ตอนที่ 199 ใครจะทนไหว?
“อืม” หลังขานรับแล้ว หนิงตงเซิ่งก็พูดกับผู้ติดตามของตนว่า “เจ้านอนที่นอกอำเภอคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ข้าจะออกมารับเจ้า หลินกู่เหนียง เช่นนี้ท่านก็สามารถพาน้องชายเข้าเมืองได้แล้ว ! ”
“ไม่ต้อง” เจียงโม่หานหันไปพูดกับหลินเว่ยเว่ยด้วยท่าทางสบาย “มีจื่อเหยียนอยู่กับเจ้า ข้าก็วางใจแล้ว พอเข้าเมืองก็หาหมอเป็นอันดับแรก ให้หมอดูข้อเท้าของเจ้า…เจ้ายังอยากขึ้นเขาอีกหรือไม่ ? ”
เมื่อบัณฑิตหนุ่มไม่คิดจะเข้าเมือง หลินเว่ยเว่ยก็ยิ่งไร้อารมณ์เข้าไปใหญ่ “ประเดี๋ยวให้ท่านหมอซ่งดูก็พอแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเสียหน่อย”
ในจำนวน 10 ครั้งที่หนิงตงเซิ่งพบหลินเว่ยเว่ย จะมีถึง 8 ครั้งที่บัณฑิตเจียงอยู่ด้วยเสมอ โดยสัญชาตญาณของบุรุษ เหมือนบัณฑิตเจียงคิดจะเป็นศัตรูหัวใจกับเขาโดยไม่อยากให้เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดหลินกู่เหนียงมากนัก
ส่วนหลินกู่เหนียงก็เชื่อใจหรือแม้แต่ไว้ใจจนให้บัณฑิตเจียงเป็นที่พึ่งอีกคน บัณฑิตเจียงเพิ่งบอกไม่ไป หลินกู่เหนียงก็ยืนกรานที่จะไม่เข้าเมือง สองคนนี้…มีสายสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ ? คู่รักวัยเด็ก ? หรือว่าที่สามีภรรยาในอนาคต ?
หืม ? ความรู้สึกหงุดหงิดนี้คืออะไรกัน ?
ใบหน้าของหนิงตงเซิ่งยังคงเปื้อนรอยยิ้มอบอุ่น “วันนี้อากาศไม่ค่อยดี ตอนกลางคืนอาจมีลมแรง หลินกู่เหนียงบาดเจ็บอยู่ หากตากลมอีกจะไม่แย่เข้าไปใหญ่หรือ ? บัณฑิตเจียง ท่านคิดว่าใช่หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานกวาดตามองอีกฝ่ายแล้วพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “เจ้าเข้าเมืองไปกับคุณชายหนิงเถิด ไปหาหมอแล้วค่อยหาโรงเตี๊ยมพักผ่อน จื่อเหยียน ดูแลพี่รองให้ดี ! ”
หลินเว่ยเว่ยขึ้นไปนั่งบนเกวียนอีกครั้ง ขณะที่พูดนางก็แกว่งขาทั้งสองข้างไปมา “ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเจ้าคิด ! ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะอยู่ที่นี่ ร่วมลำบากไปกับพวกชาวบ้าน…”
เจียงโม่หานจึงพูดแทรกนางขึ้นมา “จู่ ๆ ข้าก็คิดได้ว่ามีตำราสองเล่มที่ซื้อไม่ได้ในเขตเริ่นอัน ไม่ทราบว่าร้านขายหนังสือในเมืองจะมีหรือไม่…”
“ข้าไปหาซื้อเป็นเพื่อนเจ้าเอง ! ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็กระโดดลงจากเกวียน
ทว่าในชั่วอึดใจต่อมานางก็รู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยสุภาพสักเท่าไร หนิงตงเซิ่งอดไม่ได้ที่จะก้มมองข้อเท้านางด้วยความเป็นห่วง…นี่มัน…ท่าทางของคนบาดเจ็บตรงข้อเท้าหรือ ? ถ้าไม่บาดเจ็บ นางจะไม่ลอยขึ้นฟ้าเลยหรือไร ?
ส่วนเจียงโม่หานใช้น้ำเสียงเย็นชากล่าวกับนาง “ข้ายังต้องให้เจ้าไปเป็นเพื่อนอีกหรือ ? ”
“แน่นอน ! แน่นอนอยู่แล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยออกแรงพยักหน้า “เจ้ารูปโฉมงดงามเช่นนี้ ดูเหมือนสตรียิ่งกว่าข้าในชุดบุรุษนี่อีก หากโดนคนตาไม่ดีฉุดไป ข้าจะอธิบายกับน้าเฝิงอย่างไร ? ก่อนเดินทางข้ารับปากน้าเฝิงไว้แล้วว่าจะพาเจ้ากลับบ้านอย่างปลอดภัย ! ”
สายตาของหนิงตงเซิ่งเคลื่อนไปจับจ้องที่ใบหน้าของเจียงโม่หานอย่างควบคุมไม่อยู่…จริงสิ น่าทึ่งสุด ๆ หากเปลี่ยนเป็นชุดสตรีล่ะก็…ใครจะทนไหว ?
เจียงโม่หานแอบกัดฟัน ต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ เขาจะยอมปล่อยเด็กตัวแสบไปสักครั้งแล้วจะมาคิดบัญชีทีหลัง !
พอได้ยินว่าศิษย์พี่เจียงจะไปซื้อตำรา หลินจื่อเหยียนก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันทีเพราะไม่ว่าตำราประเภทใดก็มีน้อยกว่าศิษย์พี่เจียงทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ที่ใช้อ่านอยู่ในเวลานี้ล้วนเป็นบันทึกโดยละเอียดของศิษย์พี่เจียง หากพบตำราที่มีประโยชน์ เขาเองก็จะซื้อสักสองสามเล่ม
เมื่อพวกหลินเว่ยเว่ยมาถึงบริเวณประตูเมือง พวกนางก็บังเอิญเจอกับกลุ่มของนายอำเภอหวางที่กำลังพาหมินอ๋องซื่อจื่อเข้าไปพักรักษาตัวในเมืองพอดี
หนิงตงเซิ่งยังไม่ทันแสดงหนังสือเข้าเมือง นายอำเภอหวางก็เอ่ยปากขึ้นก่อนแล้ว “หลินกู่เหนียง บัณฑิตเจียงจะเข้าเมืองกันหรือ ? พวกเจ้าไม่ต้องแสดงหลักฐานเพราะที่มาของพวกเจ้านั้นข้ารู้ดี ใช้นามข้ารับประกัน ขอมอบป้ายเข้าเมืองให้แก่หลินกู่เหนียงและบัณฑิตเจียง ! ”
เมื่อนายอำเภอกล่าวแล้ว ลูกน้องใต้บัญชาย่อมทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ผ่านไปเพียงแค่เสี้ยวของก้านธูป ในมือของหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานก็มีป้ายเข้าเมืองคนละหนึ่งอันและด้านบนยังมีตราประทับของนายอำเภออยู่ด้วย…นี่ถือว่าดีกว่าของในมือหนิงตงเซิ่งเสียอีก เพราะเวลาเข้าเมืองจะไม่ได้รับการตรวจสอบเอกสารเลย !
หนิงตงเซิ่งกำหนังสือเข้าเมืองในมือ เขาสับสนพอสมควร เดิมทีคิดว่าเจ้าสิ่งนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจของหลินกู่เหนียงได้ แต่ใครจะรู้ว่าผ่านไปเพียงพริบตาเดียวพวกนางก็มีเป็นของตนเองแล้ว ยังมีระดับสูงกว่าของเขาด้วย นางไม่ได้เป็นแค่เด็กสาวชาวบ้านและบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่งหรือ ? เหตุใดจึงรู้จักนายอำเภอได้ ?
หลินเว่ยเว่ยวิ่งกลับมายังที่พักนอกเมืองขณะถือป้ายเข้าเมืองไว้ด้วยความดีใจ “ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน ท่านเข้าเมืองไปกับข้าเถิด ? ป้ายทุกอันสามารถพาคนเข้าไปด้วยสองคน ยังมีใครอยากเข้าไปเดินเล่นในเมืองหรือไม่ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านคลี่ยิ้มทำให้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น “ข้าแก่แล้ว ไม่ไปทรมานกับพวกเจ้าหรอก”
คนอื่นเพิ่งเผชิญเหตุการณ์ลอบสังหารน่าหวาดกลัวมาจึงยังรู้สึกกลัวอยู่ ใครยังมีกะจิตกะใจอยากเข้าไปเดินเล่นในเมือง อีกอย่างเทพธนูคนนั้นยังไม่โดนจับ หากมันปะปนเข้าไปในเมือง…ช่างเถิด อย่างไรก็อยู่รอที่ค่ายดีกว่า
แต่ซัวถัวอยากเข้าเมืองเพื่อเปิดหูเปิดตา เขาเติบโตมาสิบกว่าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่มายังตัวอำเภอ แต่ขา…เขาจึงได้แต่มองตามแผ่นหลังของกลุ่มหลินเว่ยเว่ยที่เดินจากไปอย่างเศร้าสร้อย
สำหรับเมืองจงโจวแล้วอำเภอเป่าชิงเป็นอำเภอใหญ่หนึ่งในสามอันดับแรก ที่ตั้งด้านยุทธศาสตร์โดดเด่น ขนาดของตัวเมืองก็กว้างขวาง แม้จะอยู่ในปีแห่งภัยแล้งทว่าในตัวเมืองก็ยังไม่ได้ทรุดโทรม
ร้านค้าในเมืองเปิดให้บริการตามปกติ บนท้องถนนก็มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ หนิงตงเซิ่งชี้ไปยังสองฟากฝั่งข้างทาง “ร้านค้าสองฝั่งถนนลดลงไปบางส่วน ก่อนจะถูกทางการควบคุมก็มักมีชาวบ้านจากนอกเมืองเข้ามาขายผักขายของมากมาย…”
“ทางนั้นมีคนต่อแถวเยอะเลย เขาขายของดีอันใดหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยกว่าจะยอมรับน้ำใจของหนิงตงเซิ่งก็นาน ทว่าบัดนี้นางชี้ไปยังแถวยาวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลอย่างตื่นเต้น
“อ้อ! ตรงนั้นเป็นร้านขายธัญพืช ! ในเมืองมีร้านค้าที่ทำตามคำสั่งของนายอำเภอคือขายข้าวสารในราคาถูก แต่มีปริมาณจำกัดในแต่ละวัน หากไม่มาต่อแถวรอก็ไม่มีทางได้ซื้อ ! ” หนิงตงเซิ่งรับบทบาทเป็นผู้นำเที่ยว
หลินเว่ยเว่ยถามด้วยความสนใจ “ราคาถูก ? ราคาชั่งละเท่าไหร่หรือ ? ”
ไฉนเลยหนิงตงเซิ่งจะมีเวลาสนใจเรื่องนี้ เขาหันไปมองผู้ติดตาม เสี่ยวไห่ที่เกือบโดนเจ้านายทิ้งให้นอนนอกเมืองจึงรีบกล่าวว่า “ธัญพืชหยาบราคาชั่งละ 10 อีแปะ ธัญพืชเกรดดีราคาชั่งละ 25-30 อีแปะ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “อือ ถูกกว่าเขตเริ่นอันมาก เราสามารถซื้อกลับไปได้เยอะเลย”
เสี่ยวไห่พูดต่อ “ข้าวหรือธัญพืชราคาถูกมีข้อจำกัดคือต้องถือทะเบียนบ้านไปและในแต่ละบ้านจะซื้อได้ 3 ชั่งต่อวัน…”
“หืม ? ต่อแถวนานถึงเพียงนี้ซื้อได้แค่ 3 ชั่ง ? ” ถ้าในบ้านมีคนเยอะก็ไม่พอกินแน่นอน ! เป็นอย่างที่คิดว่าราคาถูกเป็นแค่หลุมพราง !
“เอ๋ ? แล้วทางนั้นเล่า ? ทางนั้นก็ขายข้าวเหมือนกันหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยชี้ไปยังร้านค้าหนึ่งบนถนนสายหลัก หน้าร้านมีคนต่อแถวยาว แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับร้านขายธัญพืชคือถ้าผู้ที่ต่อแถวไม่ใช่คนมีเงินซึ่งใส่เสื้อผ้าหรูหราก็เป็นคนแต่งกายในชุดบ่าวรับใช้
หนิงตงเซิ่งมีแววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย “อ้อ ทางนั้นหรือ ! เป็นร้านขนมของพวกเรา เดือนนี้เพิ่งเปิดตัวสินค้าใหม่โดยใช้เหตุผลว่าทำจากวัตถุดิบหายาก เปิดขายในจำนวนจำกัด เรามีไม่พอขายทุกวันเลย”
หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วเค้นเสียง ‘ชิ’ ในใจ ขนมพวกนั้นเป็นสิ่งที่นางสอนทำกับมือ ไม่เห็นตรงไหนจะมีวัตถุดิบหายาก ทว่าเหตุผลก็ดูเข้ากับการค้าดีเพราะมันจะสร้างความกระหายให้แก่ผู้บริโภค
“เราไปดูในร้านได้หรือไม่ ? ” จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็นึกสนุกขึ้นมา ความหอมหวานของขนมสามารถปัดเป่าอารมณ์ด้านลบทั้งหมดออกไปทำให้รู้สึกดี และเมื่อครู่นางเพิ่งผ่านเหตุการณ์ลอบสังหารอันน่าหวาดกลัวมา ดังนั้นควรกินขนมสักชิ้นสองชิ้นเพื่อปลอบประโลมจิตใจ !