ประตูปิดได้ไม่นาน สักครู่ก็ปล่อยเข้ามาแล้ว

ครั้งนี้ หยู่เหวินเห้าเชื่อฟังแล้ว อยู่นอกประตูครุ่นคิดอย่างสงบครู่หนึ่ง เหตุผลเดียวที่คิดว่านางโกรธ คือได้พบปะกับฉู่หมิงชุ่ยเป็นการส่วนตัวแล้ว

เขารับปากอย่างเชื่อฟัง “ต่อไป ข้าไม่พบปะกับนางเป็นการส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว”

หยวนชิงหลิงจ้องมองดูเขา พร้อมพูดว่า “ครั้งนี้ข้าไม่ได้หึงจริงๆ และก็ไม่ได้โกรธเจ้าที่ไม่พูดความจริงทั้งหมดกับข้า แต่รู้สึกว่าการรู้จักป้องกันตัวของเจ้ามันยังไม่เพียงพอ แม้ว่าเจ้าจะไม่มีความรู้สึกแบบนั้นกับนางแล้ว แต่ว่าพวกเจ้าเติบโตมาด้วยกัน มากน้อยอย่างไรก็ยังมีความรู้สึกดีๆต่อกันอยู่ นางจะใช้ความรู้สึกตรงนี้ มาทำร้ายเจ้า ใส่ร้ายเจ้า เป็นเรื่องที่ง่ายมาก? บทเรียนจากจวนเจ้าหญิง เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”

หยวนชิงหลิง ใช้ตนเองเปรียบเทียบให้เขาเห็นในเชิงลบพูดตักเตือนเขาอย่างจริงจัง เป็นความตั้งใจดีจริงๆ

หยู่เหวินเห้าซาบซึ้งใจมาก ขณะที่ซาบซึ้งใจ ก็ยังรู้สึกว่านางหน้าไม่อายอีกด้วย

นางยังมีหน้ามาพูดถึงความชอบธรรมของจวนเจ้าหญิงนั้น?

แต่ว่า เขาไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่เพียงตั้งใจรับฟังคำสั่งสอน

จุดนี้ ที่จริงแล้วเวลานั้นเขาก็เคยคิด แม้ว่าด้านนอกจะมีคน แต่นอกจากสวีอีแล้ว ก็มีแต่คนของนาง หากว่าเวลานั้นนางทำอะไรเล็กน้อยลงไป เขาอาจจะเสียชื่อเสียงไปหมดแล้ว

แต่นางก็ใช่ว่าทำไม่ได้ เวลานั้นบางทีอาจเป็นเพราะเจอคำพูดของตัวเองหยุดยั้งไว้

เขาถอดเสื้อผ้าของนางออกทีละชิ้นอย่างว่านอนสอนง่าย พร้อมพูดว่า “พระชายาพูดถูก ต่อไปข้าจะระมัดระวัง ตอนนี้เจ้านอนลงเสียก่อน ใช่ แบบนี้แหละ อย่าดิ้น……”

หยวนชิงหลิงโกรธจนตบไปที่มือของเขา พร้อมพูดว่า “สมองของเจ้ามีสักนาทีไหมที่ไม่คิดเรื่องแบบนั้น?”

“อันไหนบ้าง?” มือไม้เขายุ่งมาก ริมฝีปากก็ยุ่งมากเช่นกัน แต่นางครวญครางเสียงดังมาก

“อื้อๆๆ……” ริมฝีปากนางถูกอุดไว้ จึงทำได้เพียงจ้องตามองไร้เสียงขัดขืน

หลังจากเสร็จภารกิจบนเตียง ทั้งสองนอนกอดกันจนหลับไป

วันรุ่งขึ้น คู่สามีภรรยาทั้งสองต่างออกเดินทาง หยวนชิงหลิงไปบ้านขออ๋องหวย หยู่เหวินเห้ากลับไปที่ทำการปกครอง เตรียมข้าวของเรียบร้อยเพื่อเข้าไปรายงานในพระราชวัง

หลู่เฟยอยู่ในจวนอ๋องหวย ได้ยินว่าอ๋องฉีถูกลอบสังหารเมื่อคืนนี้ ตกใจเป็นอย่างมาก ในความเห็นของเธอ ท่านอ๋องถูกลอบสังหารหลายครั้งติดต่อกันนั้นต้องมีคนก่อการสมรู้ร่วมคิดครั้งใหญ่ โดยเฉพาะนางกังวลว่าหลังจากที่ลูกชายของนางหายดีแล้ว ก็อาจจะประสบภัยพิบัตินี้ด้วย

ดังนั้น จึงตามถามหยวนชิงหลิงไม่หยุด จะให้นางไปถามไถ่หยู่เหวินเห้า ว่ากรมการพระนครจับตัวผู้ก่อการร้ายได้แล้วหรือยัง

หยู่เหวินเห้าเข้าวังเอาเรื่องประตูเมืองและเรื่องที่อ๋องฉีถูกลอบสังหารรายงานให้กับฮ่องเต้หมิงหยวน

เรื่องประตูเมือง เป็นเรื่องที่ฉู่หมิงชุ่ยเตรียมการไม่พร้อม และยื้อเวลาไว้นานเกินไป จึงทำให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น

ส่วนเรื่องลอบสังหาร ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าฉู่หมิงชุ่ยเป็นคนทำ แต่ว่า หยู่เหวินเห้าได้บอกการวิเคราะห์ของตัวเองออกมา

พอฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินแล้ว ก็นิ่งสงบไปครู่หนึ่ง ถึงจะค่อยๆพูดขึ้นว่า “ผู้ได้รับบาดเจ็บที่ประตูเมือง เจ้าไปที่เบิกเงินที่กรมคลังมาก้อนหนึ่ง ใช้สำหรับรักษาอากาศบาดเจ็บ จัดการเรื่องอาหารการกินและจัดการชีวิตความเป็นอยู่ชั่วคราวของพวกเขา ส่วนเรื่องมือลอบสังหาร ให้สืบหาต่อไป การคาดเดาของเจ้าไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้”

หยู่เหวินเห้ารู้ว่าเรื่องลอบสังหารจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ว่า จะจัดการกับเรื่องของประตูเมืองได้อย่างดี? จะอธิบายยังไงดี?

“เสด็จพ่อ เรื่องประตูเมือง คนได้รับบาดเจ็บเยอะขนาดนี้ ต้องชี้แจ้งพวกเขาด้วย เสด็จพ่อคิดว่า…… “ หยู่เหวินเห้าจ้องมองไปที่ฮ่องเต้หมิงหยวน รอเขาพูดตอบ

ที่จริงแล้วไม่ต้องลงโทษอะไร จริงแล้วจิตใต้สำนึกของฉู่หมิงชุ่ยเป็นคนดี เพียงแค่มีพระราชโองการตำหนิ แจ้งว่านางทำงานไม่รอบคอบ แก้ไขปัญหาได้ไม่เหมาะสม และให้นางเสียเงินเพื่อรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ แบบนี้ ถึงจะสามารถสงบความวุ่นวายนี้ได้

ฮ่องเต้หมิงหยวนครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แม่ทัพเฝ้าประตูเมืองในวันนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร?”

“หยวนเจ๋” หยู่เหวินเห้าถามไถ่สถานการณ์จากเขา ทราบถึงชื่อสกุลของเขา สถานการณ์ในพื้นที่เกิดเหตุสามารถควบคุมได้เร็วขนาดนี้ เป็นความดีความชอบของเขา เสด็จพ่อควรที่จะชื่นชมและพระราชทานรางวัลให้กับเขา

ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดด้วยสีหน้าอันซีดเซียวว่า “อืม เอาเรื่องที่เฝ้าระวังความปลอดภัยบกพร่อง เชื่องช้าในการหน้าที่ช่วยเหลือ สั่งให้พักงานรอการสอบสวน”

หยู่เหวินเห้าตื่นตระหนกจนต้องจ้องมองไปที่ฮ่องเต้หมิงหยวน “เสด็จพ่อ หยวนเจ๋มีความดีความชอบ”

“แล้วใครกันที่มีความผิด?” ฮ่องเต้หมิงหยวนจ้องมองไปที่เขาด้วยอารมณ์ไม่ดี

หยู่เหวินเห้าพูดอะไรไม่ออก เรื่องนี้ใครมีความผิด เขาก็พูดไปแล้วไม่ใช่หรือ?

“ไปทำตามคำสั่งของข้า” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว “ไปเถอะ”

หยู่เหวินเห้าส่ายหัว “ไม่ เสด็จพ่อ ข้าไม่สามารถจัดการลงโทษคนที่มีความดีความชอบ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนพูด “เจ้าจะขัดพระราชโองการงั้นหรือ?”

“เสด็จพ่อ” หยู่เหวินเห้าก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขอร้องอย่างจริงจัง “หยวนเจ๋มีความดีความชอบจริงๆ หากลงโทษข้าราชบริพารที่มีความดีความชอบ มีแต่จะสร้างความหดหู่ใจให้กับข้าราชบริพารเท่านั้น”

ฮ่องเต้หมิงหยวนจ้องมองไปที่เขา สายตาบูดบึ้งด้วยความโกรธ “หากเรื่องนี้เจ้าจัดการไม่ได้ ยังมีคนมากมายที่สามารถจัดการได้ เจ้าคิดเอาเองก็แล้วกัน ออกไปซะ”

หยู่เหวินเห้ายังจะพูดอีก มู่หรูกงกงเดินขึ้นมาพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยส่งท่านอ๋อง”

มู่หรูกงกงจ้องสายตาไปที่เขา เตือนเขาว่าไม่ต้องพูดอีกแล้ว

หยู่เหวินเห้าชะงักไปชั่วขณะ รู้นิสัยของเสด็จพ่อ การเผชิญหน้ากับเขาในขณะนี้ อาจเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้เพื่อผลลัพธ์ที่ยุติธรรมให้กับหยวนเจ๋

เขาโค้งคำนับแล้วทูลลา “ข้าขอตัว”

มู่หรูกงกงส่งเขาออกไป พอถึงด้านนอกประตู มู่หรูกงกงกระซิบพูดว่า “วันนี้ฟ้ายังไม่สาง อ๋องฉีก็ใช้คนเข้าวังมารายงาน บอกว่าพระชายาฉีทรงครรภ์แล้ว”

สายตาหยู่เหวินเห้าสงบลง “เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านกงกงมาก ที่แจ้งให้ทราบ”

มู่หรูกงกงถอนหายใจเบาๆ “ท่านอ๋องไปเถอะ หยวนเจ๋คนนั้นกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมชั่วคราว ฮ่องเต้ทราบดี วันหลังรอให้เรื่องนี้สงบ จะต้องได้รับการชดเชยอย่างแน่นอน”

หยู่เหวินเห้าได้เพียงแต่ฝืนยิ้มในใจ คำพูดที่ว่าวันหลังจะชดเชย คำว่าช่วยเหลือล่าช้า มันช่างทำร้ายหัวใจแม่ทัพเสียจริง

เขาไม่ได้กลับที่ทำการปกครอง เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะอธิบายอย่างไรกับคนในที่ทำการปกครอง

สถานการณ์ในวันนั้น ทหารในกรมการพระนครก็เห็นกับตา ว่าหยวนเจ๋ได้ใช้สุดความสามารถแล้วจริงๆ หากว่าหยวนเจ๋ได้รับโทษ คนในกรมการพระนครทั้งหลาย เกรงว่าและก็รู้สึกเหลือเชื่อ

เขาก็ไม่กลับไปที่จวนอ๋อง หยวนชิงหลิงคาดว่าคงตื่นเต้นมากกว่าเขา

ด้วยความเศร้าโศก เลยไปหาเหลิ่งจิ้งเหยียนที่คุกหลวง

เหลิ่งจิ้งเหยียนสวมชุดขาวทั้งชุด พลิ้วไหวเหมือนเทวดาตกสวรรค์ ผิวหน้าก็เนียนดุจหยก ฟังเขาพูดจนจบเรื่องราวโดยที่ไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆ

เขาเตรียมโต๊ะชา แล้วพูดว่า “มาวันนี้ ท่านอ๋องต่างไร้บุตร ตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ยังไม่แน่ชัด มาวันนี้พระชายาฉีมีครรภ์ ในใจของฮ่องเต้คงเอนเอียงไปแล้ว จะแต่งตั้งให้อ๋องฉีเป็นองค์รัชทายาท พระชายาฉีก็จะไม่สามารถแปดเปื้อนอะไรได้อีก เจ้าควรที่จะเข้าใจ”

หยู่เหวินเห้าพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ข้าเข้าใจ แต่ว่า แม้ว่าจะไม่จัดการกับพระชายาฉี ก็ไม่ควรที่จะลงโทษหยวนเจ๋”

“เรื่องนี้ จะต้องมีคนมารับผิดชอบ หยวนเจ๋เป็นแม่ทัพเฝ้าประตูเมือง เขามารับผิดชอบเรื่องนี้ มันเหมาะสมที่สุดแล้ว” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูด

หยู่เหวินเห้าปล่อยวางไม่ได้ “ข้าไม่สามารถจัดการหยวนเจ๋ได้ลงคอ”

เขาเองก็เกิดในครอบครัวแม่ทัพ รู้ว่ากว่าแม่ทัพจะมีชื่อเสียงเรียงนามมีอุปสรรคมากมาย หากว่าบ้านเมืองไม่มีศึกสงคราม แม่ทัพบางคนอาจหยุดอยู่ที่ตำแหน่งปัจจุบันตลอดชีวิต

หากว่าบ้านเมืองมีศึกสงคราม พวกเขาต้องใช้ชีวิต ถึงจะแลกกับโอกาสที่จะได้เลื่อนยศ กี่วิญญาณของทหาร หลังความตายถึงจะได้รับพระราชทานเลื่อนยศตำแหน่ง

เวลานั้น ราษฎรมากมายอยู่ในที่เกิดเหตุ พวกเขาต่างเห็นหยวนเจ๋พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยผู้คน หลอกลวงไม่ได้

หากทำการลงโทษไปแล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องตลกมากขนาดไหน?

“แต่ไหนแต่ไรมาเจ้ามีไหวพริบเสมอ รีบออกความคิดเห็นให้กับข้าหน่อย” หยู่เหวินเห้าจ้องมองไปที่เหลิ่งจิ้งเหยียนราวกับว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองทำตัวสูงส่งแล้วก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

เหลิ่งจิ้งเหยียนจิบชาคำหนึ่ง พูดด้วยความสงบจิตสงบใจ “ไม่ใช่ไม่มีวิธี แต่ว่า มันค่อนข้างไม่ยุติธรรม ก็อยู่ที่เจ้าแล้วว่าจะกล้าหรือไม่”

หยู่เหวินเห้าตบลงไปที่โต๊ะ “มีอะไรไม่กล้า? รีบพูดมา”