บทที่ 228 โดริสในความฝัน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 228 : โดริสในความฝัน

“เจ้าของร้านหลินไม่ได้คัดค้านการเป็นศัตรูกันระหว่างไวลด์กับฉัน เพราะไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีกระทั่งโอกาสได้เจอหน้ากันที่นี่ เขาแค่เชื่อว่ามันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นแหละ”

“จากที่เห็นตอนนี้ เขาคงจะให้ไวลด์ช่วยหาลูกค้ามาให้เขา นี่คือคุณค่าของไวลด์ต่อเจ้าของร้านหลิน…ส่วนพวกเรา เราช่วยเขาโดยการทำงานที่เล็กเกินไปสำหรับเขา”

“ในเมื่อเขาจัดเราให้มาเผชิญหน้ากันตรง ๆ หลัก ๆ แล้วน่าจะหมายความว่าไวลด์หมดค่าสำหรับเจ้าของร้านหลิน และเขาก็ไม่ต้องการมันแล้ว เพราะฉะนั้นความแค้นระหว่างเราสองคนจะได้ปิดบัญชีกันซะที”

“ทั้งหมดนี้ต้องเป็นแผนที่เจ้าของร้านหลินวางเรียงลำดับเป็นขั้น ๆ ไว้แล้วแน่ ๆ”

คำพูดเหล่านี้ของโจเซฟสะท้อนไปมาในใจของคล็อดตลอดเวลาที่พื้นที่ทั้งหมดถูกเก็บกวาด และกลุ่มของฟรานซิสถูกนำตัวกลับไปที่หอพิธีกรรมต้องห้าม

เลือกผู้ชนะจากโจเซฟกับไวลด์ สองบุคคลระดับภัยพิบัติเพื่อช่วยให้เลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือนภา…

แม้ว่าจะรู้อยู่แต่แรกแล้วก็ตามว่าเจ้าของร้านหนังสือผู้เป็นกันเองที่ใช้ชื่อว่า ‘หลินเจี๋ย’ ครอบครองอำนาจที่น่ากลัว แต่คำพูดของโจเซฟก็ทำให้มันดูมีผลกระทบรุนแรงเป็นพิเศษ

คล็อดจังงังไปราวกับหัวใจที่โดนค้อนทุบ

คำพูดลักษณะนี้เป็นอะไรที่เขารู้สึกคุ้นเคย…อัศวินคนใดที่รับการฝึกที่หอพิธีกรรมต้องห้ามต่างคุ้นชินกับมัน

หอพิธีกรรมต้องห้ามใช้ระบบแพ้คัดออกเพื่อเลือกบุคคลที่เหมาะสมไม่กี่คนจากอัศวินฝึกหัดหลายสิบคนเพื่อฝึกให้เป็นหัวกะทิ แล้วก็จะมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่บนจุดสูงสุดที่จะได้รับเลือกให้เป็นอัศวินแห่งแสง

โจเซฟผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้ว และคล็อดก็เช่นกัน

ที่จริงแล้วเจ้าของร้านหลินก็ปฏิบัติต่อทั้งโจเซฟและไวลด์ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าสำหรับเขาแล้ว การฝึกคนให้เข้าสู่ระดับเหนือนภานั้นไม่ต่างจากการปลูกกะหล่ำปลีเลย

ความรู้สึกขัดแย้งในใจคล็อดนั้นเกินคำบรรยาย

จากที่เขาระลึกได้ การติดต่อระหว่างเขากับหลินเจี๋ยนั้นถือได้ว่ามากกว่าโจเซฟอีก เจ้าของร้านหนังสือคนนั้นมักจะชวนเขาคุยเรื่อยเปื่อยอยู่บ่อยครั้งราวกับเป็นเพื่อนสนิท และในบางครั้งนี่ก็ทำให้เขาดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป

ทว่าด้วยคำพูดประโยคนั้นจากโจเซฟ ภาพลักษณ์หลินเจี๋ยในฐานะคนธรรมดาก็ถูกเบลอไปทันใด

“นี่คงเป็นเพราะว่าเราไม่สามารถตระหนักรู้ถึงระดับพลังของเจ้าของร้านหลินได้ดีพอ…”

จากที่อาจารย์ของเขาพูด การต่อสู้กับเทพจอมปลอมของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นอันตรายมาก และโชคดีที่เจ้าของร้านหลินมาช่วยพวกเขาไว้ได้

ที่ยิ่งกว่านั้น ปรากฏการณ์ประหลาดที่การต่อสู้ครั้งนั้นจบลงอย่างเงียบ ๆ ได้ในห้านาทีก็ทำให้คนมากมายคิดไปต่าง ๆ นานา

ทว่าหอพิธีกรรมต้องห้ามได้สั่งปิดปากไม่ให้ทุกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นรั่วไหลออกไป ไม่เปิดเผยอะไรเลยสักอย่าง

เนื่องด้วยสิทธิ์ของคล็อดไม่สามารถทำให้เขารู้กระจ่างได้ เขาจึงไม่สามารถสัมผัสพลังที่แท้จริงของเจ้าของร้านหลินได้โดยตรงเลยสักครั้ง

แต่ในเมื่ออาจารย์ต้องเคยสัมผัสมันมาก่อนได้แน่ ๆ การคาดเดาของเขาก็คงแม่นยำกว่าแหง ๆ

คล็อดส่ายหน้า เหลือบมองพวกฟรานซิสที่แผ่อยู่บนเก้าอี้ในสภาพน่าสมเพช

ถึงพวกเขาจะได้รับการรักษาแล้วก็ตาม แต่ในเมื่อการกระทำของพวกเขาไม่ได้ถูกต้องตามสิทธิ์คำสั่ง ระดับการรักษาที่พวกเขาได้รับจึงเป็นแค่ ‘กันตาย’ และพวกเขาก็ยังอยู่ในสภาวะบาดเจ็บสาหัส

ในตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างถูกสวมกุญแจมือในท่าทางชวนกระอักกระอ่วน นั่งอยู่บนเก้าอี้ในสภาพตัวสั่นและโอดโอยอย่างน่าเวทนา และในขณะเดียวกันก็ดูตื่นตระหนกอย่างรุนแรง

ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของพวกเขาจะพังทลายลงก่อนที่การสอบปากคำจะเริ่มเสียอีก

นี่คือห้องคุมขังของหน่วยข่าวกรอง สถานที่ที่เตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับสอบปากคำอาชญากร

แม้ว่าพวกฟรานซิสจะไม่เคยได้เหยียบเท้าเข้าไป แต่พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องสยองมากมายเกี่ยวกับที่นี่

เมื่อได้เข้าไป ทุกหลักจรรยาและคุณค่าที่เหล่าอัศวินของหอพิธีกรรมต้องห้ามยึดถือจะถูกลบล้างชั่วคราว

ไม่ว่าเขาจะเป็นคนในที่กระทำผิดหรือคนนอกที่ก่ออาชญากรรม ตราบใดที่ส่งใครสักคนเข้าไปในนั้น พวกเขาก็จะไม่ถือว่าเป็นคนอีกต่อไป

“ไม่ อย่า… ผะ…ผมไม่ได้ทำอะไรที่จะทำร้ายหอพิธีกรรมต้องห้ามเลยนะครับ ผมภักดีอย่างยิ่งยวดต่อหอพิธีกรรมต้องห้ามครับ เรื่องทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุครับ…ผมไม่รู้ ผมไม่ได้คาดไว้จริง ๆ ว่าไวลด์จะไปอยู่ที่นั่น ถ้าผมรู้แบบนี้ ผะ…ผะ…ผม… ต่อให้คุณท้าให้ผมทำ ผมก็ไม่แม้แต่จะฝันครับ!” ฟรานซิสพูดแก้ตัวท่ามกลางเสียงโหยหวนอย่างหวาดกลัว

เขาเกือบฉี่ราดเพราะความกลัวแล้ว ไม่เคยคิดฝันเลยว่าตัวเขาเองจะถูกพามาที่นี่

แต่เดิมเขาคิดว่านี่คือภารกิจยึดร้านหนังสือง่าย ๆ เหมือนแค่เดินเล่นในสวน

แต่เขาไม่เคยจินตนาการได้เลยว่าจะมีทีเร็กซ์ก้าวออกมาจากร้านหนังสือ

งานเที่ยวเล่นง่าย ๆ นี้ได้กลายมาเป็นกองถ่ายทำหนังจูราสสิกพาร์ค นี่คือการเบิกเนตรที่โหดร้ายสุดขีด

เขาเองก็ไม่ได้ซื่อบื้อ จากระดับปฏิบัติการและกองกำลังที่หอพิธีกรรมต้องห้ามส่งมา ฟรานซิสก็ตัดสินได้ทันทีว่าเขาทำพลาดครั้งใหญ่หลวงแล้ว

เขาทำให้ศัตรูไหวตัวอย่างไม่ตั้งใจ และการซุ่มจับไวลด์ก็พังไม่เป็นท่า ทำให้ทั้งปฏิบัติการคว้าน้ำเหลว

ตะ…แต่ทั้งหมดนี้ก็แค่อุบัติเหตุไง!

ถึงเราจะปฏิบัติโดยไม่มีคำสั่งแล้วใช้อำนาจเกินเหตุไปยึดร้านหนังสือ แต่เราก็ยังไม่ทันได้กระดิกนิ้วด้วยซ้ำนะ อย่างมากที่สุด ทั้งหมดที่พวกเราทำก็แค่เพ่นพ่านใกล้ ๆ ร้านหนังสือเอง…นั่นไม่ถือเป็นอาชญากรรมแน่ ๆ

แล้วทำไมเราต้องโดนพามาที่ห้องคุมขังด้วยล่ะ?!

ฟรานซิสกัดฟัน เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่ว่าจะเร่งสมองคิดแค่ไหน

ความลับทั้งหมดของตัวเองจะถูกเปิดเผยหลังจากที่เขาเข้าไปในห้องคุมขังได้ในไม่ช้า และต่อให้เขาปฏิเสธที่จะพูด ไม่ช้าก็เร็วคำตอบก็จะถูกรีดออกไปจากเขาแน่ ดังนั้นเขาชิงมอบตัวก่อนดีกว่า

ฟรานซิสในจุดนี้ไม่สามารถมามัวใส่ใจผู้บังคับบัญชาได้ ใบหน้าของเขาก็ซีดหนักกว่าเดิม การที่ตัวเขาถูกพามาที่ห้องคุมขังนี้ นั่นหมายความว่าโจเซฟไม่ได้ไว้หน้าปู่ของท็อดด์ หรืออัศวินแห่งแสงออสวาลด์เลย

บางที แม้แต่ท่านออสวาลด์ก็อาจจะมาโดนลงโทษไปกับเราด้วย…

แต่ไม่ว่าออสวาลด์จะงานเข้าหรือไม่ ฟรานซิสงานเข้าแน่ ๆ แล้วหนึ่งคน!

ฟรานซิสชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเจี๊ยบ ด้วยหวังว่าเขาจะสามารถรอดจากการถูกส่งเข้าห้องคุมขังได้ครบสามสิบสอง เขาจึงรีบพูดย้อนความทุกอย่างนับแต่คำสั่งยึดร้านหนังสือของท็อดด์ไปจนถึงความขัดแย้งในปัจจุบันระหว่างท็อดด์และเมลิสซ่าออกมาอย่างหมดเปลือก

แต่คาดไม่ถึงว่าสีหน้าของคล็อดที่ได้ยินเช่นนี้ยิ่งดำทะมึนลงอีก

ฉันก็นึกว่ามันบังเอิญ แต่ทั้งหมดนี้มีการวางแผนไว้แล้วเหรอ?!

ไม่เพียงแต่พวกเขาขวางปฏิบัติการ แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาคิดจะบุกเข้าไปในร้านหนังสือมาแต่แรกแล้วเหรอ?!

คล็อดเมินเสียงร้องโหยหวนของพวกฟรานซิสแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไปแล้วสั่งลูกน้องของเขาให้จัดบทลงโทษเข้ม ๆ ให้เจ้าพวกนี้ พวกเขาจะถูกขังในความมืดสามวันโดยไม่ได้รับอาหารและน้ำ และเมื่อจบช่วงนี้ไป พวกเขาก็จะถูกลดขั้นเป็นอัศวินฝึกหัด หรือไม่ก็ไล่ออกไปยกแก๊ง

เมื่อออกมาคล็อดก็เห็นโจเซฟเดินมาหาพร้อมด้วยเมลิสซ่าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดด้านหลังเขา

แม้ว่าสาวน้อยจะมีแผลจากการต่อสู้อยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่ได้บาดเจ็บใด ๆ ทำให้คล็อดถอนหายใจโล่งอก

“อาจารย์ครับ!” คล็อดเดินไปพาพวกเขาแล้วถ่ายทอดผลของการสอบปากคำ

โจเซฟยักไหล่อย่างรำคาญ “ทั้งหมดที่เธอทำก็แค่ตีคนให้หลับแล้วพึ่งฉันให้เคลียร์เรื่องให้เท่านั้นเอง”

“เฮอะ พวกเขาเริ่มก่อนนะ!” เมลิสซ่าแย้งกลับ

“เอาน่า ใครจะกล้าหาเรื่องเธอล่ะ รู้กันอยู่ว่าพ่อเธอเป็นใคร?”

“พวกเขาบอกว่าพ่อน่ะเป็นคนขี้โม้ที่เก่งแต่เป็นปลิงเกาะคนอื่นไง!”

“…”

โจเซฟเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาหรี่จนแทบปิดสนิทพลางถอนหายใจ “แล้วเรื่องที่เธอใช้อำนาจเกินขอบเขตแล้วปูดข้อมูลลับให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องล่ะ?”

เมลิสซ่าห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด “นั่นเป็นความผิดหนูเองค่ะ…”

“พ่อจะช่วยเธอจัดการเรื่องนี้ให้ แต่เธอต้องทำภารกิจลับภารกิจนึงนะ”

“โอ้…”

ในขณะที่ลูบหัวลูกสาวของเขา โจเซฟพลันรำลึกถึงวันเก่า ๆ ในอดีตที่เขาท้อใจปล่อยปละตัวเองขึ้นมาได้ ตอนนั้นลูกสาวของเขาคือคนที่รับเคราะห์จากเสียงซุบซิบพวกนั้นมากที่สุด

“จากวันนี้ไป จะไม่มีใครพูดแบบนั้นอีกแล้วล่ะ” อัศวินชราร่างยักษ์พึมพำ

เจ้าของร้านหลินพูดถูก เพื่อที่เขาจะปกป้องครอบครัวของตัวเองได้ดีกว่านี้ เขาต้องพัฒนาตัวเองก่อน

งั้นเริ่มจากออสวาลด์เลยแล้วกัน…

หลังจากส่งพวกไวลด์กลับไปแล้ว หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าวันนี้คงไม่มีลูกค้าเพิ่มแล้ว และเพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจเข้าสู่สภาวะทำสมาธิแล้วฝึกเวทมนตร์กับวิชาดาบต่อในแดนนิมิต

เขาออกจากกรอบแดนนิมิตพื้นฐานของเขาแล้วยืนในความว่างเปล่าอันไร้จุดสิ้นสุด ความมืดอันไร้ขอบเขตปกคลุมเขาไปพร้อม ๆ กับแดนนิมิตอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่องประกายราวดวงดาวบนท้องฟ้าราตรี

ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะมาฝึกวิชาดาบและทักษะเวทมนตร์ของเขาที่นี่

พื้นฐานของแดนนิมิตของเขาคือบ้านเก่าของเขาเองและเป็นที่ที่เขาใช้เพื่อการวิจัย แดนนิมิตที่เขาตั้งขึ้นต่อมาคือวิหารกลางของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด แต่นั่นเป็นแดนนิมิตชั่วคราวที่มีความไม่เสถียรสูงมาก และมันก็พังทลายไปนานแล้วนับแต่มันถูกครอบลงบนความเป็นจริง

อีเธอร์ส่วนเกินที่เหลือนั้นได้ถูกนำมาใช้ใหม่ในการฝึกวิชาดาบของเขา

ยิ่งกว่านั้น นาน ๆ ครั้งเขายังได้พบและเข้าไปดูความฝันของคนอื่น ๆ ที่นี่ด้วย

วันนี้ก็เหมือนเช่นเคย หลินเจี๋ยวางแผนจะ ‘หา’ ความฝันที่น่าสนใจหลังจากที่เขาฝึกเสร็จ

แต่เมื่อเขาบังเอิญได้มาเจอแดนนิมิตสีเขียวบางแดนเข้า หลินเจี๋ยก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

ภาพของเอลฟ์ผมทองตาสีน้ำเงินสมุทรผู้งดงามในชุดขาวอันสง่างามที่บุกเข้ามาในร้านหนังสือของเขาในค่ำคืนฝนตกพลันฉายเข้ามาในใจ

“โดริส?”