บทที่ 260 มีแนวโน้มที่ไอคิวจะตกต่ำลง

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 260 มีแนวโน้มที่ไอคิวจะตกต่ำลง

เฟิ่งชิงหัวรีบหลบไปยังด้านหลังม่านบังตาทันที บริเวณด้านหลังมีเสียงดังเยาะเย้ยของผู้ชายดังมา ในตอนนี้นางก็เลยดึงสติกลับมาได้ว่าการกระทำของตนเองทำไมถึงได้ดูโง่มากเช่นนี้

เฟิ่งชิงหัวหันศีรษะแล้วกล่าวถามด้วยเสียงเบาๆ ว่า: “พวกนางดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นพวกเรา งั้นสามารถได้ยินที่พวกเราพูดหรือเปล่า?”

“ไม่ได้ยิน”

เฟิ่งชิงหัวกำลังคิดจะถามว่านี่มันเป็นเพราะสาเหตุอะไร ก็ได้ยินประตูทางฝั่งนั้นถูกเปิดออก องครักษ์หญิงทั้งสองท่านเมื่อครู่ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ผู้ที่ตามหลังพวกนางมานั้นเป็นผู้ชายอายุ 40 กว่าปีคนหนึ่ง ย่างก้าวสง่างาม รูปลักษณ์หน้าตาดูน่าเกรงกลัวและดุดัน ซึ่งไม่เหมือนจากเหลียวเถียนเถียนที่รูปร่างบอบบางแม้แต่นิดเดียวเลย

“ท่านลุง ท่านมาแล้วหรือ” เหลียวเถียนเถียนเห็นท่านลุงของตนมาแล้ว สีหน้าท่าทางค่อนข้างยินดีเป็นพิเศษ รีบเข้าไปกอดแขนของฝ่ายชายเอาไว้แน่นทันที ยังไม่ทันได้ออดอ้อนเลย ก็ถูกฝ่ายชายสะบัดมือทิ้งให้ไปอยู่บนพื้นแล้ว

สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวหลายต่อหลายคนที่ยินดีขึ้นมาด้วยกันแต่เดิมนั้นหดหัวลงไปตามๆ กัน แล้วต่างพากันเงียบเสียงไปเลย

ตอนที่เหลียวเถียนเถียนปีนขึ้นมาจากบนพื้นก็ยังอึ้งไปบ้างเล็กน้อย: “ท่านลุง ทำไมท่านจึงสะบัดข้าทิ้ง?”

“ทำไมน่ะเหรอ? ข้าให้ป้ายคำสั่งแก่เจ้าเพื่อให้เจ้ามากินข้าว ไม่ใช่ให้เจ้ามาก่อเรื่องวุ่นวายให้ข้า! เจ้ายั่วโมโหใครไม่ยั่วนะ คิดไม่ถึงว่าจะกล้ายั่วโมโหท่านอ๋องเจ็ดได้ เจ้ามีหลายศีรษะนักเหรอ?”

“ยั่วโมโหท่านอ๋องเจ็ด? ข้าเปล่านี่ ข้าก็แค่ ข้าก็แค่อยากจะสั่งสอนองค์หญิงซีหลันผู้นั้นไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เหลียวเถียนเถียนเปี่ยมไปด้วยการไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งใบหน้า

องครักษ์หญิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า: “คุณหนูเหลียวล่วงเกินแขกในหอไล่ตามเมฆาของพวกเรา นี่คืออย่างแรก ส่วนอย่างที่สองทำลายทรัพย์สินของหอไล่ตามเมฆา อีกทั้งยังปฏิเสธที่จะไม่ชดใช้และยังปัดความผิดให้ผู้อื่นด้วย อย่างที่สามคุณหนูเหลียวปากก็บอกว่านายท่านกับเว่ยหย่วนโหวมีความสัมพันธ์ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน บ่าวก็ไม่ทราบเช่นกันว่าคำพูดนี้คุณหนูเหลียวเป็นคนคิดออกมาเอง หรือว่าเว่ยหย่วนโหวท่านเป็นคนสอน”

เผชิญหน้ากับเว่ยหย่วนโหว ท่าทีขององครักษ์หญิงทั้งสองท่านก็ดูเฉยชา ไม่มีทีท่าว่าจะต้อนรับขับสู้แม้แต่นิดเดียว

เดิมนั้นเว่ยหย่วนโหวก็เพียงเห็นว่าเหลียวเถียนเถียนยังเด็กอยู่ก็เลยล่วงเกินคนเขา แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางกล้าที่จะทำเรื่องเช่นนี้ในหอไล่ตามเมฆาได้ แม้กระทั่งพูดจาคุยโวเช่นนี้ด้วย

และในตอนนี้เองเหลียวเถียนเถียนก็กล่าวออกมาเสียงดังว่า: “ข้าพูดอะไรผิดหรือ! ท่านลุงของข้าก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอ๋องเจ็ด สำหรับของของพวกเจ้าแล้ว ท่านอ๋องเจ็ดย่อมให้ท่านลุงข้าชดใช้งั้นหรือ เบิกตาชั้นต่ำของพวกเจ้าดูให้ชัดเจนว่าข้า……”

คำพูดของเหลียวเถียนเถียนยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหนึ่งฝ่ามือตบเข้าให้ ล้มลงไปกองกับพื้นแล้วเป็นลมหมดสติไปเลย

ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นยังไงก็คิดไม่ถึงว่าท่านลุงที่เหลียวเถียนเถียนพร่ำบอกนักหนาว่ารักเอ็นดูนางอย่างหาที่เปรียบมิได้ จู่ๆ จะลงมือตบตีนางได้

ดังนั้นคำพูดเหลียวเถียนเถียนก่อนหน้านี้ต่างก็โกหกพวกนางน่ะสิ?

สีหน้าท่าทางของเว่ยหย่วนโหวเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมาเป็นพิเศษ จ้องมายังเหลียวเถียนเถียนที่อยู่บนพื้นด้วยท่าทางที่อยากจะบีบนางให้ตายไปเลย

แต่ในตอนที่เขาหันศีรษะไปกลับคำนับขอขมาต่อองครักษ์หญิงสองท่านนั้น: “หลานสาวรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้เป็นที่อับอายต่อทั้งสองท่าน การชดใช้ข้าจะไปจัดการด้วยตัวเอง สำหรับคำพูดที่ออกจากปากนาง ฝากท่านสองท่านไปบอกท่านอ๋องเจ็ดด้วยว่าเป็นข้าที่อบรมมาไม่ดีเอง ต่อไปจะไม่ให้มีข่าวลือแบบนี้อีกเป็นอันขาด สำหรับป้ายคำสั่งชิ้นนี้ ข้าไม่คู่ควรที่จะก้าวเข้ามายังหอไล่ตามเมฆาอีก รบกวนส่งคืนให้ท่านอ๋องเจ็ดด้วยเถิด”

พอพูดจบเขาก็เดินขึ้นมาด้านหน้า แบกเหลียวเถียนเถียนขึ้นมาไว้บนบ่าแล้วก็เดินออกไปเลย

คนอื่นๆ ที่เหลือเห็นสถานการณ์แล้วต่างก็พากันกล่าวออกมาว่า: “พี่องครักษ์หญิง ข้าก็จะให้ท่านแม่ของข้าเอาเงินมาชดใช้ รบกวนท่านไหว้วานคนไปแจ้งที”

“พี่สาว พวกเรายินดีชดใช้ จะไม่ให้ขาดแม้แต่แดงเดียวเลย”

“ใช่แล้วล่ะพี่สาว คำพูดพวกนั้นที่คุณหนูเหลียวพูดนั้นพวกเราไม่รู้เรื่องเลย ใครจะไปรู้ว่านางจะกุเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาได้ ท่านวางใจได้ พวกเราเชื่อแน่นอน”

เฟิ่งชิงหัวทนดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างน่าเบื่อว่า: “ไม่น่าสนใจเลยจริงๆ พวกเรากลับกันเถอะ”

จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วแล้วมองมาที่นาง: “นี่ก็ไม่สนใจแล้วหรือ? เจ้าอยากจะให้มันน่าสนใจยังไง?”

“โอ๊ย เจ้าไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับที่เวลาอ่านนิยาย ควรจะตื่นเต้นมีสีสันมากกว่านี้ เนื้อเรื่องลุ่มๆ ดอนๆ ถึงจะน่าดู นี่มันราบเรียบเกินไป

“งั้นเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?” จ้านเป่ยเซียวส่งถ้วยชาให้นาง คราวนี้จึงเทให้ตัวเองหนึ่งถ้วย

เฟิ่งชิงหัวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า: “ควรจะเป็นแบบพอเข้าประตูมาแล้วก็เป็นการแสดงความรักฉันลุงกับหลานก่อน เว่ยหย่วนโหวรักเอ็นดูเหลียวเถียนเถียนสารพัด รู้สึกว่านางได้รับความไม่เป็นธรรม จะหาคนคิดบัญชี จากนั้นเหลียวเถียนเถียนก็ชี้บอกว่าข้าเป็นคนที่ทำร้ายนางให้ชนฉากกั้นลมล้มลง จากนั้นอีกเว่ยหย่วนโหวก็ออกคำสั่งจะสืบค้นทั่วทั้งหอไล่ตามเมฆา จะต้องหาตัวข้าออกมาให้ได้เพื่อระบายอารมณ์ให้หลานสาวของเขา จากนั้นข้าก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็กดดันข้าสารพัด ด่าว่าข้าเสียๆ หายๆ สุดท้ายก็ถูกข้าปิดเกมอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเว่ยหย่วนโหวก็ไม่ยอมจำนน ปล่อยคำพูดออกมาว่าเจ้าเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกับเขา ทั้งหอไล่ตามเมฆาก็เป็นของเจ้า แล้วก็ยังบอกว่าอย่าคิดว่าวันนี้ข้าจะออกจากประตูบานนี้ไปได้ ต่อจากนั้นเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นมา ฟังคำพูดพล่อยๆ ของทุกคนที่เหยียดหยามข้าสารพัด ต่อมาเจ้าก็จัดการพวกเขาอย่างเด็ดขาดด้วยอารมณ์วางอำนาจทันที พาข้าออกจากที่นี่ไปอย่างสง่าผ่าเผย เหลือไว้เพียงพวกเขาที่ยังตาค้างปากค้างกันอยู่ เป็นอย่างไร? เนื้อเรื่องแบบนี้ดูวางอำนาจบาตรใหญ่หรือเปล่า ดูมีอำนาจล้นฟ้า อีกทั้งยังเห็นภาพที่ดูดุดันเป็นพิเศษ? น่าดูกว่าฉากเมื่อครู่นี้เยอะเลย”

จ้านเป่ยเซียวยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย: “เฟิ่งชิงหัว ต่อไปเจ้าดูนิยายพวกนี้ให้น้อยๆ หน่อย ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย มีแนวโน้มที่ไอคิวจะตกต่ำลงด้วยซ้ำ”

“ทำไม? ข้าคิดว่าความน่าอ่านเช่นนี้สูงมากเป็นพิเศษ”

“แต่ว่าเจ้าลืมไปจุดหนึ่ง” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย

“ที่นี่คือหอไล่ตามเมฆา สิ่งเหนือความคาดหมายต่างๆ จะไม่เกิดขึ้นที่นี่เป็นอันขาด เข้ามาที่นี่แล้ว เป็นมังกร ก็ย่อมต้องอยู่อย่างสงบให้ข้า เป็นเสือก็ต้องหดหัวเอไว้ให้ข้าเช่นกัน หากยังอยากร้องอวดดีออกมา? เกรงว่าพวกเขาโอกาสแม้แต่เอ่ยปากก็ยังไม่มีเลย” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย

ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวก็เลยคิดขึ้นมาได้ว่า หอไล่ตามเมฆาแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นโรงเตี๊ยม ข้างในนี้ยังมีหอมือสังหารอันดับหนึ่งที่ติดอันดับแห่งเขายุทธภพ คือหอเงาโลหิต

เกรงว่าใครไม่ดูตาม้าตาเรือมามีเรื่องที่นี่ ก็จะถูกกำจัดทิ้งอย่างไร้ร่องรอยไปเลย

ฉากละครที่นางคิดอยู่เมื่อครู่นี้ ก็เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างโง่เขลาเกินไปหน่อย

“ก็ได้ พวกเรากลับกันเถอะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าว

ทั้งสองคนก็ลงไปจากบนลิฟต์ไม้ตามเดิม พอถึงข้างทางจึงนึกขึ้นมาได้ว่า: “นางในคนนั้นของข้าล่ะ? นางอยู่ไหน? ข้ารู้สึกว่านางค่อนข้างมีประโยชน์อยู่ ว่าง่ายเชื่อฟังอีกทั้งยังฉลาดด้วย”

“เจ้าชอบ?”

“ก็พอได้นะ นานแล้วไม่ได้มีคนที่ให้ใช้ตามสบายเช่นนี้ได้ ไม่เหมือนคนนั้นที่จวนเฉิงเซี่ยงจัดแจงมาให้ข้า ทั้งหมดก็เป็นพวกสอดแนมไปหมด” เฟิ่งชิงหัวทำปากเบะ

“ในเมื่อชอบ งั้นเดี๋ยวอีกสองสามวันจะส่งกลับจวนไป”

เฟิ่งชิงหัวได้ฟังน้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียว ก็เหมือนว่ามีท่าทีที่พกพาหมาแมวเช่นนั้นก็ไม่ปาน ก็เลยอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้แล้วกล่าวว่า: “แบบนั้นจะดีได้ยังไง นางเป็นคนของซีหลัน อีกทั้งยิ่งเป็นคนของเป่ยเว่ยด้วย จะมาให้ติดตามข้าได้ตามอำเภอใจได้ที่ไหนกัน ช่างมันเถอะ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองเท่านั้น”

รอจนถึงชั้นล่าง เฟิ่งชิงหัวก็ออกจากประตูไปพร้อมกับจ้านเป่ยเซียวด้วยกัน เพียงแต่ว่าฝ่ายชายขึ้นรถม้าของจวนอ๋องเฉินไป แต่นางกลับขึ้นรถคันเดิมนั้นที่มาก่อนหน้านี้

ตอนที่เฟิ่งชิงหัวขึ้นรถม้าก็มองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณอยู่ครู่หนึ่ง เป็นไปตามที่คิดจริงๆ มีเงาขององค์ชายใหญ่แอบมองอยู่ตรงตรอกแห่งหนึ่งอยู่

“องค์หญิง ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” เหลียนซินกล่าวอย่างกังวลอยู่ด้านข้าง

“ข้าจะมีเรื่องอะไรได้?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอยู่บนรถม้าที่นั่งอยู่อย่างสบายอารมณ์

เหลียนซินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า: “เมื่อครู่ ตอนที่องค์ชายใหญ่ไป รับสั่งบ่าวว่าจะต้องดูท่านให้ดี หากเห็นว่าท่านอยู่กับชายคนอื่นที่ใดที่หนึ่ง ให้บ่าวจดจำหน้าตาของคนผู้นั้นไว้ จากนั้นก็ไปบอกเขาให้ทราบ”

เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้น องค์ชายใหญ่ผู้นี้ โรคหวาดระแวงช่างหนักหนาจริง คิดไม่ถึงว่ายังสงสัยนางอยู่อีก

“งั้นเจ้ามาบอกข้าทำไมกัน?” ดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งชิงหัวจ้องมาที่เหลียนซินอย่างแน่นิ่ง

เหลียนซินกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม: “ในใจของเหลียนซิน องค์หญิงถึงจะเป็นนายท่านจริงๆ”

เฟิ่งชิงหัวยื่นมืออกมาตบไปยังบ่าของนางครู่หนึ่ง: “เจ้าซื่อสัตย์มาก”

น่าเสียดายที่ไม่ใช่คนของนาง

เหลียนซินกล่าวว่า: “องค์หญิง ต่อไปท่านควรจะไปรักษาใบหน้าที่หมอเทวดาที่นั่นได้แล้ว”

เฟิ่งชิงหัวได้ฟังดังนั้นสีหน้าท่าทางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จ้องมายังใบหน้าของเหลียนซิน ผ่านไปนานมากก็ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้น ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง จึงมีเสียงอืมดังขึ้นมาเบาๆ นางในตัวน้อยผู้นี้ ดูชาญฉลาดกว่าที่นางคิดเอาไว้เยอะเลย