ตอนที่ 241 ความกดดันจากเพื่อนสาว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 241 ความกดดันจากเพื่อนสาว

ช่วงสองทุ่มเป็นเวลาที่แผงขายของในตลาดกลางคืนจะมีลูกค้าเนืองแน่น

เสี่ยวม่านขยับเข้ามาใกล้ โน้มตัวมาชนไหล่ของหลินม่ายแล้วจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง “นี่ ผู้ชายคนนั้นกำลังมองเธออยู่น่ะ”

หลินม่ายมองตามสายตาของเพื่อนไปก็พบว่าฟางจั๋วหรานกำลังเดินตรงมาทางนี้พร้อมกล่องอาหารในมือ

เจ้าของร้านสาวผละจากการขายของ ขอตัวจากลูกค้าแล้ววิ่งไปหาร่างสูง เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “กลับมาแล้วเหรอคะ การผ่าตัดเป็นยังไงบ้าง”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดี” ฟางจั๋วหรานตอบพร้อมยื่นกล่องอาหารในมือให้เธอ “นี่เป็ดอบซอสเจ้าดังของหูหนาน ผมเห็นแล้วจำได้ว่าคุณชอบกินของเผ็ด ๆ  ก็เลยซื้อมาฝากคุณโดยเฉพาะเลย”

หลินม่ายสังเกตสภาพแฟนหนุ่มที่ไม่ได้เจอกันมาหลายวัน ดวงตาของเขาแดงช้ำ หนวดเคราขึ้นตอเขียว

จึงเอ่ยอย่างเป็นห่วง “กลับมาเหนื่อย ๆ ยังเดินเอาของกินมาให้ฉันอีก กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”

“ไม่เป็นไร” ฟางจั๋วหรานเดินไปที่ร้านของหลินม่าย แล้วนั่งลงตรงที่นั่งขายของ “พรุ่งนี้ผมหยุดหนึ่งวัน”

“ได้หยุดแค่วันเดียวน่ะนะ?” หลินม่ายพึมพำขึ้นอย่างไม่พอใจ “คุณทำงานมาหนักขนาดนี้ หัวหน้ายังให้วันหยุดแค่วันเดียว มันจะเกินไปหน่อยไหม?”

“เปล่า ๆ เขาให้ผมหยุดหนึ่งอาทิตย์ แต่จะอยู่ช่วยคุณเตรียมสอบหกวันไง”

“อีกสามวันก็สอบแล้ว ทำไมต้องอยู่ดูตั้งหกวันด้วย” หลินม่ายเปิดกล่องอาหารกลางวัน หยิบเป็ดออกมาหนึ่งชิ้นแล้วเริ่มแทะกิน

หนังของเป็ดกรอบอร่อย ชุ่มซอสเข้มข้น รสชาติจัดจ้านถูกใจจนหยุดกินไม่ได้

“ที่เหลืออีกสามวันผมว่าจะพาคุณกับโต้วโต้วไปเที่ยวฉลองสอบเสร็จ เราสัญญากับโต้วโต้วเอาไว้นี่ว่าจะไปถ่ายรูปด้วยกันสามคน ได้เวลาทำตามสัญญาแล้ว”

หลินม่ายที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทก็ยิ้มขึ้นมาอย่างละอายใจเล็กน้อย

เมื่อเห็นลูกค้าเห็นว่าแม่ค้าสาวกำลังสนใจอยู่กับการกินและพูดคุยอยู่ ลูกค้าคนหนึ่งจึงบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ “แม่ค้า ยังขายของอยู่ไหม?”

หลินม่ายรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว ปิดกล่องอาหารและเตรียมจะลุกขึ้น

แต่ร่างสูงข้างกายกลับลุกขึ้นก่อน “กินไปเถอะ เดี๋ยวผมช่วยเอง” ไม่ทันที่เจ้าของร้านตัวจริงได้ตอบ เขาก็เดินไปทักทายลูกค้า

หลินม่ายเห็นแบบนั้นเลยเปิดกล่องอาหารขึ้นอีกครั้งและเพลิดเพลินกับมันต่อไป

เธอรู้ว่าคุณหมอฟางไม่สันทัดของเผ็ด ๆ หญิงสาวจึงส่งหนังเป็ดเผ็ดจัดจ้านนั้นเข้าปากเรื่อย ๆ อย่างพอใจ ทิ้งสายตาไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังตั้งใจคุยกับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเฉินเฟิงมาถึงที่ตลาดกลางคืนเพื่อดูความเรียบร้อยเหมือนทุกวัน เขาก็ได้เห็นว่าวันนี้แฟนหนุ่มของหลินม่ายอยู่ที่นี่ ทั้งคู่ดูเข้ากันได้ดี พูดคุยกันสนุกสนาน ความรู้สึกไม่พอใจก็ตีขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่ก็ทำเพียงแค่หันหลังกลับไป

ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ลูกพี่ ไม่ได้จะไปถนนเป่าเฉิงหรอกเหรอครับ ไม่ใช่ทางนี้…”

ถนนเป่าเฉิงเองก็มีตลาดกลางคืนด้วยเช่นกัน แต่มักจะเป็นแผงขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องเสียง

เฉินเฟิงเหลือบมองกลับมา “อะไร จะมาสั่งสอนฉันเหรอ?”

ลูกน้องคนนั้นตกใจมาก รีบหุบปากฉับ ไม่กล้าพูดอะไรต่อแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ ลูกพี่ก็หัวเสียขึ้นมาก็ตาม

เหลียนเฉียวมองชายที่หล่อนชอบมาตั้งแต่เด็กด้วยด้วยความรู้สึกหลากหลายและเม้มปากแน่น

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกำลังกินอยู่ เสี่ยวม่านก็ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ “กินอะไรอยู่น่ะ เป็ดอบซอส น่ากินจัง”

ว่าแล้วก็หยิบเป็ดชิ้นหนึ่งขึ้นมาชิมแล้วเริ่มชื่นชมมัน “อื้ม เผ็ด แต่อร่อยมากเลย”

แม้ว่าสองสาวจะชอบกินของเผ็ดแต่ก็ใช่ว่าจะกินได้มากขนาดนั้น กินไปได้ไม่เท่าไรก็เผ็ดจนเริ่มเหงื่อตก

ฟางจั๋วหรานเลยต้องซื้อเครื่องดื่มเย็น ๆ มาคลายความเผ็ดให้พวกเธอ

ลูกค้าสาวคนหนึ่งที่กำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าก็เริ่มบ่นขึ้นมา “นี่ อยากจะขายของจริง ๆ ไหมเนี่ย จะไปไหนอีกแล้ว ยังเลือกของไม่เสร็จเลย”

พ่อค้ากิตติมศักดิ์แจกรอยยิ้มอบอุ่นให้เธอ “รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมรีบกลับมาดูนะ”

หลินม่ายเห็นแบบนั้นก็รีบส่งกล่องอาหารในมือให้เสี่ยวม่าน เดินกลับไปที่แผงแล้วพูดอย่างกระตือรือร้น “สนใจสินค้าชิ้นไหนดีคะ”

ลูกค้าสาวคนนั้นหันมาทางเธอ “ใครบอกว่าจะซื้อกับเธอ” ตอบแล้วก็ยืนถือเสื้อผ้าที่เลือกไว้รอให้ฟางจั๋วหรานกลับมา

หลินม่ายส่ายหน้าอย่างหมดคำจะพูด

ดูเหมือนว่าสาว ๆ ในยุคนี้ก็ไม่ได้ต่างจากสาว ๆ ในชาติก่อนของเธอเท่าไร ที่เห็นหนุ่มหล่อแล้วก็อดใจไม่ไหว

ในตอนนั้นเลยแอบคิดเล่น ๆ ว่าน่าจะชวนแฟนหนุ่มให้มาช่วยขายของอีกบ่อย ๆ คงจะต้องขายดีมากแน่ ๆ แบบนี้คงจะรวยจนนับเงินไม่ไหว

เสี่ยวม่านใช้มือพัดไปมาที่หน้า หวังว่าจะช่วยคลายความเผ็ดร้อนลงได้บ้าง

หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดกับหลินม่าย “แฟนเธอหล่อมากเลย เขามีพี่น้องหรือเปล่า หล่อแบบนี้ด้วยไหม ถ้าเขาหล่อแนะนำให้ฉันรู้จักบ้างสิ”

หลินม่ายเอ่ยตอบพลางขายของไปด้วย “เขามีน้องชายที่หล่อมาก แต่ฉันไม่ค่อยรู้จักกับน้องเขาหรอก ไม่รู้จะแนะนำให้รู้จักกับเธอยังไงเหมือนกัน”

เสี่ยวม่านเลยเข้ามาสะกิด “ไม่ต้องแนะนำตรง ๆ กับน้องเขาก็ได้ แต่แนะนำแฟนเธอให้ฉันรู้จักก็ยังดี เผื่อได้ออกไปไหนมาไหนด้วยกัน ก็ชวนเขามาด้วย ฉันจะได้ไปตีสนิทไง”

ประเด็นที่เสี่ยวม่านเปิดขึ้นทำให้หลินม่ายเริ่มคิดถึงครอบครัวอันซับซ้อนของฟางจั๋วหราน มันคงไม่ดีเท่าไรที่จะเป็นแม่สื่อให้เสี่ยวม่านกับฟางจั๋วเยวี่ย

พ่อแม่ของฟางจั๋วหรานคงจะไม่เอ็นดูเสี่ยวม่าน เธอยังไม่อยากทำลายชีวิตอันแสนปกติสุขของเพื่อน

เพราะอย่างนั้นเลยเอ่ยตอบไปแบบผ่าน ๆ “เอาไว้ค่อยว่ากันนะ”

ไม่ห่างไปนัก หวังหรงกับเหล่าเพื่อนสาวกำลังเดินซื้อของกันอยู่

สาว ๆ เหล่านี้ทำงานในการไฟฟ้าเหมือนกันกับหล่อน ได้เงินเดือนสูง และมีครอบครัวที่เพียบพร้อม

ทุกครั้งที่พวกหล่อนมาซื้อของ ก็มักจะแข่งขันกันเองแบบเงียบ ๆ ว่าใครจะจ่ายได้เยอะและแพงที่สุด ซึ่งหวังหรงก็ไม่เคยแพ้

หวังหรงยังชอบชวนพวกหล่อนไปสังสรรค์ที่ร้านอาหารหรู ๆ ด้วยกันเป็นครั้งคราว ทำให้หล่อนเป็นเหมือนหัวหน้าของกลุ่มสาว ๆ เหล่านี้

ถ้าอยากจะเป็นที่นับหน้าถือตาก็ต้องยอมลงทุนกันเสียหน่อย เป็นเรื่องปกติ

แต่ระหว่างที่ซื้อของในวันนี้ เหล่าเพื่อนสาวกลับพบว่าหล่อนแปลกไป ที่ไม่ได้ชวนไปนั่งที่ร้านอาหารอย่างเคย

ไม่แม้แต่จะซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง อย่างมากก็แค่หยิบมาลองแล้วก็ไม่ได้ซื้อมัน

เพื่อนสาวคนหนึ่งถามอย่างไม่แน่ใจนัก “หรงหรง เพราะพี่ชายเธอติดคุก ฐานะครอบครัวก็ไม่มั่นคงเท่าเมื่อก่อน ก็เลยอยากจะประหยัดเงินหรือเปล่า?”

“เปล่า ทุกอย่างก็ปกติดี” หวังหรงปฏิเสธน้ำเสียงเด็ดขาด ซ่อนความรู้สึกไม่สบายใจด้วยการทัดผมเข้าที่ข้างหู

หล่อนเกลียดการพูดถึงเรื่องพี่ชายที่ติดคุกของตัวเอง และที่เกลียดยิ่งกว่าคือการบอกว่าหล่อนไม่มีเงินใช้

แม้ความลำบากใจจะแสดงออกมาจนสัมผัสได้ แต่เพื่อนสาวคนนั้นก็ยังไม่ยอมลดละ “ก็แล้วทำไมเลือกของอยู่นานแต่ไม่เห็นซื้ออะไรสักที”

หวังหรงตอบท่าทางจริงจัง “ก็อยากจะซื้อนะ แต่ไม่มีอะไรน่าสนใจซักนิด เลยไม่รู้จะซื้อไปทำไม”

ถึงจะฟังดูเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่น่าเชื่อเท่าไร แต่ก็ไม่มีอะไรจะมาเถียง เพื่อนสาวคนนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดถามไปอย่างไม่เต็มใจนัก

เพื่อนสาวคนหนึ่งในกลุ่มชื่อเยี่ยนหงเข้ามาจับแขนของหวังหรงและเริ่มถามว่า

“หรงหรง ฉันได้ยินมาว่าย่าย่าคู่แข่งของเธอกำลังจะแต่งงานกับหยางหย่งลูกชายผอ.การไฟฟ้า ประมาณช่วงวันชาติปีนี้ เธอจะแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องเมื่อไรล่ะ? ฉันอยากจะเปิดไวน์ฉลองงานแต่งของเธอเกทับยัยนั่นจะแย่”

จากนั้นก็เริ่มกลอกตาแล้วพูดต่ออย่างเคือง ๆ  “แต่งกับลูกชาย ผอ. เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน ไม่เห็นจะมีอะไรน่าอวด เห็นบอกว่าครอบครัวหล่อนเตรียมบ้านหนึ่งห้องนอนไว้ให้แค่นั้นเอง จะมาภูมิใจอะไร สู้ลูกพี่ลูกน้องเธอไม่ได้ซักนิดที่มหาวิทยาลัยมอบบ้านหลังใหญ่สองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นให้  ถ้าเธอแต่งงานกับเขา ยัยย่าย่าก็คงเทียบอะไรไม่ติด แค่เรื่องบ้านก็สู้ไม่ได้แล้ว”

“จริงมาก” หญิงสาวอีกคนที่ชื่อลี่ฉินพูดต่อ “ฉันจำได้ ที่เธอบอกว่าลูกพี่ลูกน้องเธอมีบ้านหลังเล็กสไตล์ยุโรปแบบมีสวนของแม่เขาอยู่อีกนี่ ถ้ายัยนั่นรู้แบบนี้ก็คงอายมากเลยล่ะ”

หวังหรงรีบแก้ตัวทันควัน “ไม่ใช่บ้านยุโรปหลังเล็ก ๆ หรอก แต่เป็นวิลล่าหลังใหญ่ ในพื้นที่สัมปทานหลายร้อยล้านตอนนี้”

สาว ๆ ได้ยินแบบนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความอิจฉา

ทุกคนพากันถามว่าเมื่อไรหล่อนและเขาจะแต่งงานกัน เพื่อจะได้หาเวลาไปเยี่ยมชมวิลล่าที่ว่านั่นบ้าง

หวังหรงขึ้นเสียง “ก็ต้องรอจนกว่าจะถึงวันนั้นไหม ฉันถึงจะชวนพวกเธอไปได้ ถ้าแต่งแล้วอยากไปเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น”

ลี่ฉินพูดทีเล่นทีจริง “หรงหรง แบบนี้เธอต้องรีบ ๆ แต่งงานแล้ว เขาเพรียบพร้อมขนาดนี้ระวังคนอื่นมาตัดหน้าไปได้นะ”

หวังหรงโต้ตอบด้วยสีหน้าฟุ้งฝัน “เขามีใจให้ฉันคนเดียวเท่านั้นแหละ ต่อให้มีใครเข้ามาฉันก็ไม่กลัวหรอก เพราะเขาไม่มีทางสนใจคนอื่น”

สาวอีกคนในกลุ่มเอ่ยขึ้นบ้าง “ก็จริงนะ เห็นว่าเธอกับเขาคบกันมาตั้งหลายปีแล้ว เธอก็ไม่เด็กแล้ว ปีนี้อายุ 21 อยู่ในวัยกำลังแต่งงาน ถ้าไม่รีบแต่งตอนนี้ คนอื่นเขาจะว่าเอาได้ว่าเป็นเพราะเขาไม่อยากแต่งกับเธอหรือเปล่า”

“ใช่ ฉันได้ยินย่าย่านินทาเธอแบบนั้น” เยี่ยนหงรีบสัมทับ

หวังหรงถึงกับหัวเราะต่อไม่ออก

หล่อนมักจะโอ้อวดกับเพื่อนว่ากำลังคบกับฟางจั๋วหรานอยู่

แต่ตอนนี้ญาติผู้พี่กลับมีแฟนแล้ว และการ ‘ถูกกดดันให้แต่งงาน’ จากเพื่อน ๆ ก็ทำให้หล่อนเริ่มวิตกกังวล

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เป็นไงล่ะยัยหรง โม้ไว้เยอะ ถึงเวลาทำตามที่โม้ไว้ไม่ได้มันจะไม่มีเศษหน้าให้เก็บเด้อ

ไหหม่า(海馬)