บทที่ 265 พวกท่านมองข้ามีอันใดกันงั้นหรือ
บทที่ 265 พวกท่านมองข้ามีอันใดกันงั้นหรือ
หนานกงหลี “…มิต้องทำเช่นนั้น”
หลังจากหารือเรื่องการแลกเปลี่ยนแล้ว ประมุขน้อยทั้งสามก็แทบอดรนทนไม่ไหวที่จะออกจากต้าเซี่ยพร้อมคนในเผ่า ยามจากไป พวกเขาต่างมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
หนานกงฉีซิวแย้มยิ้ม “เทียบกับข้อตกลงซื้อขาดครั้งเดียว ข้อตกลงระยะยาวดูจะปลอดภัยกว่า”
ในการทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างพึงพอใจมาก เพราะทุกคนได้รับสิ่งที่ต้องการ มิหนำซ้ำเรื่องที่ต้าเซี่ยเป็นฝ่ายได้รับผลประโยชน์ยังทำให้ทั้งราชสำนักตื่นเต้นกันอีกด้วย
หนานกงหลีโบกพัด “วิธีการอื่นสามารถเปิดเผยได้ แต่วิธีการการดับกลิ่นและทำให้ขนสัตว์นุ่มนั้นจำต้องปกปิดไว้ให้มิดชิด”
หนานกงสือเยวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาดูอึมครึมเล็กน้อย
ฮ่องเต้อยู่ในฉลองพระองค์สีดำ ในอ้อมแขนมีเจ้าก้อนแป้งขาวราวหิมะนั่งอยู่อย่างเชื่อฟัง
ร่างเล็ก ๆ ก้มศีรษะลง ดวงตากระจ่างใสของเด็กน้อยดูฟุ้งซ่านอยู่บ้าง และไม่รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ นิ้วเล็ก ๆ ทั้งห้าจึงสางขนสีแดงเพลิงของจิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนตนเองไม่หยุด
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงคนเรียกตัวเอง จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาสับสน
หนานกงสือเยวียนใช้นิ้วบีบจมูกของบุตรสาว น้ำเสียงทุ้มลึกและดึงดูดใจของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่มองไม่เห็น
“คราวนี้ก็เป็นผลงานของเจ้า ต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล”
หากเสี่ยวเป่าไม่ทำเสื้อขนแกะก็คงไม่มีใครเห็นประโยชน์ของมัน หลังจากที่ส่งออกเสื้อขนแกะแล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่สร้างรายได้เท่านั้น ทว่ายังได้ผูกมิตรกับชนเผ่าทุ่งหญ้าอีกสามเผ่าด้วย
นี่ย่อมเป็นผลประโยชน์อย่างมหาศาล
ผู้ใดเล่าจะคิดว่าต้นตอของเรื่องทั้งหมดนี้จะมาจากเด็กหญิงวัยสามขวบ
เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าเล็ก ๆ ก็ยับยู่พลางเอ่ยว่า “เสี่ยวเป่าไม่มีรางวัลที่อยากได้เพคะ”
ตอนนี้เสี่ยวเป่าพอใจกับทุกสิ่งมากแล้ว มีคนที่นางรักและรักนาง ทั้งยังมีเงินมากมายจนใช้ได้ไม่หมด เด็กน้อยรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นสมบูรณ์แบบสุด ๆ ทำให้คิดไม่ออกว่าตนอยากได้สิ่งใดอีก
หนานกงหลีมองหลานสาวด้วยสายตาเกลียดเหล็กที่ไม่เป็นเหล็กกล้า*[1] “เจ้าพอใจกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ไม่เอาน่า ลองนึกถึงชุดงาม ๆ เครื่องประดับหรู ๆ อาหารหรือสุรา… สรรพสิ่งมากมาย เจ้าไม่ต้องการสิ่งใดเลยหรือ”
ทันทีที่พูดจบ หนานกงจ้านก็ทนไม่ไหวจนต้องทุบตีเขา “หุบปาก!”
อย่าสอนเด็กให้เสียนิสัย!
หนานกงหลีน้อยใจ เขาพูดอะไรผิดไปหรือ เหตุใดต้องตีเขาด้วย
หนานกงสือเยวียนวางถ้วยชาในมือลงอย่างไม่เต็มใจ เห็นได้ชัดว่าถ้าหนานกงจ้านลงมือช้าไปอีกนิด ถ้วยชาในมือของเขาจะต้องปลิวออกไปเป็นแน่
“ช่วงนี้เจ้าอยากทำสิ่งใด”
หนานกงสือเยวียนก้มมองบุตรสาวตัวน้อยพลางเอ่ยถาม
เสี่ยวเป่าคิดอยู่สองอึดใจ ก่อนที่ดวงตาของนางจะสว่างวาบ “ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าจะไปที่กรมโยธา!”บราวนี่ออนไลน์
ท่านพ่อ “…”
ท่านอาที่รักทั้งสอง “…”
เหตุใดสิ่งที่เด็กน้อยของพวกเขาต้องการผิดแปลกถึงเพียงนี้
“เจ้าจะไปทำอะไรที่กรมโยธา”
เสี่ยวเป่าทำสีหน้ามีลับลมคมใน “บอกไม่ได้ บอกไม่ได้ ไว้เสี่ยวเป่าทำเสร็จแล้วท่านพ่อจะรู้เอง”
หนานกงหลีถึงกับตั้งตารอ เพราะครั้งสุดท้ายที่เสี่ยวเป่าพูดเช่นนี้ นางก็ทำเหล้าองุ่นและเหล้าลูกพลับให้พวกเขา พวกมันล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า
หนานกงสือเยวียนรับคำ “ได้”
เสี่ยวเป่าแย้มยิ้มสดใสพลางกระดิกเท้าเล็ก ๆ ของตัวเองอย่างมีความสุข
“ท่านพ่อ ถ้าเสี่ยวเป่ากลับมาไม่ทัน เสี่ยวเป่าขอไปนอนจวนพี่ใหญ่ ท่านอาเจ็ด หรือท่านอาสี่ได้หรือไม่”
สีหน้าของหนานกงสือเยวียนพลันแข็งค้าง แม้จะไม่ชัดเจนนัก เพราะแต่ไหนแต่ไรมาใบหน้าของเขาก็ไร้อารมณ์ตลอดอยู่แล้ว ทว่ายามนี้มุมปากกดลงจนดูลุ่มลึก ชัดเจนแล้วว่าเขาไม่มีความสุข
“ไม่”
ภายใต้สีหน้าคาดหวังของท่านอาทั้งสอง ใครบางคนกลับเอ่ยปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด
สีหน้าคาดหวังของหนานกงหลีพังทลายลงในพริบตา ส่วนหนานกงจ้าน แววตาเผยเพียงความรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเท่านั้น
“เซียวเหยาอ๋องนำฎีกาเหล่านี้กลับไปอ่านและเขียนสรุปมาให้ข้าด้วย”
หนานกงหลี “!!!”
อะไรกัน! เหตุใดท่านพี่ถึงทำกับเขาเช่นนี้!!!
ทำไมเขาถึงถูกรังแกอยู่คนเดียวกัน
หนานกงหลีรู้สึกน้อยใจมากจนกลายร่างเป็นสุนัขตัวใหญ่
ฮ่องเต้ผู้ ‘ค่อนข้าง’ เอาแต่ใจไม่ได้อธิบาย “ให้เจ้าทำก็ทำไปสิ เหตุใดเซียวเหยาอ๋องถึงได้มีปัญหามากมายนัก”
หนานกงจ้านถอนแววตาเสียใจน้อย ๆ ของตนกลับไปทันที โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกว่าท่านพี่เหลือบมองมา เขาก็พลันเหยียดตัวยืนตรงยิ่งกว่าเดิม
เสี่ยวเป่าแย้ง “แต่ถ้าเสี่ยวเป่ายุ่งจนลืมเวลาแล้วประตูพระราชวังปิดก่อน เสี่ยวเป่าก็จะกลับเข้ามาไม่ได้นะเพคะ”
หนานกงสือเยวียน “ให้รถม้าของข้าไปรับ”
ก็ลองดูเสียว่ามันผู้ใดจะกล้าหยุดรถม้าของฮ่องเต้
เสี่ยวเป่าหน้ามุ่ย “ก็ได้เพคะ”
เฮ้อ ท่านพ่อติดนางยิ่งนัก นี่ช่างเป็นภาระอันแสนหวาน!
เมื่อราชทูตคนสุดท้ายจากไป ต้าเซี่ยก็เหมือนหวนคืนสู่วันก่อน ๆ คล้ายมีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่ในทีก็เหมือนไม่มี
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดอาจเกี่ยวกับขาขององค์ชายใหญ่
ในตอนนี้ข่าวที่หนานกงฉีซิวสามารถลุกขึ้นยืนได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ซ่อนมันอีกต่อไป อย่างไรตอนนี้ก็ฟื้นฟูเกือบจะสมบูรณ์แล้ว หลังได้รับการตรวจอาการและ ‘เอาใจใส่’ จากเสด็จพ่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้นยืนยันได้ว่าการรักษาไม่มีผลข้างเคียงตกค้าง เขาก็ถูกรบเร้าให้เข้าร่วมการประชุมทันที
หนแรกที่เดินเข้าท้องพระโรงด้วยขาของตนเอง หนานกงฉีซิวก็กลายเป็นจุดสนใจของฝูงชนทันที
ชายหนุ่มที่เดิมเป็นผู้มีอนาคตไกล แม้ในอดีตเคยให้ความรู้สึกเปราะบางยามนั่งอยู่บนรถเข็น แต่ตอนนี้เขาเป็นดั่งเทพเซียนที่จุติลงมาบนโลก ท่ามกลางความเหน็บหนาวของเหมันตฤดู คิ้วของชายหนุ่มยังคงงดงามและอบอุ่น ยามแย้มยิ้มก็คล้ายกับมีแสงทอประกาย เห็นได้ชัดว่าอยู่ใกล้เพียงเอื้อมแต่กลับห่างไกลดุจดวงดารา
“พวกท่านมองข้ามีอันใดกันงั้นหรือ”
สุ้มเสียงดุจหยกก้องกังวานทำให้ทุกคนได้สติ เมื่อครู่คล้ายเห็นภาพองค์ชายใหญ่กำลังจะเสด็จลงจากสวรรค์ก็มิปาน
เพียงได้เห็นองค์ชายใหญ่มีพระพลานามัยแข็งแรงดี ดวงตาของบางคนก็เริ่มกระตือรือร้นเป็นพิเศษ แววตาเหมือนกับมองบุตรเขยในอนาคต
องค์ชายใหญ่เดิมทีก็เป็นถึงคนหนุ่มผู้มากความสามารถ เป็นบุรุษที่สุภาพอ่อนโยน ทั้งตอนนี้ข้อบกพร่องเดียวของเขาก็หายไปแล้ว ตระกูลที่มีบุตรสาวหลานสาวอยู่ในวัยออกเรือน ผู้ใดบ้างจะไม่อยากให้แต่งกับชายหนุ่มเช่นนี้
“พี่ใหญ่ ทางนี้”
เมื่อหนานกงฉีโม่เรียก หนานกงฉีซิวก็เดินเข้าไปหาเขาอย่างแช่มช้าด้วยท่วงท่าสง่างาม
“รู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นจุดสนใจ” มุมปากของหนานกงฉีโม่ยกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่นทอประกายในดวงตาจิ้งจอก
หนานกงฉีซิวเพียงยิ้มน้อย ๆ ก่อนใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของน้องชายเบา ๆ
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ”
องค์ชายสองพระองค์มีพระชนมายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหน้าตาก็โดดเด่นไม่ธรรมดา แม้จะมีนิสัยแตกต่างกัน แต่ล้วนเก่งกาจทั้งคู่ ครั้นได้เห็นพวกเขายืนอยู่ด้วยกันก็นับว่าสบายตายิ่งนัก
พวกขุนนางแอบชำเลืองมอง หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งมาชอบพอบุตรสาวในตระกูล เห็นทีต้องจุดธูปขอบคุณบรรพบุรุษเสียแล้ว!
เมื่อฮ่องเต้เสด็จ ทุกคนก็เลิกคิดเรื่องพวกนี้ไป ก่อนจะหยิบยกประเด็นเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมาพูด ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าในท้องพระโรงวันนี้จะเกิดพายุนองเลือด
ครั้นฝ่าบาทเสด็จมาถึงก็มีรับสั่งปลดตำแหน่งขุนนางหลายคน รวมถึงเจ้ากรมคลังด้วย!
[1] เกลียดเหล็กที่ไม่เป็นเหล็กกล้า หมายถึง ขัดใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจ