ตอนที่ 59 พระบัญชาจากอูลร์

Game of the World Tree

ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง มีคบเพลิงจำนวนมากเรียงรายอยู่บนผนัง ส่องแสงสลัวไปทั่วบริเวณ

ทั้งสองด้านของถ้ำมีจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวของสงครามแห่งเทพเมื่อ 1,000 ปีก่อน เป็นตำนานเล่าถึงเหล่าเทพที่ร่วมมือกันสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงแก่มหาพฤกษาโลกา ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของอารยธรรมเอลฟ์ เป็นเรื่องเล่าที่ขับขานจากรุ่นสู่รุ่น ในชนเผ่าชาวออร์ค

ใจกลางของถ้ำคือแท่นบูชาที่สร้างจากกะโหลกจำนวนมาก

บนแท่นนั้น มีรูปบูชาที่สลักอย่างหยาบ ๆ ของเทพแห่งเหมันต์และการล่า อูลร์

เบื้องหน้ารูปบูชา ปรากฏร่างของออร์คชราที่มีนัยน์ตาข้างเดียวตัวหนึ่งในชุดนักบวชสีเทา มันกำลังคุกเข่าภาวนาด้วยท่าทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา

บทภาวนาเสียงต่ำสะท้อนไปตามผนังหินของถ้ำอันเงียบสงัด เปลี่ยนบรรยากาศโดยรอบให้ดูมีมนต์ขลัง

ทันใดนั้น รูปบูชาพลันเปล่งแสงสว่างขึ้นมาอย่างรุนแรง สาดส่องทั่วบริเวณถ้ำด้วยความสว่างที่ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ

ออร์คตาเดียวเงยศีรษะด้วยร่างอันสั่นเทา มันจับจ้องไปที่รูปบูชาด้วยความคลั่งไคล้ปนความประหลาดใจ…

“พระบัญชา… นี่คือพระบัญชา…”

มันหมอบลงกับพื้นอย่างตื่นเต้น ปล่อยให้พลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ไหลผ่านร่างกายของมัน

ทุกสิ่งทุกอย่างในจิตใจของออร์คชราพลันหยุดนิ่ง เมื่อมันได้ยินเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้นในห้วงจิตของตน

“สำรวจ– ฟลอเรนซ์”

“เอลฟ์ จงระวัง… สาวกเทพแห่งความตาย”

เมื่อกลับสู่แดนสวรรค์ อูลร์จึงเข้าใจในบางสิ่ง

เอลฟ์พวกนั้นไม่ใช่กองพันวีรชนของเฮลาอย่างแน่นอน!

เพราะ… พวกมันมีร่างกาย ในขณะที่วิญญาณวีรชนล้วนปราศจากกายเนื้อ และเทพองค์อื่น ๆ ย่อมมีการตอบโต้อย่างรุนแรงหากกองพันวีรชนปรากฏตัวบนผืนแผ่นดินซากัส

แม้แต่เฮลาก็คงไม่อาจประกาศตัวเป็นศัตรูกับเหล่าเทพ เพราะการล่มสลายของอึกก์ดราซิลล์คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด!

แต่เอลฟ์เหล่านี้ต้องมีความเกี่ยวโยงกับสาวกของเทพแห่งความตาย เพราะมีเพียงเฮลาเท่านั้นที่สามารถมอบความเป็นอมตะให้กับสิ่งมีชีวิต!

ดังนั้นอูลร์จึงมอบหมายหน้าที่ในการสืบเสาะเรื่องราวแก่สาวกของตน…

เมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นเทพ ร่างของนักบวชออร์คชราทวีความสั่นเทาพลางค้อมศีรษะของมันลงต่ำกว่าเดิม

“มหาคีรี ผู้นำนักบวชแห่งเผ่าถ้ำหิน พร้อมปฏิบัติตามพระบัญชา!”

ในวินาทีนั้น รูปบูชาสาดแสงออกมาอีกระลอก ภาพเลือนลางฉากหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมโนภาพของนักบวชออร์ค

มันเป็นภาพของเหล่าก็อบลินผู้โชคร้ายที่ถูกล่าสังหารโดยกลุ่มเอลฟ์นัยน์ตาแดงฉาน!

เอลฟ์เหล่านั้นสะพายอาวุธที่มีสภาพยับเยินเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นของที่แย่งชิงมาจากเหล่าก็อบลิน…

สิ่งที่มหาคีรีเห็นพลันเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพบรรดาเอลฟ์ที่ถูกพลังลึกลับบดขยี้จนกลายเป็นเศษเนื้อ แต่แล้วเอลฟ์เหล่านั้นกลับปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยสภาพที่สมบูรณ์…

นักบวชชราตื่นตะลึงเมื่อเห็นภาพดังกล่าว

“เอลฟ์? ทำไมมีเอลฟ์ตั้งมากมายก่ายกอง?! พวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่?! เอลฟ์พวกนี้เป็นอมตะรึไง??”

มหาคีรีอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

แต่รูปบูชาเบื้องหน้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับมัน

นักบวชชราพลันตระหนักว่าตัวเองปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ จึงหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะคุกเข่าลงและวาดสัญลักษณ์คันศรในระดับอก

“ขอสรรเสริญเหมันตฤดูและการล่า ขอสรรเสริญองค์พระบิดา!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง แสงจากรูปบูชาค่อย ๆ จางหายไป

ออร์คชราค่อย ๆ เงยศีรษะขึ้น แผ่นหลังของมันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ

“พระบัญชา… นี่คือพระบัญชาอย่างแน่นอน…”

มันพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

การได้รับพระบัญชา หมายถึงการที่ตัวเองเป็นที่สนใจและถูกเฝ้ามองโดยเทพ!

ผู้นำนักบวชออร์ค มหาคีรี สูดลมหายใจช้า ๆ พลางระงับอารมณ์ ก่อนจะไตร่ตรองเนื้อความของพระบัญชาที่เพิ่งได้รับ

“ภาพพวกนี้มันเรื่องอะไรกัน?”

มหาคีรีขมวดคิ้วพลางใคร่ครวญเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองรับรู้มา

“นั่นมันป่าเอลฟ์ใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าพวกมันอพยพไปกันหมดแล้วเหรอ? ไอ้หูยาวพวกนี้มันมาจากไหน? มันบุกโจมตีก็อบลินในฟลอเรนซ์เรอะ? อมตะ? หรือพวกมันจะมีสาวกของเทพแห่งความตายคอยหนุนหลังอยู่?”

นักบวชออร์คทราบดีว่าอูลร์ได้รับเอาเหล่าก็อบลินในป่าเอลฟ์มาเป็นสาวก โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้งานพวกมันในการค้นหาคริสตัลพระโลหิตของอึกก์ดราซิลล์ พระมารดาแห่งธรรมชาติผู้ร่วงหล่น

ในฐานะผู้นำนักบวชของเผ่าออร์คที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้ป่าเอลฟ์มากที่สุด มหาคีรีเป็นผู้ที่ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้เหล่าก็อบลินกลายมาเป็นสาวกของอูลร์ แม้ว่ามันจะรังเกียจเดียจฉันท์สิ่งมีชีวิตที่สุดแสนจะอัปลักษณ์และอ่อนแอเหล่านี้เป็นอย่างมาก

และตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ย่ำแย่

“พวกสาวกของเทพแห่งความตาย…”

มหาคีรีพึมพำ

“เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องพวกนี้… จะเป็นฝีมือของเทพแห่งโลกใต้พิภพ”

เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของมันดูหม่นหมองโดยพลัน

“ข้าคงต้องส่งพวกออร์คไปสำรวจเสียหน่อย”

“จะว่าไป เมื่อสองวันก่อนมีรายงานจากฐานที่มั่นในป่าเอลฟ์ พูดถึงทีมทหารรับจ้างออร์คที่หายสาบสูญ ข้าจะถือโอกาสนี้ในการตรวจสอบไปพร้อมกัน”

มหาคีรีสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะก้าวเดินออกจากถ้ำบรรพชนอันเป็นสถานที่สำหรับบูชาองค์เทพ

เมื่อก้าวพ้นปากถ้ำ สภาพโดยรอบสว่างขึ้นในบัดดล ภาพของหุบเขาอันกว้างใหญ่พลันปรากฏสู่สายตา

สถานที่แห่งนี้คือเทือกเขาทมิฬที่เปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์

ในบริเวณเชิงเขา มีบ้านที่สร้างด้วยหินและฟางจำนวนมากรายล้อมอยู่รอบถ้ำอย่างเป็นระบบระเบียบนับพันครัวเรือน เรียงรายไปจนสุดระยะมองเห็น

นี่คืออาณาเขตของ เผ่าถ้ำหิน เผ่าออร์คที่อยู่ใกล้อาณาเขตป่าเอลฟ์มากที่สุด

เผ่าถ้ำหินเป็นเผ่าขนาดกลางที่มีประชากรร่วมครึ่งหมื่น ตั้งอยู่ทางชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ของป่าเอลฟ์และเทือกเขาทมิฬ ห่างไปจากใจกลางป่าเอลฟ์มากกว่า 300 กิโลเมตร

หัวหน้าเผ่าถ้ำหินในปัจจุบันคือ มหาคีรี ผู้นำนักบวชระดับเงินขั้นต้น

มหาคีรีเดินกลับลงมาสู่บริเวณหมู่บ้าน พลางทอดสายตาไปยังเหล่าออร์คด้วยความพึงพอใจ

ในสมัยที่มันยังเยาว์วัย เผ่าถ้ำหินเคยเป็นเผ่าขนาดเล็กที่มีประชากรไม่ถึง 1,000 ตัว

หลังจากผ่านการพัฒนามาหลายต่อหลายปี เผ่านี้ได้เติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอภายใต้การสนับสนุนจากองค์เทพ

ทว่า รายได้ส่วนใหญ่ที่นำมาใช้จุนเจือเผ่าของมันในปัจจุบัน เกือบทั้งหมดเป็นเงินตราที่ได้มาจากการล่าเอลฟ์เพื่อขายเป็นทาส

สีหน้าของมหาคีรีพลันเปลี่ยนไปเมื่อหวนนึกถึงความจริงข้อนี้…

ถ้ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นในป่าเอลฟ์ เหตุการณ์นั้นย่อมส่งผลกระทบต่อเผ่าถ้ำหินอย่างหนัก

มันถอนหายใจครั้งหนึ่งด้วยอารมณ์ที่ขุ่นหมอง

“เรียกหินดำมา”

มหาคีรีออกคำสั่งแก่ออร์คที่อยู่ใกล้ตน

ออร์คร่างยักษ์เข้ามาพบมหาคีรีหลังจากผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง

ร่างกายของมันสูงเกือบสองเมตร ศีรษะโล้นเกลี้ยง เขี้ยวยาวโง้งออกมาจากปาก รูปลักษณ์ของออร์คตัวนี้ดูดุร้ายเป็นอย่างมาก

หินดำ เป็นนักรบของเผ่าถ้ำหินที่มีชื่อเสียงเทียบเคียงได้กับศิลาผู้หายสาบสูญ ความแข็งแกร่งของมันอยู่ในระดับเหล็กขั้นสูง

“หินดำเข้าพบท่านผู้นำนักบวช”

มันคุกเข่าลงเบื้องหน้ามหาคีรีเพื่อแสดงความเคารพ

มหาคีรีชำเลืองหินดำพลางพยักหน้าเล็กน้อย

“จงลุกขึ้น”

หินดำรับคำสั่ง มันลุกขึ้นจากพื้นและยืนเลี่ยงไปทางฝั่งหนึ่งอย่างเงียบงัน

มหาคีรีพึงพอใจในท่าทีอันนอบน้อมที่หินดำปฏิบัติต่อมันเป็นอย่างยิ่ง

นักบวชชราไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว

“หินดำ ผู้เป็นหนึ่งในนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา เวลานี้ข้ามีงานสำหรับเจ้า…”

“จงพาเหล่านักรบในระดับเหล็กขั้นกลางและนักบวชรูปหนึ่ง พร้อมด้วยอาวุธที่ดีที่สุดในเผ่า เดินทางไปยังฐานที่มั่นในป่าเอลฟ์ เพื่อสำรวจซากปรักหักพังแห่งเมืองฟลอเรนซ์!”

มหาคีรีหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบชิ้นส่วนกระดูกจากกระเป๋าของตนมาวางลงบนมือของหินดำ

“สิ่งนี้คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่า สามารถใช้สำแดงพลังของพระบิดา ให้บังเกิดเป็นอำนาจทำลายล้างเทียบเท่าระดับทองได้ในเวลาที่เข้าตาจน และมีพลังในการชำระล้างวิญญาณผีดิบ!”

“ในการสำรวจครั้งนี้ เจ้าอาจจะพบกับสาวกของเทพแห่งความตาย หากมีอันตรายถึงตัวก็ขอให้ล่าถอยทันที จงอย่างลังเลที่จะละทิ้งฐานที่มั่นในยามวิกฤติ…”

“นอกจากนี้…”

สีหน้าของมหาคีรีพลันเปลี่ยนไป เขากล่าวขึ้นอย่างจริงจัง

“หากเจ้าพบเอลฟ์ที่มีทีท่าแปลกประหลาด จงหาทางจับมาสักตน และนำมันกลับมาที่เผ่า”

“หากภารกิจลุล่วงด้วยดี เจ้าจะได้รับการตกรางวัลอย่างงาม!”

_ .. _ .. _ .. _ .. _ .. _

T/N: เผ่าออร์คดูเท่ไม่หยอก พอเทียบกับก็อบลินแล้วบับว่า… ฟ้ากับเหวเลยค่ะ

ศิลาคือผู้นำกลุ่มออร์คนักล่า ปรากฏตัวครั้งแรกในตอนที่่ 4 ค่ะ

อ่านแปลไทยได้ที่ ค่ะ ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ

Support the project: https://book.qidian.com/info/1016509432

_ .. _ .. _ .. _ .. _ .. _