บทที่ 203 หัวเราะโดยไม่ส่งเสียง
ผ่านไปสองวัน หลินเหราก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากเซี่ยเชียนในเมืองหลวง
ครั้นกลับถึงบ้านในเวลากลางคืน เขาได้นำมันมาให้เหยาซูด้วย
เมื่อเหยาซูได้ยินเขาพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยปากถามโดยไม่ใส่ใจว่า “ในจดหมายเขียนอย่างไรบ้าง?”
ขณะที่พูดก็รับจดหมายมาจากมือของชายหนุ่ม
ก่อนที่เหยาซูจะสนใจเนื้อหาภายในจดหมาย นางได้สังเกตเห็นตัวอักษรที่เขียนอยู่นนกระดาษจดหมายฉบับนั้น
เซี่ยเชียนสอบผ่านจอหงวนแล้ว ตัวอักษรแบบผอมแกร่ง*[1] นั้นถูกขีดเขียนขึ้นมาได้อย่างสวยวิจิตรมากทีเดียว
[1] ตัวอักษรแบบผอมแกร่ง (瘦金体) ที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของอักษรวิจิตรจีน
เหยาซูพิจารณาการเว้นวรรคที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงระหว่างตัวอักษรแต่ละตัวอย่างละเอียด ทั้งยังเจอตัวอักษรที่เหมือนกันสองตัว ซึ่งมองไม่เห็นถึงความแตกต่างเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวจึงอดพูดชื่นชมด้วยเสียงเบาไม่ได้ “กระดาษหน้านี้ คล้ายกับการประทับยิ่งนัก…”
แม้ว่าการได้ยินของหลินเหราจะดีมาก แต่กลับไม่เข้าใจความหมายนาง “ว่าอย่างไรนะ?”
เหยาซูส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่มีอะไร
ลักษณะของตัวอักษรในจดหมายคล้ายคลึงกับลักษณะของเซี่ยเชียนมากทีเดียว ไม่มีการเขียนที่เยิ่นเย่อแต่อย่างใด แม้แต่การร่ายเรียงที่ไร้สาระก็ไม่มี
แค่พูดถึงเทศกาลชิงหมิง*[1] ที่จะถึง คาดหวังให้ไปทำความสะอาดสุสานพี่สาวกับเขา
[1] เทศกาลชิงหมิง หรือ เทศกาลเช็งเม้งในภาษาจีนแต้จิ๋ว เป็นเทศกาลเซ่นไหว้และระลึกถึงบรรพบุรุษ
ครั้นเหยาซูอ่านเนื้อหาเพียงสั้น ๆ นี้จบก็เงยหน้าถามหลินเหรา “ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”
พี่สาวของหัวหน้าเซี่ยก็คือมารดาผู้ให้กำเนิดของหลินเหรา
เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต พวกเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ ตอนนั้นที่มารดาของหลินเหราถูกจับได้ว่าเป็นบุตรสาวของตระกูลทรยศ เหตุใดถึงได้ลาจากโลกนี้ไป แล้วตระกูลหลินนำร่างของนางไปฝังไว้ที่ใด … หลินเหราไม่รู้อะไรเลย
เขาหลุบตามองต่ำและพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าต้องกลับหมู่บ้านตระกูลหลินสักรอบ”
นิ้วมือของเหยาซูหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัวก่อนจะพูดต่อว่า “ก็ดี สองสามวันนี้ก็เตรียมเก็บของ เราจะกลับไปด้วยกัน”
หลินเหรามองหญิงสาว ด้วยความประหลาดใจ “อาซู?”
เหยาซูยิ้ม พูดอย่างอบอุ่นว่า “ถึงแยกบ้านกันแล้ว เทศกาลชิงหมิงท่านก็อาจจะยังเข้าไปกราบไหว้บรรพบุรุษตระกูลหลินได้ ถึงอย่างไรพวกเด็ก ๆ ก็เป็นสายเลือดตระกูลหลิน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูต่อกันถึงขนาดที่แม้แต่หน้าก็มองกันไม่ติด”
ครั้นได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในใจของหลินเหราก็โล่งใจ
ถ้าเป็นไปได้…
เขาก็หวังว่าเหยาซูและพวกเด็ก ๆ จะได้เจอกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาสักครั้ง
ต่อให้ในความทรงจำของเขาจะไม่เคยมีร่างเงาของพวกเขาสองคนปรากฏอยู่เลยก็ตาม แต่อย่างน้อยรายละเอียดที่ได้จากคนรอบข้าง หลินเหราก็สัมผัสได้ว่าพ่อแม่ของเขานั้นแตกต่างออกไป
หลายปีมานี้เขาไม่เคยจุดธูปแสดงความเคารพต่อพวกเขา หรือทำความสะอาดสุสานเลยสักครั้ง พวกเขาคงจะไม่โทษกล่าวเขาใช่หรือไม่?
เหยาซูเหมือนจะรู้ความคิดภายในใจของหลินเหราจึงวางมือทับบนหลังมือของเขา น้ำเสียงอันอ่อนโยนเอ่ยขึ้น “ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน ท่านพ่อและท่านแม่ของอาเหราเป็นคนเช่นไร แม้ตัวจะไม่อยู่แล้ว ชื่อจะไม่อยู่แล้ว สถานะจะไม่อยู่แล้ว แต่ร่องรอยของทั้งสองคนไม่ได้จางหายไปไหน จะต้องมีคนจดจำพวกเขาได้อย่างแน่นอน”
เสียงของนางอ่อนโยนและอบอุ่นมาก ทุกถ้อยคำต่างดังขึ้นในหูของเขาอย่างชัดเจนคล้ายกับถูกสายลมโชยพัด
โดยที่ไม่รู้ว่าประโยคไหนได้สะกิดใจของหลินเหราเขาถึงเงียบลง
เขาอดนึกถึงสหายร่วมชะตากรรมที่เคียงบ่าเคียงไหล่ช่วยกันต่อต้านสงครามของชาติพันธุ์อื่นไม่ได้ พวกเขาโดยส่วนใหญ่ล้วนมีตัวตนที่ไม่ค่อยน่าดึงดูดนัก ส่วนมากแม้แต่ชื่อที่เหมือนกันก็ไม่มี หลังจากตายไปจึงไม่รู้ว่าจะติดต่อข่าวคราวกับบ้านเกิดอย่างไร
รูปร่างหน้าตาที่ปรากฏอยู่ในสมองของหลินเหรา คาดไม่ถึงว่ามันจะชัดเจนถึงเพียงนี้
แม้ว่าคนเหล่านี้จะตายในสงคราม แต่กลับไม่เคยจางหายไปไหน
หลินเหราไม่ใช่คนที่จะเศร้าสลดไปตลอด ความเสียใจที่อธิบายไม่ได้นั้นคงอยู่ในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้นแล้วก็ถูกเขาปัดจนสลายหายไป
เขามองไปทางเหยาซูจากนั้นก็พูดเสียงต่ำว่า “ข้าขอพักผ่อนอีกสองวัน แล้วเราจะกลับไปเยี่ยมเยือนด้วยกัน”
เหยาซูพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
สองวันหลังจากที่หลินเหราพักผ่อนแล้ว
เหยาซูได้บอกกล่าวกับพวกเด็ก ๆ ไว้ก่อนแล้ว คืนก่อนเดินทางหนึ่งวันก็ได้ตระเตรียมสิ่งของเซ่นไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลชิงหมิงไว้อย่างดี เช้าวันที่สองก็พากันออกเดินทาง
หลินเหราบังคับเกวียน ส่วนเหยาซูได้พาเด็ก ๆ นั่งอยู่ด้านหลัง
ซานเป่ายังเด็กเกินไป อาจื้อและอาซือจึงให้เขานั่งด้านในสุด ทั้งหมดจะคอยปกป้องน้องชาย
ฤดูวสันต์ทุ่งหญ้าเจริญงอกงาม ฝูงนกโบยบิน การเดินทางจากในเมืองมุ่งตรงสู่บ้านตระกูลหลิน ยิ่งเดินทางไกลออกไปก็ยิ่งได้เห็นความเขียวขจีที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
อาจื้อและอาซือเติบโตจากหมู่บ้านชนบทตั้งแต่เด็ก แม้ว่าในเมืองจะสะดวกแต่การละเล่นกลับมีแค่ไม่กี่รูปแบบ
ตอนนี้เด็กทั้งสองคนกำลังเหม่อมองทิวทัศน์อันคุ้นเคย จึงลืมเรื่องทุกข์ใจที่ต้องกลับบ้านตระกูลหลินไปโดยสิ้นเชิงและเริ่มพูดคุยกันเจี๊ยวจ๊าว
เมื่อลูกสุนัขข้างถนนตัวหนึ่งเห็นเกวียนวัว จึงเริ่มเห่าหอนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อาซือจึงอดพูดไม่ได้ว่า “ไม่รู้ว่าลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดคอกไม้ในตระกูลฟางจะเป็นอย่างไรบ้าง… นางบอกว่ารอให้โตกว่านี้หน่อยแล้วจะส่งมาให้ข้าสักตัว! ท่านแม่ วันนี้เราจะไปบ้านท่านยายกันใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ลูกหลานนอกหมู่บ้านกลับบ้านมาไหว้บรรพบุรุษ ตามหลักแล้วจะต้องพักที่บ้านตระกูลหลิน
แต่พวกเขาไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องการติดต่อกับตระกูลหลินแม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่หวัง รายนั้นคงไม่อยากเจอพวกเขาแน่นอน นับประสาอะไรกับการไปอยู่อาศัยบ้านพวกเขา
เมื่อวานเหยาซูได้ไหว้วานให้คนไปส่งจดหมายถึงบ้านมารดาของตน บอกว่าจะกลับบ้านช้าเล็กน้อย
หญิงสาวลูบศีรษะของอาซือพร้อมกับมองไปยังอาจื้อก่อนจะพูดเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้เราจะไปกราบไหว้บรรพบุรุษตระกูลหลิน หลังจากกราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จแล้ว ต้าเป่า เอ้อเป่าและน้องชายจะต้องกลับบ้านท่านยาย ส่วนพ่อและแม่ยังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการ”
เด็กทั้งสองคนพยักหน้าอย่างว่าง่าย กระทั่งอดดีใจไม่ได้
อาซือหันกลับไปกระซิบกระซาบกับอาจื้อเสียงเบา “พี่ใหญ่อยู่บ้านคนเดียวนานขนาดนั้น ไม่ได้เล่นกับเขาเลย เราอยู่บ้านเขาสักสองสามวันก็พอแล้ว!”
เด็กชายมองน้องสาวด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง “อยู่บ้านท่านยายหรือ? แล้วพี่เถิงของเจ้าล่ะจะทำอย่างไร? เขาก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวเช่นกัน เขาจะไม่โทษเจ้าหรือที่ไม่อยู่เล่นกับเขา?”
หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา เถิงเอ๋อและอาซือมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก กลางวันฮูหยินเจี่ยงจะพาเขามาส่งที่บ้านของเหยาซู เด็กทั้งสองคนจึงตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋
ครั้นได้ยินอาซือบอกว่าอยากอยู่บ้านของท่านยาย อาจื้อจึงไม่อยากจะเชื่อ
แต่กลับได้ยินอาซือพูดอย่างจริงจังว่า “พี่เถิงไม่ว่าหรอก”
อาจื้อเห็นน้องสาวพูดเช่นนั้น จึงตั้งใจแกล้งนาง “ก็ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะอยู่บ้านของท่านยายนานเลยจนเถิงเอ๋อโกรธ แล้วไม่มาเล่นกับเจ้าอีก”
อาซือถลึงตาใส่เขา พลางพองแก้มกลม ๆ และพูดอย่างโกรธเคือง “พี่พูดเหลวไหล! พี่เถิงคิดอะไร ข้าย่อมรู้ดี ความคิดของข้า พี่เถิงก็รู้ดี! เราไม่มีทางโกรธกันแน่นอน!”
เหยาซูที่นั่งหลับตาพักสมองอยู่ด้านข้าง ซึ่งนางได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของเด็กทั้งสองคนเต็มสองรูหูตลอดเวลา
ครั้นได้ยินเช่นนี้ หญิงสาวก็อดหัวเราะไม่ได้
ข้าเข้าใจเจ้า เจ้าเข้าใจข้าอะไรกัน มิตรภาพของเด็กน้อย ช่างน่าสนุกยิ่งนัก
อาจื้อไม่สังเกต แต่อาซือได้ยินอย่างรวดเร็ว
นางเขยิบไปนั่งข้างกายของเหยาซูก่อนถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ท่านแม่ ท่านหัวเราะอะไร? ท่านก็ไม่เชื่อข้าหรือเจ้าคะ?”
เด็กสาวตัวน้อยมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก หากเหยาซูยอมรับว่าตัวเองหัวเราะนางเมื่อครู่ เกรงว่าอาซือจะต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่
หญิงสาวจึงลืมตา แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยการมองอาซืออย่างงุนงง “เอ้อเป่าว่าอย่างไรนะ? แม่กำลังคิดเรื่องอื่นเลยไม่ได้ยิน”
นับวันอาซือยิ่งอายุมากขึ้น จึงหลอกได้ยากขึ้น
ก่อนหน้านั้นนางมักเชื่อฟัง พูดสิ่งใดก็สิ่งนั้น แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าพวกผู้ใหญ่มักชอบโป้ปด
เด็กหญิงตัวน้อยบุ้ยปาก และมองเหยาซูอย่างสงสัยครู่หนึ่ง ครั้นเห็นความใสซื่อทางสีหน้าของผู้เป็นแม่ จึงได้ปล่อยวางและคลานกลับไปนั่งตำแหน่งเดิม
เมื่อเหยาซูเห็นเด็กทั้งสองคนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว และเริ่มถกเถียงด้วยความกระตือรือร้นอีกครั้ง จึงอดหัวเราะโดยไม่ส่งเสียงออกมาไม่ได้
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คราวนี้จะได้เจอพ่อแม่จริง ๆ ของอาเหรากันไหมนะ แต่อย่าได้เจอกับบ้านตระกูลหลินมหาประลัยนั่นเลย
ไหหม่า(海馬)