รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเก้าเดือนแปด หนานฉู่ร่วมเป็นพันธมิตรกับต้ายง ฉีอ๋องเป็นตัวแทนจักรพรรดิต้ายงกรีดเลือดสาบานเป็นพันธมิตรกับเจ้าแคว้น เต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดเฉพาะยามสงคราม ออกเดินทัพตามราชโองการ ก่อนออกเดินทาง จ้าวเจวี๋ยสั่งให้เจียงเจ๋อรับตำแหน่งเสนาธิการในกองทัพ รับหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการทหาร ยามนั้นเจ้าแคว้นกังวลว่า เต๋อชินอ๋องจะกุมอำนาจในมือมากเกินไป จึงรับสั่งให้หวังไห่ติดตามทัพในตำแหน่งผู้ตรวจการทันที
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
จ้าวเจวี๋ยผู้สมควรตายนั่นให้ข้าเข้าร่วมกองทัพจริงๆ เดิมทีข้าอยากวิ่งเต้นให้ผู้อื่นช่วยเหลือ แต่บัดนี้จ้าวเจวี๋ยกลายเป็นผู้บัญชาการสูงสุดที่อยู่เหนือคนนับหมื่นอยู่ใต้คนเพียงคนเดียวแล้ว ดังนั้นข้าจึงได้แต่ส่งมอบงานในสำนักฮั่นหลินทั้งน้ำตา เข้าร่วมกองทัพเดินทางสู่แคว้นสู่ แต่สิ่งที่ปลอบประโลมข้าได้ดีก็คือเสี่ยวซุ่นจื่อร่วมออกเดินทางมากับกองทัพด้วย
ก่อนออกเดินทาง เจ้าแคว้นส่งหวังไห่ซึ่งเป็นขันทีผู้ดูแลฝ่ายตรวจฎีกามาเป็นผู้ตรวจตรากองทัพ แม้การใช้ขันทีในราชสำนักมาตรวจสอบกองทัพจะแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่พังพินาศจากภายใน ทว่าเมื่อคิดว่าเสี่ยวซุ่นจื่อติดตามหวังไห่มาด้วย ข้ายังอดขอบคุณสวรรค์ที่เมตตามิได้ มีเสี่ยวซุ่นจื่อคอยคุ้มครองแล้ว ข้าคงไม่พบเจออันตรายมากเกินไปกระมัง ทางที่ดีข้าควรหาองครักษ์มาคุ้มครองเพิ่มอีกหลายคน ข้าพูดเรื่องนี้กับเสี่ยวซุ่นจื่อไว้แล้ว รอให้ข้าเจอตัวเลือกดีๆ เสียก่อน เสี่ยวซุ่นจื่อจะช่วยข้าประเมินวรยุทธ์ของพวกเขา เพื่อเลี่ยงไม่ให้ข้าเลือกเอาพวกขี้เมาหยำเปมาเป็นองครักษ์
การโจมตีแคว้นสู่ในคราวนี้ หนานฉู่แบ่งทหารออกเป็นสองทาง หนึ่งคือทางน้ำ โดยมีเจิ้นหย่วนโหวลู่ซิ่นเป็นผู้นำทัพเรือหนึ่งหมื่น ออกเดินทางจากช่องแคบไป๋ตี้อู ล่องเรือทวนน้ำขึ้นไปทางตอนบน อีกทางหนึ่งมีเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ย ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดนำทัพห้าหมื่นเดินทัพทางบก ฝ่าทะยานไปตามเส้นทางปาโจว ทั้งสองทัพนัดพบกันที่เมืองลั่ว
ข้าเป็นเสนาธิการใต้กองธงของเต๋อชินอ๋อง ย่อมต้องเดินทางติดตามทัพใหญ่ แต่ความคับข้องหมองใจของข้ายากขจัดคลาย ระหว่างเดินทัพจึงเอาแต่หลบอยู่บนรถม้าของหวังไห่ผู้ตรวจตราทัพ หวังไห่เป็นคนประเภทเดียวกับผู้ดูแลหวังที่อยู่ในคลังตำราลับหลังห้องทรงพระอักษร ดังนั้นจึงดีต่อข้าไม่น้อย ระหว่างทางยังเล่าให้ข้าฟังว่า ตั้งแต่ผู้ดูแลหวังกินยาที่ข้ามอบให้ก็สุขภาพดีขึ้นมาก ข้าจึงรับปากว่าจะปรุงยาอย่างสองอย่างให้เขาอย่างกระตือรือร้น
เสี่ยวซุ่นจื่อคอยปรนนิบัติรับใช้พวกเราสองคนอยู่ข้างๆ อย่างคล่องแคล่ว หวังไห่มองเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างชอบอกชอบใจ กล่าวว่า “เด็กคนนี้เป็นบ่าวที่ท่านจ้วงหยวนเคยช่วยไว้กระมัง เสี่ยวซุ่นจื่อผู้นี้ อะไรล้วนดีไปหมด มือเท้าคล่องแคล่ว ขยันขันแข็ง ฝีปากคมกริบ ช่างพูดช่างเจรจา ทั้งยังรู้อักษร รู้หนังสือ มีที่ไม่ดีเพียงจุดเดียวก็คือไม่รู้จักรักความก้าวหน้าแม้เพียงนิด บ่าวไพร่คนอื่น เพื่อตำแหน่งหน้าที่การงานยังแย่งชิงกันจนโลหิตหลั่งไหลเป็นสายธาร อยากห้อมล้อมอยู่ข้างพระวรกายท่านเจ้าแคว้นให้ได้ มีเพียงเจ้าเด็กนี่ที่ยอมทิ้งตำแหน่งฐานะอันดี ติดตามมาลำบากในกองทัพกับพวกเรา”
ข้าอดมองเสี่ยวซุ่นจื่อไม่ได้ พานให้รู้สึกผิดอยู่บ้าง เจ้าเด็กนี่ล้วนคิดทำเพื่อข้าทั้งสิ้น เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างชาญฉลาด “กงกงเอาที่ไหนมาพูดกันขอรับ ท่านและหวังเหล่ากงกงเป็นดั่งญาติผู้ใหญ่ของบ่าว ปกติเห็นบ่าวยังตกรางวัลให้บ่อยๆ คราวนี้ท่านได้รับราชโองการจากท่านเจ้าแคว้น ให้ติดตามมาเป็นผู้ตรวจตรากองทัพ เมื่อได้รับชัยจึงค่อยกลับราชสำนัก นี่นับเป็นผลงานใหญ่ บ่าวติดตามท่านเช่นนี้ ย่อมได้ร่วมอาบบารมีของท่านไปด้วย มิเช่นนั้น เหตุใดผู้อื่นจึงกล่าวกันว่า ลาภวาสนาล้วนได้มาจากอันตรายเล่า”
หวังไห่ยิ้มจนตาหยี ขณะที่พวกเราสามคนกำลังเสวนากันอย่างสบายอกสบายใจก็มีทหารส่งสารนายหนึ่งวิ่งมาหน้ารถพวกเรา กล่าวเสียงดังหนักแน่นว่า “ใต้เท้าเจียงขอรับ องค์ชายเรียกท่านไปหารือ”
ข้าลงรถอย่างอับจนหนทาง รับบังเหียนต่อจากมือองครักษ์จากราชสำนักที่หวังไห่พามาด้วย ควบม้าทะยานไปเบื้องหน้าอย่างทุลักทุเล ฝีมือการขี่ม้าของข้าไม่ค่อยดีนัก เพิ่งถูกยัดเยียดให้เรียนอย่างเร่งด่วนเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงข้างจ้าวเจวี๋ยที่กำลังหยุดม้ารอข้าอยู่ ข้าที่อยู่บนหลังม้าประสานหมัดทักทายตามมารยาท “องค์ชาย กระหม่อมมาตามรับสั่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเจวี๋ยมองดูสภาพน่าอนาถของข้า กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ใต้เท้าเจียง ท่านต้องเรียนขี่ม้าให้มากเสียหน่อย มิเช่นนั้นคงยากจะติดตามกองทัพ”
ข้าวแทบกัดฟันชักสีหน้า ข้าเต็มใจติดตามกองทัพมาหรือไร แต่ผู้อื่นอยู่สูง ตนอยู่ต่ำ จำต้องก้มหน้ารับ ทำได้เพียงตอบไปอย่างนอบน้อม “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา ไม่ทราบทรงว่ามีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้ เชิญองค์ชายบัญชามาเถิด”
จ้าวเจวี๋ยชักม้าไปเบื้องหน้าอย่างเนิบช้า เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ข้าติดตามไปด้วย ข้ากระตุกม้าควบตามไปอย่างทุลักทุเล พวกเราควบม้าเคียงบ่ากันอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง จ้าวเจวี๋ยจึงค่อยเอ่ยปาก “ใต้เท้าเจียงยังคิดตำหนิข้าอยู่หรือ”
ข้าฉีกยิ้มเพียงปาก ดวงตาไม่ยิ้มด้วย “กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมกินเงินเดือนของหนานฉู่ จะกล้าขัดขืนการแต่งตั้งของราชสำนักได้อย่างไร”
จ้าวเจวี๋ยยิ้มเจื่อน “มิใช่ว่าข้าอยากทำให้ใต้เท้าลำบากใจ เพียงแต่การโจมตีแคว้นสู่คราวนี้ พวกเราจำเป็นต้องคว้าผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องรักษากำลังของตนให้ดี การเดินทัพทำสงครามเป็นหน้าที่ของอ๋องเช่นข้า ย่อมมิกล้าทำให้ลำบากไปถึงท่าน เพียงแต่หลังสยบสู่แล้ว พวกเราจำเป็นต้องหารือกับต้ายงว่าจะแบ่งสินสงครามกันเช่นไร ถึงตอนนั้นหากไม่มีอัจฉริยบุคคลที่กระจ่างแจ้งในสถานการณ์อันแท้จริงระหว่างสองแคว้น ทั้งยังฉลาดเฉลียวมากไหวพริบเช่นใต้เท้าเจียง เกรงว่าพวกเราคงเสียเปรียบหนัก ดังนั้นจึงทำได้เพียงสร้างความลำบากให้ใต้เท้าเจียงแล้ว”
ข้าคิดอย่างขุ่นเคืองว่า ‘เพียงแบ่งของที่ริบมาได้หลังปล้นสะดมผู้อื่นจนสำเร็จแล้วเท่านั้น รอจนพวกท่านชนะก่อนค่อยให้ข้าตามไปไม่ได้หรือไร’
คล้ายจ้าวเจวี๋ยมองทะลุความคิดของข้าจึงเอ่ยขึ้นว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเห็นว่าท่านมากปัญญาเพียงนี้ ข้าจึงอยากฟังคำแนะนำสั่งสอนทุกวัน ตอนนี้แคว้นเราอยู่ในสถานการณ์อันตราย หวังว่าใต้เท้าเจียงจะยินดีสิ้นเปลืองความคิดไปกับงานทหารเสียหน่อย ร่วมออกแรงเพื่อแว่นแคว้นของพวกเรา”
เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเจวี๋ย หลังไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ข้าก็คิดว่ามีเหตุผล ในเมื่อข้าอยู่ในกองทัพแล้ว มิสู้ถือโอกาสนี้คลี่คลายกิจทหารเสียหน่อยจะเป็นไร เมื่อคิดได้เช่นนี้ข้าจึงค้อมตัว แสดงถึงการยอมรับคำแนะนำของเขา
จ้าวเจวี๋ยยิ้มบาง กระตุกบังเหียนเร่งความเร็วม้า ม้าที่ข้าขี่คล้ายอยากทะยานตามไปถึงกับขยับตัวอย่างอดรนทนไม่ไหว ทำเอาข้าตกใจจนเอนซ้ายเอนขวา โชคดีที่องครักษ์คนสนิทของจ้าวเจวี๋ยที่ติดตามอยู่ด้านข้างพยุงข้าไว้ทัน ข้าจึงหันไปขอบคุณด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไปถึงหู สาบานกับตัวเองว่าจะเรียนขี่ม้าให้ดี
ข้าวางพู่กันในมือลงก่อนนวดไหล่ตนเองเบาๆ หลังจากตั้งค่าย ข้าก็เริ่มเข้ามาจัดการกิจทหารเหล่านี้ นับแต่ได้พูดคุยกับจ้าวเจวี๋ย ข้าก็เริ่มดำเนินกิจทหารต่างๆ แล้ว แรกเริ่มยังจัดการไปอย่างทุลักทุเล จวบจนตอนนี้จัดการได้อย่างคล่องแคล่วไหลรื่นแล้ว ข้าใช้เวลาไม่นานจัดการเรื่องจำพวกการจัดค่าย การจัดทัพ การลงโทษและตกรางวัลแก่ทหาร แน่นอนว่าส่วนสำคัญที่สุดคือการจัดการเอกสารและเรียบเรียงข่าวกรอง
กิจทหารเหล่านี้ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ได้ผ่อนคลายไปกว่างานที่สำนักฮั่นหลินของข้าเลย ผู้ที่ได้รับความสำคัญสูงสุดในหมู่เสนาธิการของจ้าวเจวี๋ยคือหรงเยวียน บัณฑิตอาภรณ์ดำซึ่งติดตามเขาอยู่ตลอด คนผู้นี้ร่วมติดตามให้คำปรึกษาอยู่ข้างกายจ้าวเจวี๋ยเสมอ ส่วนเรื่องหยุมหยิมเช่นกิจทหารเหล่านี้ก็โยนให้ผู้อื่นจัดการ
การเข้าร่วมของข้าลดภาระพวกเขาได้มาก ข้าไม่ได้คลุกคลีอยู่กับวิธีจัดการเอกสารส่วนใหญ่ของพวกเขา แต่อาศัยที่ข้ามีความจำเป็นเลิศและมีความสามารถในการวิเคราะห์แยกแยะอันเฉียบแหลม ไม่นานก็กลายเป็นผู้โดดเด่นในหมู่เสนาธิการ โดยเฉพาะงานวิเคราะห์ข่าวกรอง เดิมทีพวกเขาให้ข้าลองทดสอบดูเท่านั้น ไม่คิดว่าที่แท้จุดแข็งของข้าก็คือการไตร่ตรองเสาะหาข้อเท็จจริงจากคำพูดเพียงไม่กี่คำ โดยไม่จำเป็นต้องใช้พู่กันและหมึกในการจดบันทึก ไม่ว่าจะเป็นข่าวกรองยิบย่อยเพียงใด ขอเพียงข้าอ่านผ่านตารอบหนึ่งก็แยกแยะความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงภายในได้อย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ดังนั้นภายหลังเหล่าเสนาธิการจึงยกหน้าที่วิเคราะห์ข่าวกรองให้ข้าเสียเลย ให้ข้าคอยจัดการเอกสารให้เรียบร้อยแล้วนำไปให้จ้าวเจวี๋ยอ่าน จนกระทั่งตอนนี้ นอกจากหรงเยวียนแล้ว ก็มีข้าที่โดดเด่นที่สุด ข้าจึงกลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญข้างกายจ้าวเจวี๋ยอย่างแท้จริง
ข้ามองดูท้องฟ้าพบว่าเป็นเวลากลางดึกแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบเดินทางต่อ ข้ารวบรวมเอกสารข่าวกรองที่จัดการเรียบร้อยแล้วให้ดี เตรียมนำไปส่งให้ท่านหรง ยามนั้นข้ารู้สึกกระหายน้ำอยู่บ้าง จึงหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะเล็กๆ ขึ้นมาตามสะดวก แต่มันกลับว่างเปล่า ข้าทำเพียงส่ายหน้ายิ้มขื่น
ยามนี้เอง นอกกระโจมมีเสียงไอดังแว่วมาเบาๆ จากนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อจึงเดินเข้ามา ถือกล่องอาหารมาด้วยกล่องหนึ่ง กล่าวเสียงเรียบว่า “ใต้เท้าเจียง ผู้ตรวจการหวังรู้ว่าท่านยุ่งอยู่กับกิจทหารจึงไหว้วานให้บ่าวนำอาหารค่ำมาส่ง ทั้งยังให้ขอบคุณเรื่องยาที่ท่านมอบให้เขาเมื่อวานด้วยขอรับ”
วิธีพูดของเสี่ยวซุ่นจื่อทำให้ข้ารู้ว่าด้านนอกมีคนอยู่ จึงได้แต่ยิ้มตอบ “ขอบคุณผู้ตรวจการหวังแทนข้าด้วย ความจริงท่านผู้ตรวจการเพียงคุ้นชินกับชีวิตสุขสบายเท่านั้น หลายวันนี้มีชีวิตยากลำบากทั้งยังพักผ่อนไม่ดี จึงทำให้ร่างกายรับไม่ไหว ยาของข้าเพียงทำให้ท่านผู้ตรวจการหลับสบายขึ้น ช่วยให้ฟื้นฟูพละกำลังเร็วขึ้นเล็กน้อย”
เสี่ยวซุ่นจื่อวางของไว้บนโต๊ะ “ใต้เท้า กินตอนร้อนๆ นะขอรับ”
ข้าส่ายหน้าพูด “ประเดี๋ยวข้าจะนำเอกสารไปส่งก่อน เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทัพต่อ”
เสี่ยวซุ่นจื่อยัดกระดาษแผ่นเล็กๆ ใส่มือข้า จากนั้นจึงถอยออกไปด้วยท่าทีมากมารยาท
ข้าคลี่กระดาษออกดู ด้านบนมีอักษรตัวเล็กๆ เขียนไว้อย่างงดงามแถวหนึ่ง “ในทัพไปมาไม่สะดวก ข้างกายจ้าวเจวี๋ยมียอดฝีมือมาก หรงเยวียนคล้ายริษยาท่าน วันนี้พูดให้ร้ายท่านต่อจ้าวเจวี๋ย กล่าวว่าท่านและฉีอ๋องสนิทสนมแน่นแฟ้น เกรงว่าจะสมคบกัน เพื่อความปลอดภัย พยายามอย่าให้ใต้เท้าเข้าใกล้กิจสำคัญทางการทหาร จ้าวเจวี๋ยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง”
ข้าหัวเราะเบาๆ เรื่องเช่นนี้มักยากแก้ไข ข้าเข้าร่วมกองทัพมากะทันหัน มิแปลกใจที่หรงเยวียนจะหวาดระแวง แต่หากเขาพูดให้ร้ายข้าสำเร็จก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องได้รับความสำคัญจากเต๋อชินอ๋องให้ได้เสียหน่อย
ข้าเดินออกไปจากกระโจม บอกให้ทหารที่คอยฟังคำสั่งอยู่ด้านนอกไปกระโจมที่หรงเยวียนใช้จัดการกิจทหารเป็นเพื่อนข้า ข้านำเอกสารไปมอบให้เขา เขารับไว้ ทั้งยังกล่าวชมเชยข้าอีกหลายประโยค เต็มไปด้วยท่าทีชื่นชมและเชื่อมั่นในตัวข้า คนเราไม่อาจมองเพียงภายนอกจริงๆ ข้าถอนใจอย่างปลงอนิจจังพลางเดินออกไปจากกระโจม ยามนี้แสงจันทร์นอกกระโจมระยิบระยับพร่างพราวดุจน้ำค้างแข็งแล้ว
หลังจากเดินทัพไปกว่าครึ่งเดือน พวกเราก็มาถึงชายแดนแคว้นสู่ การปิดล้อมโจมตีเป็นไปอย่างราบรื่น อีกสิบวันก็จะถึงปาจวิ้นแล้ว แรกเริ่มเดิมที ข้ายังนึกฉงนว่าเหตุใดกองกำลังป้องกันของแคว้นสู่จึงอ่อนแอเพียงนี้
ภายหลังถามผู้รู้ จึงทราบว่าแคว้นสู่มีทหารไม่พอ ดังนั้นนอกจากด่านที่สำคัญและอันตรายแล้วจึงไม่ได้ส่งกองทหารไปป้องกันที่อื่นอีก สำหรับปาจวิ้น นี่เป็นด่านแรกที่พวกเราต้องเผชิญ เมื่อผ่านปาจวิ้นไปได้ เบื้องหน้าล้วนเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย มีด่านรักษาการณ์ต่อเนื่องอีกยี่สิบด่าน ล้วนอยู่ในตำแหน่งป้องกันง่ายโจมตียากทั้งสิ้น สงครามใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว
ตอนต่อไป