเป็นการช่วยเหลือตัวเอง แล้วก็ช่วยชีวิตหลิ่วเอ๋อร์ด้วย เจ้าตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”

“อย่าไปฟังเขา ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าฆ่าข้า!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ตะโกนด้วยความโมโห

เซ่าผิงปอเอียงหัวส่งสัญญาณเล็กน้อย “ปล่อย!”

ซ่งซูและเฉินกุยซั่วปล่อยกรงไม้ลงไป กรงจมลงไปในน้ำ จากนั้นยังถูกทั้งสองคนผลักจนกรงล้มลงไป คนที่อยู่ในกรงหายไปจากผิวน้ำทันที เหลือเพียงแค่ซี่กรงไม้เท่านั้น

ฟองอากาศผุดขึ้นมาบนผิวน้ำ ไม่นานก็มีมือยื่นออกมาจากกรง ตะเกียกตะกายอยู่บนผิวน้ำ

สองมือของถานเย่าเสี่ยนคว้าซี่กรงไม้บนผิวน้ำไว้ ใบหน้าครึ่งหนึ่งโผล่ลอดซี่กรงออกมา สำลักน้ำออกมา อ้าปากหอบหายใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ข้าจะไป! ปล่อยนางเถอะ ปล่อยนางไป ข้าจะไป…”

……………………………………………………..