‘ท่านหลงทางหรือไม่’
ครืด ครืด…
เวลานั้น ป้ายไม้สั่นไหวเบาๆ ในขณะที่มี สายลมอ่อนๆ โชยพัดมา
ขณะนี้ เหล่าเซียนหน้าตาดีที่ดูเรียบร้อย ยืนอยู่หน้าป้ายไม้ที่แกว่งไกวไปมา ท่ามกลางบรรยากาศที่…ชวนอึดอัดเล็กน้อย
แน่นอนว่า พวกเขาไม่ได้ใช้พลังเซียนเพื่อระเบิดและสลายค่ายกลที่ติดอยู่ที่นี่อย่างรุนแรง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนสำคัญ ดังนั้น จะทำอะไรที่น่าอับอายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
ในขณะนั้น ไม่รู้ว่าผู้ใดหัวเราะออกมาก่อนกัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าปรมาจารย์ก็เอามือไพล่หลังแล้วหัวเราะลั่นออกมาอย่างเต็มที่
ที่ด้านนอกของค่ายกล บัดนี้ หลี่ฉางโซ่ว อ๋าวอี่และจิ่วอูกำลังยืนจัดเรียงแถวในแนวเดียวกันจากสูงไปต่ำ ในขณะที่อ๋าวอี่เผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา
เวลานี้ เขาได้ยินเสียงของจักรพรรดิสวรรค์ ฉินหว่านจากเกาะเต๋าทอง
“การจัดสถานที่นี้นับว่ายอดเยี่ยมยิ่ง โดยใช้วิธีการเชื่อมต่อของรากฐานค่ายกล จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนไปสู่ค่ายกลอื่นที่คล้ายคลึงกันได้ทุกประเภท ห่วงโซ่ต่อด้วยห่วงโซ่ ค่ายกลต่อด้วยค่ายกล มีวิธีเดียวที่จะเจาะทะลุผ่านพวกมันได้ก็คือ การทำให้ค่ายกลแตกระเบิดออกอย่างรุนแรง…แต่ด้วยเหตุที่ผู้ตั้งค่าค่ายกลที่นี่ยังมีขอบเขตพลังการฝึกฝนไม่สูง ส่งผลให้รากฐานของค่ายกลที่วางไว้นั้นยังไม่ทรงพลังพอ ดังนั้น ค่ายกลนี้ จึงสามารถถูกระเบิดแยกออกได้ง่าย ซึ่งหากข้าปรับแต่งรากฐานค่ายกลเช่นนี้ และใช้วิธีนี้เพื่อสร้างค่ายกลขึ้นมา เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เป็นเซียนจิน พวกเขาก็ยังต้องติดกับอยู่ในนั้น ช่างอัศจรรย์ยิ่ง วิเศษจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่ด้านนอกค่ายกล ภายในใจไม่มีความรู้สึกใดๆ
คงเป็นเรื่องน่าขันยิ่ง หากเซียนจิน ผู้ทรงเกียรติสง่างามระดับอาวุโส และเป็นที่ยอมรับของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ไม่อาจเข้าใจการตั้งค่าค่ายกลง่ายๆ เช่นนี้ได้
ในทำนองเดียวกันนั้น หลังจากได้รับความชื่นชม หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ได้รู้สึกเบิกบานใจแต่อย่างใด แต่รู้สึกว่าเขาแค่โชคดี
โชคดีที่ ‘ทักษะสงบลมปราณเต่า’ ของเขาสามารถต้านทานการจ้องมองของเซียนจินได้…
เมื่อมองจากมุมมองนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ ย่อมนับว่าไม่ไร้ประโยชน์
และนั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ยืนยันให้เห็นว่าการตัดสินใจปกปิดลมปราณของเขานั้นไม่ได้ผิดพลาด
หากเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประชุมของสามสำนักบำเพ็ญเต๋าใหญ่ได้ในอนาคต การพัฒนาทักษะนั้นย่อมจะง่ายดายขึ้นอีกมาก
หลังจากสัมผัสได้สักพักหนึ่ง เขาก็ตระหนักว่า ขณะนี้เหล่าเซียนอาวุโสกำลังเดินอย่างช้าๆ อยู่ในค่ายกลพวกเขาล้วนพูดคุยแสดงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับเต๋าของค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนพวกเขาทั้งหมดจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์บางอย่างได้…
พวกเขามองเห็นสิ่งใดบ้าง และพวกเขาได้สิ่งใดบ้าง
โดยพื้นฐานแล้ว ค่ายกลเหล่านี้คือค่ายกลเขาวงกต ระดับเซียนเสิ่น และค่ายกลกับดัก หือ?
หลี่ฉางโซ่วได้รับแรงบันดาลใจขึ้นมาในทันใดและราวกับสายฟ้าฟาดผ่านหัวใจของเขา ทันใดนั้น เขาก็หันไปมองจิ่วอูแล้วเบิกตากว้างขึ้นอย่างกะทันหัน ในขณะนั้น อาจารย์ลุงจิ่วอูตัวสั่นเทาพลางกล่าวว่า “ฉางโซ่ว เจ้ามองข้าด้วยเหตุใดกัน เหตุใดเจ้าจึงดูน่ากลัวเพียงนี้” “ไม่มีอะไร ข้าไม่มีอะไรจริงๆ ขอรับ” หลี่ฉางโซ่ว รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าท่าทีของเขาฉับพลันในขณะที่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
ข้าเกือบลืมไปว่าสิบจักรพรรดิสวรรค์เหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในรายนามแห่งเทพในอนาคตด้วย!
และสิบจักรพรรดิสวรรค์นั้นล้วนเก่งกาจที่สุดในการสร้างค่ายกลสิบสมบูรณ์!
สงครามมหาเทพในอนาคตนั้น สิบจักรพรรดิสวรรค์จะนับเป็นคนสำคัญที่เข้ามาในสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยในช่วงกลาง ซึ่งได้รับการพิจารณามาก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาได้จัดวางค่ายกลสิบสมบูรณ์และสังหารคนระดับล่างของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานทำลายล้าง
ในเวลาเดียวกันนั้น ด้วยเหตุที่สิบจักรพรรดิสวรรค์เหล่านี้พ่ายแพ้ไปทีละคนอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่า ค่ายกลสิบสมบูรณ์ถูกทำลายไปทีละค่ายกล ซึ่งจ้าวกงหมิง ศิษย์สำนักชั้นนอก ได้ถูกล่อออกมาและผลักดันให้สงครามมหาเทพไปถึงจุดสำคัญสูงสุด
ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวอะไรกับหลี่ฉางโซ่ว …
แต่หากนี่คือ…
หากว่า…
หากจักรพรรดิฉินได้รับแรงบันดาลใจจากค่ายกลขนาดเล็กที่เขาสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ เหล่านี้และตัดสินใจที่จะปรับเพิ่มระดับค่ายกลสิบสมบูรณ์ให้กลายเป็นค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการได้ พวกเขาก็จะสามารถเอาชนะสิบสองเซียนจินแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานในระหว่างสงครามมหาเทพได้
และเมื่อถึงยามนั้น…จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า และศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน…ใช่หรือไม่
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็อดจะเอามือก่ายหน้าผากด้วยความกังวลใจอย่างยิ่งไม่ได้
จู่ๆ เขาก็อยากพาท่านอาจารย์ และศิษย์น้องหญิงของเขาไปด้วยกันแล้วหาโอกาสแอบไปที่ศาลสวรรค์ และตะโกนว่า “เทพแห่งท้องทะเลทักษิณมาอยู่ที่นี่เพื่อขอลี้ภัยแล้ว!”
ไม่นะ หากข้าล่วงเกินให้ท่านจอมปราชญ์เทพจนเดือดดาลเข้าจริงๆ แม้แต่องค์เง็กเซียนก็ยังไม่อาจปกป้องข้าได้ ดังนั้นข้าคงทำได้เพียงประจบท่านบรรพชนไท่ชิงของข้าเท่านั้น…
นี่เป็นหายนะที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ชั่วขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วกังวลใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเจ้าสำนัก นักพรตเต๋าอู๋โหย่วส่งข้อความเสียงมา
“ฉางโซ่ว *แค่กๆ*…พวกเรามาทำลายค่ายกลกันเถิด…”
บัดนั้น หลี่ฉางโซ่วรีบปรับสภาพจิตใจของเขาให้มั่นคงอย่างรวดเร็วและทำลายค่ายกลในทันที
ในเวลานี้ เหล่าเซียนอาวุโสล้วนหัวเราะลั่นขณะเดินออกมาจากค่ายกล
โชคดีที่พวกเขายังไม่ได้ตรวจสอบสถานที่นี้อย่างละเอียด แต่เพียงแค่เดินเล่นไปรอบๆ โดยไม่พบรากฐานค่ายกลที่ยังไม่ได้เปิดใช้งานใต้พื้นดิน
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าอู๋โหย่วเจ้าสำนักตู้เซียนได้ก้าวออกไปข้างหน้าแล้วชี้ไปที่หลี่ฉางโซ่วพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ศิษย์น้อยผู้นี้เป็นผู้ที่สร้างค่ายกลขนาดเล็กที่นี่ขึ้นมา”
บัดนั้น อ๋าวอี่และจิ่วอูต่างก็ถอยไปที่ด้านข้างทันทีและทำให้หลี่ฉางโซ่วปรากฏกายขึ้นชัดเจน พวกเขาทั้งสองคนล้วนเข้าใจได้โดยไม่ต้องเอ่ยวาจาใด
และทันใดนั้น ทุกสายตาพลันจับจ้องมาที่เขา
ร่างของหลี่ฉางโซ่วแข็งเกร็งขึ้นมาทันทีพลางโค้งคำนับเล็กน้อย ในขณะที่หยาดเหงื่อปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา เวลาเขาดูประหม่าเล็กน้อย พลังเซียนในร่างกายของเขาเป็นเหมือนสระน้ำนิ่ง ในขณะที่เขาโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งขอบเขตคืนกลับอนัตตาที่เขาจำลองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน…
โชคดีที่สายตาจับจ้องเหล่านั้นค่อยๆ เลื่อนออกไปโดยที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นสิ่งใดเลย เขาได้ยินคำสรรเสริญเยินยอมากมายว่าสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินนี่พิเศษจริงๆ และอาจารย์ผู้ทรงเกียรติก็สั่งสอนศิษย์ของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
พวกเขากล่าวกันว่า ในอนาคต หลี่ฉางโซ่วจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน และในอีกหมื่นปีต่อมา พวกเขาจะมีสุดยอดอัจฉริยะด้านค่ายกลอีกผู้หนึ่ง…
และด้วยทักษะสงบลมปราณเต่าของเขา ในขณะนี้ เขาจึงรอดพ้นจากคลื่นการตรวจสอบระลอกที่สองของเหล่าเซียนจินไปได้ แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังไม่เบิกบานใจ
เพราะด้วยเหตุการณ์ในวันนี้ หากทิศทางในอนาคตของสงครามมหาเทพเปลี่ยนไป นั่นจะเป็นกรรมยิ่งใหญ่จริงๆ!
และหากเป็นจอมปราชญ์คาดการณ์ทำนายเอง เขาย่อมไม่อาจหนีพ้น!
ทว่า…
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จักรพรรดิสวรรค์ฉินจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าสำนักอู๋โหย่ว ข้าอยากใช้สมบัติสองสามชิ้นเพื่อแลกกับค่ายกลที่นี่ และนำพวกมันกลับไปให้เหล่าพี่น้องของข้าลองปรับแต่งมันดูสักหน่อย ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่”
ไม่! แน่นอนว่า ไม่!
เร็วๆ เข้า เจ้าสำนัก รีบบอกไปสิว่า นี่เป็นความลับของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน!
หลี่ฉางโซ่วเร่งเร้าในใจ
ทว่าน่าเสียดายที่ เจ้าสำนักที่ ‘ว่างเปล่า’ จี้อู๋โหย่ว ไม่ได้ยินความคิดของหลี่ฉางโซ่ว เขากลับโบกมือแล้วกล่าวออกมาว่า “โปรดอย่าเอ่ยถึงสมบัติเลย นี่เป็นเพียงวิธีการง่ายๆ ที่ใช้จัดการกับรากฐานค่ายกลเท่านั้น”
เขาพลันเอ่ยเรียก “ฉางโซ่ว”
หลี่ฉางโซ่วลังเลแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์อยู่นี่ขอรับ…”
ทันใดนั้น จิ่วอูยังกล่าวในสิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วตกใจอีกด้วย เมื่อเขายืนขึ้นอย่างชอบธรรมหลังจากนั้น แล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก ฉางโซ่ว ได้ให้วิธีการในการเชื่อมโยงรากฐานค่ายกลกับทางสำนักแล้วขอรับ”
“โอ้?” จี้อู๋โหย่วแย้มยิ้มทันทีแล้วมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว ดวงตาของเขายิ่งดูเบิกบานขึ้น ขณะที่รู้สึกว่า หลี่ฉางโซ่วน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ และยังคิดที่จะรับเขาเป็นศิษย์ “เช่นนั้นก็มอบให้แก่ผู้อาวุโสฉินในภายหลัง!”
จิ่วอูจึงรีบตอบตกลงทันที
ฉินหว่านยิ้มและกล่าวว่า “อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่อาจรับผลประโยชน์ใดได้โดยไม่ตอบแทน ไม่เช่นนั้น จิตเต๋าของข้าย่อมจะไม่สบายใจ”
ขณะที่กล่าว ฉินหว่านก็หยิบขลุ่ยหยกขาวออกมาจากแขนเสื้อของเขา ขลุ่ยหยกนั้นเรืองแสงและมีแสงวาบแห่งจิตวิญญาณอยู่บนนั้น รวมถึงแสงสีเขียวล้อมรอบ ความจริงแล้ว มันเป็นสมบัติวิญญาณที่มีคุณภาพและจิตวิญญาณชั้นเยี่ยม แต่ยังไม่ถึงขอบเขตสมบัติวิญญาณฮุ่ยเทียน!