เปลวไฟหล่นลงบนกองน้ำมันที่ผสมเข้ากับสุรา พื้นไม้เริ่มติดไฟขยายเป็นวงกว้าง
ทั้งพื้นในโถงบนนาวาใหญ่ และกำแพงทั้งสี่ด้านล้วนสร้างจากไม้ทั้งสิ้น ประกอบกับม่านโปร่งริมหน้าต่างส่งผลให้ทั้งโถงนั้นถูกเปลวเพลิงเลียไปทั่วแทบจะทันที
ท่ามกลางทะเลเพลิงนั้น หยางเซิ่งไฉและคนอื่นๆ จึงไม่ทันได้มองใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นชัดๆ
ในเวลาอันสั้นพวกเขาไม่มีกะจิตกะใจจะมาใส่ใจสิ่งเหล่านี้ ความสงบนิ่งยามผลักเจียงจั้นลงน้ำอันตรธานไปจนหมดสิ้น หลงเหลือแต่ความตื่นตระหนก พวกเขารีบตะโกนจนเสียงแหบแห้ง “เอาน้ำมา เอาน้ำมา!”
เจียงซื่อยิ้มให้กับอาการขวัญหนีดีฝ่อของทั้งสี่คนจากนั้นก็กระโดดออกไปนอกหน้าต่าง
เสียงวัตถุหนักที่ตกลงไปในน้ำเตือนให้ทั้งสี่รู้ตัว แต่ละคนก็ลนลานปรี่เข้าไปยังหน้าต่างที่ใกล้ที่สุดและกระโดดตามลงไป
เฉกเช่นเดียวกับโยนเกี๊ยวลงหม้อก็ไม่ปาน เสียงกระโดดลงน้ำดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากที่ทั้งสี่กระโดดลงไปในน้ำได้ไม่นาน เหล่าคณิกาหนุ่มและบ่าวรับใช้ที่ยังอยู่บนนาวาใหญ่ที่รู้ว่าคุณชายทั้งสี่กระโดดน้ำหนีไปแล้ว ต่างก็ใช้ทักษะในการว่ายน้ำที่มีติดตัวหรือไม่ก็ใช้อ่างไม้แทนเรือหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
ความรู้สึกแรกที่ร่างของเจียงซื่อสัมผัสน้ำคือความเย็นเฉียบ
แม้ในขณะนั้นลมร้อนในช่วงคิมหันตฤดูยังไม่จางหาย สายลมที่พัดผ่านในยามค่ำคืนจึงพัดพาไออุ่นมาด้วย
แต่เพราะความต่างระหว่างอุณหภูมิบนดินและในน้ำค่อนข้างมากจึงทำให้รู้สึกว่าน้ำในแม่น้ำนั้นเย็นเป็นพิเศษ
เจียงซื่อตัวสั่น ขาทั้งสองข้างเตะไปมาจนศีรษะโผล่พ้นผิวน้ำ
หยดน้ำเย็นๆ กลิ้งลงมาตามผิวแก้มเนียนเรียบ ในชั่วอึดใจนั้น ในใจของนางคะนึงหาใครบางคน
นางเกิดและเติบโตขึ้นในเมืองหลวง ตั้งแต่ย้ายจากจวนตงผิงปั๋วไปยังจวนอันกั๋วกง นางไม่เคยได้ฝึกว่ายน้ำเลยสักครั้ง แต่ทักษะที่มีนี้เป็นเพราะอวี้ชีเคยสอนในสมัยที่อยู่ทางตอนใต้
ในตอนใต้มีแหล่งน้ำอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีทะเลสาบเล็กใหญ่กระจายอยู่ทั่ว
มีครั้งหนึ่งอวี้ชีหยอกล้อนางโดยการผลักนางลงน้ำ ครั้นเห็นว่านางดิ้นรนอยู่ในน้ำก็ประหลาดใจว่าที่แท้แล้วธิดาเผ่าอูเหมียวว่ายน้ำไม่เป็น
ในตอนนั้น นางทั้งขาดความมั่นใจและเศร้าหมองในคราเดียวกัน
สาเหตุที่ขาดความมั่นใจเนื่องจากนางรู้ว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายเข้าหานางเพราะเห็นว่านางคืออาซัง และที่นางเศร้าหมองก็เนื่องด้วยสาเหตุเดียวกัน
ต่อมานางถึงได้สารภาพว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรีชาวฮั่นที่บังเอิญมาอาศัยอยู่ที่ทางตอนใต้เท่านั้น มิใช่อาซังผู้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด
อวี้ชีเงียบอยู่นาน แล้วจึงบอกกับนางว่า “ข้ารู้ตั้งนานแล้ว เจ้ากับอาซังช่างละม้ายคล้ายกันจริงๆ”
ในที่สุดนางถึงได้รู้ว่าอวี้ชีเห็นนางเป็นเพียงตัวแทนของอาซังเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร วิชาว่ายน้ำนี้นางก็ได้เรียนรู้มาจากอวี้ชี
อวี้ชีเคยกล่าวไว้ว่า ทะเลสาบมีอยู่ทุกหนแห่ง หากไม่ฝึกทักษะว่ายน้ำไว้บ้าง เกิดวันหนึ่งพลัดตกลงไปในน้ำจักทำอย่างไร ต่อให้มีคนคอยปกป้องมากมายแค่ไหนก็มิสู้ดูแลตัวเองให้รอดปลอดภัย
นางเห็นด้วยอย่างสุดซึ้งถึงได้ตั้งใจฝึกฝนอย่างดี
มาถึงวันนี้ นางมีโอกาสได้ใช้ทักษะนี้แล้วถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกคือตอนที่ลงไปช่วยสตรีในดวงใจของจี้ฉงอี้และได้ถอนหมั้นอย่างราบรื่น ส่วนครั้งนี้ก็เอาชีวิตรอดจากเหตุวางเพลิง
“คุณหนู รีบส่งมือมาให้บ่าวจับเร็วเข้า!” ในค่ำคืนมืดสลัว ประกายและแสงไฟบนผิวน้ำพริ้วไหวไปตามสายน้ำที่กระเพื่อม น้ำเสียงร้อนใจของอาหมานดังขึ้น
เจียงซื่อรีบเอื้อมมือไปจับมือของอาหมาน และพยุงร่างตัวเองขึ้นเรือไปด้วยแรงดึงของอีกฝ่าย
เมื่อเห็นสภาพเปียกปอนของเจียงซื่อ อาหมานจึงอดบ่นไม่ได้ “คุณหนู คุณหนูช่างกล้าหาญเกินไปแล้ว ทำบ่าวตกใจเกือบตายเชียวนะเจ้าคะ!”
“จะกลัวไปไย ข้าก็ตกลงกับเหล่าฉินแล้วนี่” เจียงซื่อมองไปรอบๆ “คุณชายรองไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เหล่าฉินเช่าเรือสำปั้นจ้างมาเรียบร้อย ซึ่งเดิมทีเป็นเรือสำหรับค้าขายผลไม้สด ยามอยู่ท่ามกลางเรืออีกนับไม่ถ้วนในแม่น้ำจินสุ่ยจึงไม่เป็นที่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อย
อาหมานชี้เข้าไปใต้ชายคา “คุณชายรองอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ บัดนี้ยังไม่ได้สติ แต่เหล่าฉินบอกว่าคุณชายรองไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
พวกเขาตามนาวาใหญ่มาติดๆ จึงสามารถช่วยเจียงจั้นได้ทันท่วงที เพียงแต่เจียงจั้นดื่มมากไปจึงหลับไปราวกับคนเสียชีวิตแล้วก็ไม่ปาน
เมื่อได้ยินว่าเจียงจั้นยังสบายดี เจียงซื่อก็เบาใจ
ในยามนั้นนาวาใหญ่ทั้งลำสว่างไสว เปลวไฟลุกโชนพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าดุจมังกรพิโรธอย่างไรอย่างนั้น ผืนน้ำรอบๆ นาวาใหญ่สะท้อนสีแดง
เสียงกรีดร้องและเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรือที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างแตกตื่นไปตามๆ กัน พวกเขาแล่นเรือเข้าไปใกล้เพื่อช่วยชีวิตคนจากนาวาใหญ่
“ช่วย ช่วยด้วย…” เสียงขอความช่วยเหลือแผ่วเบาลอยมา มือข้างหนึ่งพาดอยู่บนขอบเรือลำน้อยของเจียงซื่อ
ไม่กี่ชั่วอึดใจใบหน้าเปียกชุ่มก็โผล่ขึ้นมา
อาหมานอุทานเสียงต่ำพลางหันหน้าไปมองเจียงซื่อ
ดูเหมือนว่าบุคคลผู้นี้จะขึ้นนาวาใหญ่ไปพร้อมกับคุณชายรอง
เหล่าฉินยังคงถือไม้พายอย่างไร้สุ้มเสียง ราวกับว่าเขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
เขารอฟังคำสั่งจากคุณหนู หากคุณหนูใคร่จะช่วยชีวิตคนผู้นี้ เขาก็จะยื่นมือไปช่วย แต่หากคุณหนูไม่เอ่ยสิ่งใด เขาก็ไม่มีทางทำสิ่งใดโดยพลการเช่นกัน
การช่วยคนเป็นงานที่ต้องใช้แรง
เจียงซื่อค้อมตัวลงก้มมองใบหน้านั้นด้วยสายตาเย็นชา
ผู้ที่มาร้องขอความช่วยเหลือจากนางคือหยางเซิ่งไฉ
ในวินาทีนั้นเจียงซื่อรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เดิมทีนางไม่คิดว่าจะไปจากที่นั่นทันที ตั้งใจว่าจะหาตัวหยางเซิ่งไฉให้พบเสียก่อน ไม่นึกว่าสวรรค์จะโปรดส่งตัวเขาผู้นั้นมาให้ถึงที่
เจียงซื่อส่งยิ้มให้หยางเซิ่งไฉที่เงยหน้าขึ้นมาขอความช่วยเหลือ
แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้นางกระโดดลงไปในน้ำ ทำให้แป้งที่ทาอยู่บนหน้าเริ่มละลาย น้ำสีขาวขุ่นไหลลงอาบข้างแก้ม ดูช่างน่าขัน ทว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว อีกฝ่ายจึงเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางได้ไม่ชัดเจนนัก
หยางเซิ่งไฉที่กำลังดิ้นรนอยู่ในน้ำมองไปที่ใบหน้านั้น เขาไม่ทันกลัวเสียด้วยซ้ำ มือข้างหนึ่งเกาะขอบเรือไว้แน่น ส่วนอีกขึ้นยืดเหยียดขึ้นไป “ช่วยข้าที... ข้าเป็นหลานเสนาบดีกรมพิธีการ หากพวกเจ้าช่วยข้า ข้าจะมอบความรุ่งเรืองและมั่งคงให้พวกเจ้าไปชั่วชีวิต!”
เจียงซื่อก้มหน้าลง แต่มิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา น้ำเสียงของนางเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง “สิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าไม่อาจให้ได้”
แม้หยางเซิ่งไฉมาจากตระกูลร่ำรวย แต่ก็มิใช่คนโง่เขลา ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายปลุกเร้าความเฉลียวฉลาดในตัว ในขณะนั้นเขาทราบดีว่าเจียงซื่อถือเป็นเจ้าของชีวิตจึงรีบบอกออกไปว่า “เจ้า… เจ้าต้องการสิ่งใด ข้าให้ได้ทั้งนั้น…”
เจียงซื่อดึงมุมปากเล็กน้อยพลางส่งยิ้มพราว “แน่นอนว่าข้าต้องการชีวิตของเจ้าอย่างไรล่ะ”
ทันทีที่สิ้นประโยคนั้น นางก็ออกแรงแกะมือของหยางเซิ่งไฉ แล้วใช้ด้ามไม้พายในเรือกดศีรษะหยางเซิ่งไฉให้จมลงไป
หยางเซิ่งไฉเคยเรียนว่ายน้ำมาก่อน แต่ทักษะนั้นถูกทิ้งร้างไปนานแล้ว หลังจากตกลงไปในน้ำ เขาพยายามว่ายไปหาเรือลำอื่นๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ เพียงแต่เขาโชคร้าย จุดหมายเดิมของเขาคือนาวาใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง แต่ระหว่างทางได้พบเรือสำปั้นจ้างลำนี้เสียก่อนจึงพยายามไขว่คว้าความหวังสุดท้ายเอาไว้ มิได้สำรองกำลังสำหรับว่ายน้ำอีกต่อไปแล้ว
มิได้เผื่อใจไว้ว่าความหวังสุดท้ายจะกลายเป็นเครื่องชี้เป็นชี้ตาย
ร่างทั้งร่างของเขาจมลงใต้น้ำ ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนเพียงใดก็ไม่อาจลอยตัวขึ้นมาได้แล้ว แรงจากด้ามไม้พายที่กดศีรษะดูหนักขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ร่างของเขาเริ่มจมดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
ในที่สุดหยางเซิ่งไฉก็แน่นิ่งไป พืชพรรณใต้น้ำเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งข้อเท้าของเขาเอาไว้ ฟองอากาศที่หลุดลอยออกมาจากมุมปากค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำและแตกออกในที่สุด
เจียงซื่อเก็บด้ามไม้พายกลับเข้าที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย และหันไปสั่งเหล่าฉิน “ไป!”
ท่าทีของเหล่าฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เขาเร่งฝีพายตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
มีเรือจำนวนมากลอยเข้ามาใกล้ แต่เนื่องจากกองไฟบนนาวาใหญ่โหมแรงเหนือคณา พวกเขาจึงมิอาจเข้าใกล้มากไปกว่านี้ ทำได้เพียงช่วยชีวิตคนที่ตกลงมาในน้ำเท่านั้น
เรือสำปั้นจ้างลำน้อยทิ้งเสียงจ้อกแจ้กจอแจและความตื่นตระหนกไว้เบื้องหลังและล่องกลับเข้าฝั่งไป
อาหมานยังอยู่ในภวังค์จากเหตุการณ์ที่นายหญิงลงมือฆ่าคนอย่างประณีต น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อย “คุณ คุณหนู เมื่อครู่…”
เจียงซื่อเหลือบมองไปที่อาหมานพลางเอ่ยเสียงเบา “กลัวอะไร เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะช่วยคน”
หากสัตว์เดรัจฉานไร้มนุษยธรรมตายจากโลกนี้ไปจักไม่เรียกว่าเป็นการช่วยมวลมนุษย์ได้อย่างไร
นางหันไปมองเปลวเพลิงที่ช่วงโชติพวยพุ่งขึ้นถึงฟ้า ดูเหมือนว่าแม่น้ำจินสุ่ยจะงดงามยิ่งกว่าเก่าเสียอีก