ตอนที่ 72 ความผิดปกติในป่า
นี่ก็ผ่านมาแล้วครึ่งเดือนตั้งแต่ มิโรสลาฟเข้าร่วมแคลนดาบควันโลหิต ทางผู้ส่งสารของตระกูลดยุกดรากูนอทจากฮอรัลก็เดินทางมาถึงที่อิชกะ
โดยเนื้อหาที่เขามาแจ้งให้ทราบก็คือเรื่องที่คลอเดียจะเดินทางมาถึงที่นี่เร็วๆ นี้
ตอนที่ผมได้ยินก็เอียงศีรษะด้วยความงุนงง
นี่มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ถ้านับตั้งแต่ตอนที่สู้กับจินโบ ทำไมดยุกถึงได้ตัดสินใจส่งลูกสาวสุดที่รักของตัวเองออกมาเร็วขนาดนี้กัน
และคนที่ไขข้อสงสัยของผมก็คือมิโรสลาฟ ลูกสาวแห่งบริษัทซัลซ่า ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง
เธอบอกกับผมเรื่องข่าวลือที่ทางบริษัทได้รวบรวมมาอย่างละเอียด
จากข่าวลือ ทำให้ทราบได้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวง ดูเหมือนปัจจุบันสถานการณ์ภายในวังก็ยังคงอยู่ในภาวะตึงเครียดราวกับมีพายุคลั่ง
แม้แต่งานแต่งงานของมกุฎราชกุมารเอซ่ากับเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิแอด แอสเทอร่า ซากุยะก็ยังต้องถูกเลื่อนออกไป
คนกลุ่มแรกที่ยกเรื่องนี้และต่อต้านก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นกลุ่มชนชั้นสูงต่อต้านพวกจักรวรรดินิยม ดูเหมือนว่าบางคนถึงกับวางแผนยกเอาเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเอซ่ากับคลอเดียที่เคยถูกยกเลิกไปแล้วขึ้นมาคุยใหม่
ดยุกดรากูนอทที่พยายามจะให้คลอเดียหลุดพ้นจากวงจรเหล่านี้เสียที เลยรีบส่งเธอมาเร็วกว่าที่คิดไว้ นั่นคือคำอธิบายของมิโรสลาฟ
พอพูดถึงเจ้าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน (คลอเดีย) ซึ่งได้รับอนุญาตให้ไปอยู่อาศัยร่วมกับชายโสด (โซระ) ส่วนมากคนก็ต้องมองกันอยู่แล้วว่าพวกเขา มีเป้าหมายที่จะหมั้นหรือแต่งงานกันในอนาคต
ถึงจะไม่ใช่เรื่องปกติเท่าไรนัก ที่ลูกสาวของดยุกจะแต่งงานกับนักผจญภัยธรรมดา แต่ทุกคนก็ทราบกันดีว่านักผจญภัยคนนั้นคืออัศวินมังกร
…ดังนั้นการแต่งงานของพวกเขาจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติมากหากมองในมุมของคนภายนอก
เอาเถอะสุดท้ายแล้วมันก็แค่มุมมองของคนนอก เพราะสุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะหมั้นหมายอะไรกัน ถ้าจะให้พูดก็คงเป็นผมจะต้องเป็นโล่ให้กับคลอเดีย เรียกว่าได้รับเกียรติให้ทำเช่นนั้นจะดีกว่า
จะมีชายใดบนโลกไม่อยากเป็นอัศวินเพื่อปกป้องเจ้าหญิงกันล่ะ
หากผมโชคร้ายจริง พวกฝ่ายต่อต้านจักรวรรดินิยมอาจจะส่งมือสังหารมีเก็บผมด้วยซ้ำ…แต่ถ้าเป็นงั้นจริง ผมก็จะได้มีเหตุผลกินวิญญาณพวกเขาด้วยไม่เสียหายอะไร
นอกจากการเตรียมพร้อมรับคลอเดียที่จะเดินทางมาแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่กวนใจผมอยู่
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ พวกมอนส์เตอร์ปรากฏตัวรอบเมืองอิชกะอยู่บ่อยๆ
มันหนักถึงระดับที่ว่าทางกิลด์ยังรับมือกับคำขอไม่ไหว ดังนั้นบางคำขอจึงตกมายังแคลนของพวกผมด้วย
และทุกครั้งที่ต้องออกไปทำงาน ผมก็มักจะพาลูนามาเรีย มิโรสลาฟ ชีล และซูซูเมะออกไปล่ามอนสเตอร์ ซึ่งก็เพื่อให้เธอได้รับประสบการณ์ แต่ทั้งที่ทำขนาดนี้แล้ว จำนวนของพวกมอนสเตอร์ก็กลับเพิ่มขึ้นกว่าเดิมจนน่าประหลาด
มอนสเตอร์และสัตว์อสูรส่วนใหญ่ที่ออกมาก็จะเป็นพวกที่อาศัยอยู่ในป่าทีทิส ดังนั้นผมจึงมองว่าอาจจะมีบางอย่างผิดปกติขึ้นที่นั่น
นอกจากนี้ยังพบเห็นการปรากฏตัวของมันอยู่ตามถนนที่เชื่อมระหว่างอิชกะกับเมืองหลวง หากโชคไม่ดีคลอเดียที่เดินทางมาอาจจะถูกโจมตีด้วยก็ได้
พอคิดได้แบบนี้ ผมก็เลยตัดสินใจขี่คราว โซราสเข้าไปสำรวจภายในป่าทีทิส
บางทีสถานการณ์อาจจะเหมือนกับบาซิลิสก์ก่อนหน้านี้ ผมจึงคาดถึงความเป็นไปได้ที่มีมอนสเตอร์ระดับนั้นเกิดขึ้นมา ซึ่งทำให้มอนสเตอร์ที่เหลือถูกไล่ที่
ดังนั้น ผมคงต้องเตรียมผลจุไรอาโอคุสไว้เผื่อสักหน่อย
จากที่ซูซูเมะบอก ผลจิไรอาโอคุสจะออกผลในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อน ดังนั้นคงต้องรีบไปเก็บในช่วงที่ทำได้ก่อนดีกว่า
ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ ซูซูเมะก็พูดขึ้นด้วยท่าทางกังวล
「เอ่อ..คือ โซระ ฉันอยากจะขออะไรนายสักหน่อย」
「ได้สิ ว่ามาเลย」
「แต่ฉันยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะขออะไร…จะดีเหรอ?」
「ไม่ว่าเธอจะขออะไร ฉันก็ไม่ปฏิเสธซูซูเมะหรอก」
เมื่อผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่จริงจัง ซูซูเมะก็กะพริบตาไปมาสองสามที ก่อนจะยิ้มออกมา
ทั้งที่ผมพูดจากใจจริงแท้ๆ แต่เธอเหมือนจะมองว่าเป็นเรื่องล้อเล่น
นั่นทำให้ผมเศร้าหน่อยๆ เลยแฮะ แต่สุดท้ายผมก็ยิ้มตอบกลับไปแทนเพื่อให้เรื่องดำเนินต่อ นี่แหละการกระทำของผู้ใหญ่
ผมปล่อยให้เรื่องที่พูดผ่านไป แล้วรอฟังสิ่งที่ซูซูเมะจะขอ
「ถ้านายจะไปเก็บผลจิไรอาโอคุส ฉันอยากจะให้นายพาฉันไปด้วยน่ะ…」
「หืม แต่ป่าทีทิสตอนนี้มันค่อนข้างอันตรายนะ――เอาเถอะ ถ้าเป็นเธอก็คงเข้าใจดีอยู่แล้วถึงไม่ต้องบอก แล้วมีอะไรที่เธอติดใจอยู่หรือเปล่า?」
「….คือว่า..ฉันอยากจะไปดูหมู่บ้านของตัวเองอีกสักครั้งน่ะ…อยากจะรู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับที่นั่นบ้าง」
หลังจากได้ยินผมก็ขมวดคิ้ว
หมู่บ้านคามูนะที่ซูซูเมะอาศัยอยู่ถูกฟุไคที่บาซิลิสก์สร้างขึ้นทำลายไปเกือบหมดแล้ว
นอกจากนี้ผมยังใช้ไฟเผาฟุไคไปด้วย ผมจึงมั่นใจว่าหมู่บ้านน่าจะได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ไปจนแทบไม่เหลือแล้วแน่ๆ
ซูซูเมะก็เป็นคนเห็นกับตาเธอเอง ดังนั้นเธอก็น่าจะพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น――แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกที่อยากจะกลับไปตรวจสอบหมู่บ้านที่ตัวเองโตมาด้วยตาตัวเองอยู่หรอก
บางทีที่เธอไม่เคยบอกผมเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน น่าจะเพราะไม่อยากให้มันมากวนใจผม
ผมรู้ได้ทันทีว่าเธอรู้สึกอย่างไร ถึงเธอจะไม่พูดมันออกมาก็ตาม――แต่พอเธอได้ยินว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นในป่า มันคงจะไปกระตุ้นความต้องการของเธอเพราะเธอกังวลว่าหากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป เธออาจจะไม่สามารถกลับไปที่บ้านเกิดของเธอได้อีกเลย
「――ได้สิ แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะว่าการขี่คราว โซราสมันไม่ได้สะดวกสบายขนาดนั้น เธอแน่ใจแล้วนะ?」
แล้วพอผมบอกไปว่าบางที่คราว โซราสมันอาจจะไม่ชอบที่ถูกซูซูเมะขี่ด้วยก็ได้นะ แต่เธอก็กำหมัดแน่นแล้วพยักหน้า ก่อนจะพูดว่า “อื้อแต่ฉันจะพยายาม” น่ารักชะมัด
「เอ่อ! อ-อะแฮ่ม! งั้นก็กอดฉันให้แน่นๆ ล่ะ!」
「ได้เลย!」
ผมพูดออกมาด้วยท่าทางที่ตระหนกนิดหน่อย เพราะเกือบเผลอจะพูดอะไรแปลกๆ ออกมา ทางซูซูเมะ ก็ได้แต่เอียงศีรษะด้วยความสงสัย ก่อนจะตอบกลับผมด้วยเสียงดังลั่น
◆◆◆
หลังจากที่ผมกับซูซูเมะขึ้นขี่คราว โซราสแล้ว พวกเราก็เดินทางกันมาถึงบริเวณยอดผาของถ้ำราชาแมลงวัน
ระหว่างทางที่มาผมบอกเลยว่าสมาธิของผมมันว่อกแว่กไปมาตลอดเพราะสัมผัสนุ่มๆ ทั้งสองที่อยู่บนหลังผม มันดึงความสนใจของผมไปกระทั่งมาถึงยังใจกลางป่า
พอผมยืนอยู่บนยอดผา มันก็ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความตื่นเต้นในหัวใจของผมแล้ว
「……ถ้างั้นก็」
ผมได้ทำการมองไปยังรอบๆ เพื่อมองหาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในป่า โดยจะเน้นไปยังจุดที่คล้ายกับฟุไคหรืออะไรทำนองนั้นจากมุมสูง แต่ก็ไม่พบอะไรที่คล้ายกับสิ่งที่ผมคิด
ถึงจะเป็นเช่นนั้นผมก็ยังสัมผัสได้ว่ามีอะไร” ผิดปกติ” ไป
เสียงคำรามอันแผ่วเบาที่ดังขึ้นทั่วป่าและราวกับตอบสนองต่อเสียงนั้นมันก็มีเสียงขู่คำรามจากมอนสเตอร์ตัวอื่นตามมาในหลายๆ จุด
น้ำเสียงที่แสนเจ็บปวดปะปนกันไป บางครั้งก็เป็นเสียงร้องก่อนจะสิ้นใจของพวกมัน ราวกับว่าพวกมันกำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์ตัวอื่นและพ่ายแพ้
พวกมอนสเตอร์และสัตว์อสูรได้วิ่งพล่านไปทั่วป่า โดยไม่สนว่านั่นจะเป็นอาณาเขตของตนหรือไม่ และพอพวกมันวิ่งมาเจอกันพวกมันก็จะเริ่มต่อสู้กันทันที――จากสิ่งที่เห็นทั้งหมดนี้ ผมก็มองว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ในใจ
อาการคลุ้มคลั่ง นั่นคือคำที่ผุดขึ้นมา
สถานการณ์ของป่าในตอนนี้แม้จะเป็นช่วงที้บาซิลิสก์ปรากฏตัวออกมาก็ไม่เคยพบเห็น
ซูซูเมะก็มายืนดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ ผม สำหรับเธอที่อาศัยอยู่ภายในป่านี้มาทั้งชีวิตก็คงรู้ ว่าตอนนี้มันไม่ปกติเอาเสียเลย
ให้ตายเถอะ พลาดแล้วสิ ผมเดาะลิ้นอยู่ภายในใจ
เอาจริงๆ ถ้าแค่ผมคนเดียวเข้ามาในป่านี้ก็คงจะหาทางจัดการเรื่องพวกนี้คนเดียวได้ แต่พอผมพาซูซูเมะมาด้วยเธออาจจะตกอยู่ในอันตรายด้วยนี่สิ
เพราะปกติเธอไม่เคยจะขออะไรกับผม ผมก็เลยเผลอตอบปากรับคือเธอไปง่ายๆ สุดท้ายผมน่าจะทิ้งเธอเอาไว้ที่อิชกะ ไม่น่าเลยจริง――
ระหว่างที่ผมคิดแบบนี้อยู่ มือซ้ายของผมก็มีสัมผัสที่นุ่มนวลเข้ามา
พอผมมองไปก็เห็นว่าซูซูเมะกำลังจับมือซ้ายของผมไว้ด้วยมือทั้งสองของเธอ ดวงตาสีแดงเข้มมันเหมือนกับวิงวอนต่อผมว่า “ให้พาเธอไปด้วย”
หลังจากผมเงียบไปสักพัก ผมก็ถอนหายใจออกมา
ช่วยไม่ได้สินะ ใครมันจะต้านทานสายตาแบบนี้ได้กัน
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code