ภาคที่ 5 ตอนที่ 55 สิ่งที่เขาจัดการไว้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

นางเดาได้ตั้งนานแล้วว่ากู้ชิงเป็นคนของลู่อวิ๋นฉี

อย่างไรคนที่เข้าไปในวังไหวอ๋องได้ล้วนเป็นคนที่ลู่อวิ๋นฉีคัดกรอง

แม้เขาสั่งสอนจิ่วหรงดียิ่งจริงๆ ก็ตาม

ลู่อวิ๋นฉีไปก็ไปแล้ว ยังจัดการอะไรไว้อีก?

“ใต้เท้าลู่สั่งว่าต้องพาไหวอ๋องกับคุณหนูจวินไปในเวลาที่เหมาะสม” บัณฑิตกู้เอ่ยเสียงเบา

ไป?

คุณหนูจวินฉับพลันถอยหลังก้าวหนึ่ง

เขาคิดจะทำอะไร? อาศัยยามทหารจินบุกเมืองฉวยโอกาสกำจัดจิ่วหรงหรือ?

อนาคตปัดโทษให้ชาวจินก็สมเหตุสมผลจริงๆ

บัณฑิตกู้เห็นสีหน้าของนางพลันหัวเราะ

คนหลังร่างเขาล้อมนางไว้อย่างเงียบเชียบแล้ว

คุณหนูจวินยิ้มบ้างแล้ว

“เจ้าคิดว่าเวลานี้ข้าตะโกนประโยคหนึ่งว่าพวกเจ้าเป็นสายลับ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?” นางเอ่ย

บัณฑิตกู้ส่ายศีรษะ

“คุณหนูจวินท่านเข้าใจผิดแล้ว” เขาเอ่ย “ใต้เท้าลู่ไม่ได้ต้องการทำร้ายไหวอ๋อง”

คุณหนูจวินมองเขา สีหน้านิ่งสนิท

“ถ้าเช่นนั้นเขาคิดอะไร?” นางเอ่ยถาม

แสงตะวันโพล้เพล้ของฤดูใบไม้ผลิยังคงสว่างไสวยิ่ง แต่ในห้องด้านในคฤหาสน์ลึกหลังหนึ่งใกล้ทะเลสาบใหญ่กลับมืดสลัวไปหมด

คงเพราะหน้าต่างประตูปิดสนิท แล้วก็คงเพราะสองคนที่ยืนอยู่ในห้องบดบังแสงสว่างไว้

ด้านหน้าสองคนนี้

บุรุษวัยกลางคนผู้สวมอาภรณ์ปักลายวงบุปผาและสวมหมวกใบหนึ่งคนหนึ่งเงยศีรษะขึ้น

แต่งตัวเหมือนผู้ดีชนบท แต่กลับเป็นฮ่องเต้นั่นเอง

“พูดเช่นนี้ชาวจินยังตีเมืองไม่แตก?” พระองค์ตรัสถามอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง

“พ่ะย่ะค่ะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยตอบ

เขาตอบเรียบง่ายเสมอ ฮ่องเต้ถามสิ่งใดก็ตอบสิ่งนั้น

แม้เมืองหลวงถูกล้อม ข่าวส่งออกมาไม่ได้ แต่นิดๆ หน่อยๆ มากน้อยก็รู้อยู่บ้าง

“หนิงเหยียนนำคนทั้งเมืองปกป้องเมืองไว้” หยวนเป่าที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสริม “วันนี้รักษาเมืองมาเกือบยี่สิบวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“หากรักษาได้ยี่สิบห้าวัน ถ้าเช่นนั้นก็เรียกว่าล้อมเมืองได้แล้ว” ฮ่องเต้เอ่ย แม้ยังกังวลอยู่บ้างแต่สีหน้ายินดีอยู่นิดๆ

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจพอตัว” หยวนเป่าเอ่ย “มิน่าชาวจินถึงไม่ลงใต้ต่อ ถูกเมืองหลวงดึงไว้หมดนี่เอง”

ใช่แล้ว นี่ดีทีเดียว เมืองหลวงป้องกันเข็งแกร่งเช่นนี้ ชาวจินจะต้องคิดว่าตนยังอยู่ที่เมืองหลวงแน่ ดังนั้นจึงได้แต่ถูกล่อดึงไว้ที่นั่นไม่ขยับ

ทางใต้นี่ก็ปลอดภัยแล้ว

ฮ่องเต้นั่งพิงพระที่นั่ง

เวลานานเข้า เมื่อทหารกองหนุนทั้งหลายเร่งมาถึงอีก ชาวจินก็จะถูกตีแตก อันตรายก็คลี่คลายอย่างสิ้นเชิงได้แล้ว

คิดถึงตรงนี้พระองค์พลันขมวดพระขนงอีกหน

“ทหารกองหนุนทำไมยังมาไม่ถึงอีก?” พระองค์ตรัสถาม “ตัวไร้ประโยชน์พวกนั้นที่มณฑลจิงตงคาดหวังไม่ได้แล้ว แดนเหนือเล่า? ทางใต้เล่า?”

ลู่อวิ๋นฉีกำลังจะเอ่ยอันใด หยวนเป่าก็ชิงอ้าปากก่อน

“แดนเหนือด้านนั้นยังสู้ตัดพันกับทหารจินอยู่ มีข่าวว่าแคว้นจินยังจะส่งทหารลงใต้อีกห้าหมื่น…” เขาเอ่ย

สีหน้าของฮ่องเต้ฉับพลันเคร่งเครียด

“เป็นตัวไร้ประโยชน์จริงๆ” พระองค์ตรัส

“แต่ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กองทัพใหญ่ที่จิงหูมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หยวนเป่ารีบเอ่ยแย่งความชอบ “บ่าวติดต่อไปแล้ว”

กองทัพประจำการที่จิงหูเป็นชิงเหอปั๋วปั้นขึ้นมา ทหารกล้าแม่ทัพแกร่งเช่นกัน แม้ชิงเหอปั๋วพาแม่ทัพจำนวนหนึ่งไปแดนเหนือด้วย แต่ก็ยังต้องเก็บกำลังคนไว้เพียงพอ

พระขนงของฮ่องเต้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“ให้พวกเขามาที่นี่ก่อน” พระองค์ตรัส “ค่อยแบ่งทหารไปเมืองหลวง”

หยวนเป่าขานรับ

นอกประตูหนิงอวิ๋นเจาหอบเอกสารเป็นตั้งๆ เดินเข้ามา

แม้ออกมาจากเมืองหลวง แต่ราชกิจบางอย่างยังไม่อาจไม่ทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายทหารแม่ทัพ เมื่อมองเอกสารที่หอบมา พระขนงที่เพิ่งคลายของฮ่องเต้พลันขมวดขึ้นอีกหน

“ราชลัญจกรหยกหายไปได้อย่างไร?” เขามองหยวนเป่า ตวาดท่าทางพิโรธอยู่บ้าง

หยวนเป่าคุกเข่าดังตึก

“ฝ่าบาท ยามนั้นรีบร้อน กระหม่อมคิดว่าคงไม่ได้หายไปแต่ยังวางอยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

เสียงของเขาอ่อนโยน น้ำเสียงทำให้คนเชื่อ

“กระหม่อมมีความผิด” เขาเอ่ยต่อ “กระหม่อมได้รับการไหว้วานจากหยวนกงกง กลับไม่ได้ตรวจสอบให้ละเอียด จนตกหล่น”

มีคนรับผิดชอบดีที่สุด แล้วก็เป็นความผิดของเขาจริงๆ หยวนเป่าค้อมกายกับพื้นไม่เอ่ยวาจา

ขันทีพวกนี้ปัดความผิดเก่งที่สุด จะต้องเป็นความผิดของพวกเขาแน่

ฮ่องเต้ถลึงเนตรมองเขาทีหนึ่ง

“ค่อยว่ากันเถอะ” พระองค์ตรัส “หลังกลับไปค่อยว่ากัน”

ไม่ว่าเมืองแตกหรือทหารกองหนุนบีบทหารจินให้ถอย เรื่องราวอย่างไรก็จะผ่านไป อย่างไรก็ต้องมีสิ้นสุด ขอเพียงเขาฮ่องเต้องค์นี้ยังอยู่ เรื่องทั้งหมดล้วนคลี่คลายได้

พระองค์พูดประโยคนี้จบก็ก้มศีรษะมองเอกสารที่หนิงอวิ๋นเจาส่งมา ไม่ได้สังเกตว่าลู่อวิ๋นฉีผู้เงียบงันหลุบตาอยู่ตลอดเงยหน้ามองเขาทีหนึ่ง

“ดีที่สุดอย่าให้เมืองแตก”

หยวนเป่าถอยออกจากห้องแล้วถอนหายใจเอ่ย

“แตกไปก็ดี เร็วกว่า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

คำนี้ทำให้หยวนเป่าและหนิงอวิ๋นเจาล้วนมองมาหาเขา สีหน้าหลากหลายอารมณ์

พูดความจริง เมืองแตกเรื่องราวก็จบสิ้นเร็วขึ้นจริงๆ ชาวจินปล้นชิงรอบหนึ่งพออกพอใจแล้วก็เจรจาว่าที่แท้จะเอาอย่างไรได้แล้ว

แต่ความคิดเช่นนี้ก็ได้แต่กล้าลองคิดดูเท่านั้น ไม่กล้าคิดลึกลงไป

เป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจคนหนึ่งจริงๆ ต่อให้เขาเห็นฮ่องเต้เป็นสำคัญ แต่อย่างน้อยก็คิดถึงประชาชนแสนหลายหมื่นคนในเมืองหลวงหน่อยสิ เจ้าหมอนี่ ไม่รู้ว่าเมืองหลวงแตกแล้วจะเลวร้ายมากเท่าใดหรือ

คนเช่นนี้ปล่อยไว้ข้างกายอันตรายเกินไปแล้วจริงๆ หยวนเป่าเบ้ปาก

“ที่นี่ข้าเฝ้าเอง ใต้เท้าทั้งสองตอนนี้ไปพักผ่อนเถอะ” เขาเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีไม่สนใจเขาหมุนตัวเดินออกไป หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มเอ่ยกับหยวนเป่าหลายประโยคว่าลำบากแล้วถึงเดินออกไป

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เดินออกไปไกล แต่ยืนอยู่ใต้ชายคา

“ใต้เท้าลู่” หนิอว๋นเจาอมยิ้มก้าวเข้ามาคำนับ สีหน้าจริงใจ “ลืมตลอดว่าจะเอ่ยขอบคุณกับใต้เท้า”

คำขอบคุณนี่ฟังดูแล้วไม่มีที่มา แต่หนิงอวิ๋นเจาเชื่อว่าลู่อวิ๋นฉีรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เพราะสายตาของลู่อวิ๋นฉีกำลังจับอยู่บนช่องแขนเสื้อของเขา

“ขอบคุณไม่จำเป็น” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย รั้งสายตากลับหมุนตัวยกมือไพล่หลัง “ไม่ใช่เพื่อเจ้า”

หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่หลังร่างเขา

“ไม่ใช่เพื่อข้า ถ้าเช่นนั้น เพื่อตัวใต้เท้าเองหรือ?” เขาพลันเอ่ยขึ้น

ลู่อวิ๋นฉีคล้ายไม่ได้ยิน สักคำก็ไม่เอ่ยยกเท้าเดินออกไป

“ใต้เท้าลู่บอกว่าเรื่องมาถึงตรงนี้ก็พอได้แล้ว” บัณฑิตกู้เอ่ยขึ้น

หมายความว่าอย่างไร?

คุณหนูจวินมองเขา

“ความหมายก็คือไหวอ๋องทำพอแล้ว” บัณฑิตกู้เอ่ยต่อ “ชื่อเสียงเพียงพอแล้ว ออกไปรอได้แล้ว”

รอ?

คุณหนูจวินมองเขา ยังคงไร้คำพูด

“คุณหนูจวิน เมืองหลวงป้องกันไว้ไม่ได้แล้วกระมัง” บัณฑิตกู้กลับไม่ได้เอ่ยว่ารออันใด แต่พูดไป สายตาก็มองไปทางนอกกำแพงเมือง

ผู้ที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า นั่นคือสัญญาณว่าทหารจินกองใหญ่กำลังวิ่งมา

“ยังไม่แน่” คุณหนูจวินเอ่ย “ป้องกันได้หรือป้องกันไม่ได้ ต้องป้องกันก่อนถึงจะรู้”

ไม่ถึงนาทีสุดท้าย ก็ตัดสินไม่ได้

“คุณหนูจวิน พอแล้ว ไปเถอะ” บัณฑิตกู้เอ่ยอีก “ใต้เท้าลู่จัดการสถานที่หลบซ่อนไว้เรียบร้อยแล้ว”

คุณหนูจวินหัวเราะหยันทีหนึ่ง

“ลูกชายลูกสาวของตระกูลฉู่ไม่มีทาง…” นางเอ่ยขึ้น

เสียงยังไม่ทันสิ้นบัณฑิตกู้พลันก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งขัดนาง

“คุณหนูจวิน หากเมืองแตก ฮ่องเต้ก็จะไม่กลับมาแล้ว” เขาเอ่ยทีละคำๆ “ดังนั้น ตระกูลฉู่จำต้องมีสายเลือดเหลือไว้”