บทที่ 197.2 ทายาทตัวจริงตัวปลอม (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 197.2 ทายาทตัวจริงตัวปลอม (2)
ส่วนเฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่พอเห็นโจทย์ก็เข่าแทบทรุด ด้วยความที่สองคนนี้ไม่ได้มีหัวเรื่องกลการเมือง จึงไม่รู้ความหมายแฝงของโจทย์นี้ จึงตีความไปตามความหมายของโจทย์

ด้วยความที่เฝิงหลินเป็นลูกชายคนเดียว มรดกย่อมตกเป็นของเขาอยู่แล้ว!

ส่วนหลินเฉิงเย่ แม้จะเป็นบุตรภรรยาน้อย แต่บิดาของเขาเคยบอกไว้ว่าการสืบทอดมรดกนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องมีเกียรติ ต้องได้เป็นขุนนางจึงจะมีเกียรติ ดังนั้น พวกพี่ชายของเขาจึงไม่มีใครสนใจเรื่องสืบทอดมรดก มุ่งหน้าสอบขุนนางเคอจวี่อย่างตั้งอกตั้งใจแทน

หากเขาสอบจิ้นซื่อไม่ได้ ก็จะกลับไปสืบทอดมรดกของตระกูลเป็นเศรษฐีน้อยผู้ร่ำรวย

เฮ้อ นั่นไม่ใช่เขาเลยสักนิด น่าเศร้านัก

ส่วนเซียวลิ่วหลัง ท่าทีของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อเห็นโจทย์ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความหินของด่านนี้เมื่อเทียบกับสองด่านที่ผ่านมา

เขาหลับตาลง ทำสมาธิราวครึ่งชั่วยาม ละทิ้งความคิดในหัวทั้งหมด

……

เวลาผ่านไป ผู้เข้าสอบเริ่มล้าจนอยากจะเขวี้ยงพู่กันทิ้ง ขณะเดียวกัน ด้านนอกสนามสอบ ร่างซูบผอมของใครคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนทางที่ปูด้วยหินอ่อน ชายตาเหม่อลอยไปที่กำแพงสนามสอบ

ครึ่งชั่วยามผ่านไปหลังจากได้รับโจทย์ ก็เริ่มกระจายออกไปยังภายนอก เพียงแต่ยังไม่มีใครส่งคำตอบออกไปได้

ชายร่างซูบผอมยืนพิงข้างกำแพง มือของเขากำกระดาษใบหนึ่งไว้แน่น ซึ่งก็คือโจทย์ของการสอบในด่านนี้

ดวงตาของเขาเริ่มส่องแสงวาบ

เขารู้โจทย์นี้

เขาทำโจทย์นี้ได้!

เขารู้ว่าจะต้องเขียนอย่างไร ในหัวของเขามีคำตอบแล้ว!

เขากำกระดาษแน่น เนื้อตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

“ใครน่ะ”

ปรากฏทหารยามเจอะเข้าให้พอดี

เขาจึงวิ่งหนี!

เพื่อไม่ให้กระทบกับการสอบ การขี่ม้าจึงเป็นสิ่งต้องห้าม พวกทหารจึงต้องเดินเท้าเปล่า แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะจับกุมชายร่างซูบผอมคนนั้นได้

“เจ้าเองรึ” ทหารกดร่างของเขาไว้กับพื้น ก่อนจะร้องอ๋อว่าเขาคือใคร

หลิ่วอีเซิงนี่เอง

พวกเขาไม่รู้สึกแปลกใจอย่างใด เพราะทุกๆ การสอบทั้งขนาดเล็กและใหญ่ จะต้องเจอกับคนประหลาดๆ ที่ชอบมาด้อมๆ มองๆ อยู่รอบๆ สนามสอบทุกครั้ง

“เข้าสอบไม่ได้ แล้วจะมาทำไม” ทหารยามเอ่ยถาม

“ข้าแค่เดินผ่านมาเท่านั้น” หลิ่วอีเซิงตอบด้วยน้ำเสียงอิดออดเพราะกำลังโดนกดอยู่

“เกิดอะไรขึ้น” นายทหารอีกคนเดินเข้ามาถาม

“หลิ่วอีเซิงน่ะ” ทหารคนแรกเอ่ยขึ้น ตอนแรกก็ว่าจะปล่อยไป แต่เห็นว่าทหารอีกคนคงไม่อยากปล่อยให้หนีไปง่ายๆ

ทหารอีกคนย่อเข่าลง แล้วหยิบกระดาษที่อยู่ในกำมือของหลิ่วอีเซิง ก็พบว่าบนนั้นคือโจทย์ข้อสอบในวันนี้

“คิดจะทำอะไรน่ะ บังอาจลอบขโมยข้อสอบชุนเหว่ยงั้นรึ สมคบคิดโกงข้อสอบอย่างนั้นรึ”

ทหารทุกคนรู้ดีเรื่องข้อสอบรั่ว เพียงแต่อยากจะเล่นงานหลิ่วอีเซิงเท่านั้น หลิ่วอีเซิงจึงถูกลากเข้าไปยังตรอกด้านข้าง

นายทหารรัวหมัดใส่หลิ่วอีเซิงจนใบหน้าเลือดอาบและตัวสั่น

“พอแล้วน่า! นี่สอบชุนเหว่ยนะ จะเอาให้ถึงตายเลยรึไง!” ทหารยามคนแรกเริ่มทนดูไม่ไหวเลยเข้าไปห้าม แล้วแยกย้ายกันไปเฝ้ายามกันต่อตามเดิม

หิมะเริ่มปรอยลงมาอีกครั้ง

หลิ่วอีเซิงนั่งจ๋องอยู่บนพื้นเย็นๆ ตามองขึ้นไปบนฟ้าที่ขมุกขมัว

เขามองไม่เห็นโอกาสอะไรอีกแล้ว

เขาอยากตาย

แต่เขารู้ดีว่า คนพวกนั้นคงไม่อยากให้เขาตาย

พวกมันอยากให้เขารับกรรมที่ไท่จื่อพิการกับตระกูลหลิ่วเคยก่อไว้

เกล็ดหิมะเย็นๆ ตกลงมาบนแผลของเขา

ถ้าแข็งตายไปเลยก็คงดีไม่น้อย

เขาหลับตาลง หัวเราะเบาๆ

จู่ๆ มีอะไรบางอย่างมาบดบังแสง หิมะที่ตกบนตัวเขาได้หายไป เขาลืมตาขึ้น

ใครคนหนึ่งกางร่มให้เขา ผ้าบนร่มนั้นมีลวดลายดอกไม้และลูกไก่ แต่ด้ามร่มนั้นกลับถูกสลักอย่างวิจิตรบรรจง

ใต้ร่มนั้น ปรากฏร่างของหญิงสาว

พวงแก้มด้านขวามีรอยปานแดง ให้ความรู้สึกเหมือนลูกพลับที่เติบโตในฤดูหนาว

กู้เจียวย่อตัวลง วางร่มไว้ข้างๆ

เขาพยายามยื่นมือห้าม

“อย่าขยับ” กู้เจียวเอ่ย

หลิ่วอีเซิง…จึงนิ่งไป

กู้เจียวคว้ากล่องยาออกมา จากนั้นหยิบไม้กดลิ้นออกมาแล้วยัดเข้าปากคนตรงหน้า “กัดไว้ อาจจะเจ็บนิดนึงนะ”

หลิ่วอีเซิงกัดไม้กดลิ้นไว้แน่น

จากนั้นกู้เจียวทำการจัดกระดูกแขนขวาของเขาจนกลับเข้าที

ต่อมาคือบริเวณต้นขา

ซึ่งสภาพค่อนข้างสาหัส

กู้เจียววางมือลงบนขาข้างซ้ายของเขา แล้วยกขึ้น “ข้าจะนับถึงสาม แล้วจะจัดกระดูกให้เจ้า ถ้าพร้อมแล้ว ให้พยักหน้านะ”

หลิ่วอีเซิงเหงื่อตกพร้อมกับพยักหน้าให้

ท่านี้ช่างน่าอายยิ่งนัก

กู้เจียว “หนึ่ง…”

กรอบ!

เข้าที่แล้ว

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนหลิ่วอีเซิงยังไม่ทันรู้สึกเจ็บ

แต่ก็เจ็บจริงๆ นั่นแหละ เพราะตอนนี้น้ำตาของเขาไหลไม่หยุดเลย

แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้

จากนั้น กู้เจียวหยิบเครื่องฟังเสียงหัวใจขึ้นมา พอนาบเข้าที่บริเวณซี่โครง หลิ่วอี้เซิงพลันร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บปวด

กู้เจียวชักมือกลับ ถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก แล้วยื่นมือเข้าไปข้างใน

หลิ่วอีเซิงถึงกับสะดุ้ง “เจ้าทำอะไรน่ะ”

“ชู่ว อย่าขยับ” กู้เจียวใช้มือคลำบริเวณซีโครงอย่างระมัดระวัง “ดูเหมือนซี่โครงจะหัก แต่เคลื่อนไม่มาก รักษาได้”

จากนั้นกู้เจียวดึงมือกลับ

หลิ่วอีเซิงรู้สึกเขินเล็กน้อย “หมอหญิงเป็นแบบนี้ทุกคน…”

“ข้าเป็นหมอ” กู้เจียวรีบแย้ง

หลิ่วอีเซิงไม่พูดอะไรต่อ

กู้เจียวลุกขึ้น “เจ้ารอข้าที่นี่นะ ข้าจะไปเรียกรถม้ามารับ”

“ไม่ต้อง” เขาเอ่ยรั้งนาง

“หือ” กู้เจียวมองเขาด้วยสายตาประหลาด

“ข้าบอกว่าไม่ต้องอย่างไรเล่า” หลิ่วอีเซิงไม่กล้าสบตากู้เจียว

เขาก้มลง กำหมัดแน่น ก่อนจะเงยหน้าไปมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าเจ้าคิดว่าข้าจะตอบแทนบุญคุณเจ้าละก็ เจ้าคิดผิดแล้วละ เจ้าควรจะช่วยเหลือพวกคนที่อยู่ในสนามสอบนั่นต่างหาก ไม่ใช่หนูสกปรกข้างถนนอย่างข้า!”

กู้เจียวถอนหายใจ “นี่เจ้ายังไม่เชื่อมั่นในตัวเองสินะ”

หลิ่วอีเซิงหัวเราะ “เจ้ามองผิดคนแล้วละ ข้ามันเป็นแค่เดนคนที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าสอบเคอจวี่!”

กู้เจียวร้องอ๋อ “เจ้าอยากสอบเคอจวี่รึ”

หลิ่วอีเซิงเบือนหน้าหนี “ไม่อยาก เป็นไปไม่ได้หรอก”

กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก”

“งั้นรึ” หลิ่วอีเซิงแสยะยิ้ม จู่ๆ เกิดลมหนาวพัดร่มกู้เจียวกลิ้งไปมา หลิ่วอีเซิงจ้องไปที่ลายลูกไก่และดอกไม้เล็กๆ บนร่มนั้นอย่างอดไม่ได้

จู่ๆ หลิ่วอีเซิงก็เกิดหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนั่นแฝงไปด้วยท่าทีประชต “เจ้าคงเคยได้ยินเรื่องปิ่นดอกไม้ของจิ้นซื่อสินะ หากเจ้าเป็นผู้ได้ปิ่นดอกไม้นั้นมา ข้าจะยอมเชื่อคำพูดของเจ้าที่บอกว่าบนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จำไว้ ไม่ใช่แค่ดอกเดียวนะ ข้าหมายถึงสามดอกทั้งหมด”

“อย่าหาว่าข้าไม่เตือนละ ขนาดระดับไท่จื่อเฟยยังเคยได้แค่สองดอกเท่านั้น”