ตอนที่ 352 หยั่งเชิง ไม่อาจคาดเดา

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 352 หยั่งเชิง ไม่อาจคาดเดา

คนตระกูลมู่ไปแล้ว ฉีเชียนเข้ามายังเรือนของพระชายาผู้เฒ่า เตะรองเท้านั่งลงบนค่าง[1]

“เสด็จย่า เดือนสิบแล้ว ข้างนอกมีคนสวมเสื้อคลุมแล้ว พื้นด้านล่างของห้องท่านก็ควรจุดไฟได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”

พระชายาผู้เฒ่าโบกปัดมือ เอ่ย “หากเป็นเมื่อก่อน เดือนเก้าก็ก่อไฟแล้ว แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รู้สึกเย็น เจ้าดูสิข้าสวมบางมาก แต่มือยังอุ่นอยู่เลย”

ฉีเชียนยื่นมือออกไปคลำมือของนาง อุ่นอยู่จริงๆ จึงเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ย “แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ยาที่ต้องกินในแต่ละวันก็ต้องกินให้ตรงเวลา”

“อืม” พระชายาผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ดีที่เจ้ากตัญญู มิเช่นนั้นไหนเลยที่ย่าจะสบายใจเช่นนี้ได้”

ฉีเชียนไม่สนใจคุณงามความดีนี้

พระชายาเห็นว่าเขาไม่ได้มีความสนใจนักจึงยื่นมือไปตบหลังมือเขาเบาๆ เอ่ยถาม “คุยกับเด็กสิบห้าไม่ดีหรือ”

ฉีเชียนกระตุกมุมปาก

พระชายาผู้เฒ่าถอนหายใจ เอ่ย “ข้าเห็นว่าเด็กคนนั้นทั้งใจทั้งสายตาล้วนเต็มไปด้วยเจ้า นิสัยก็ดี เจ้า ไม่ยินยอมจริงๆ หรือ”

ฉินหลิวซีกล่าวเอาไว้แม่นเกินไปแล้ว นางถวายฎีกาขอแต่งตั้งซื่อจื่อ ทว่าไม่คิดว่าจะถูกกดข่มกลับมา และไม่รู้ว่าฝ่าบาทคิดเยี่ยงไร เพียงบอกไม่รีบ เป็นครอบเป็นครัวเสียก่อน จากนั้นจึงพระราชทานสมรสและตำแหน่งราชการให้

ตระกูลมู่เองก็เป็นตระกูลศักดิ์ใหญ่ ตระกูลของฮองเฮา ยิ่งเป็นการพระราชทานน้องสาวเชื้อสายหลักของฮองเฮา ฐานะสูงส่ง นับว่าเหมาะสม

เพียงแต่เจ้าเด็กคนนี้กลับไม่ชอบใจนัก

พระชายาผู้เฒ่าลองใจเขา เอ่ย “หากใจเจ้ามีคนอื่น ทั้งไม่ยินยอมจริงๆ ด้วยใบหน้าชรานี้ ย่าจะไปขอไทเฮาให้ยกเลิกสมรสพระราชทานในครั้งนี้เป็นอย่างไร”

ฉีเชียนส่ายศีรษะ “เสด็จย่า ราชโองการสมรสพระราชทานออกมานานแล้ว จะขัดต่อราชโองการ ข้าก็ควรไปร้องขอต่อหน้าฝ่าบาท แต่ข้าพลาดโอกาสนี้ไป ตอนนี้จะไปอีก คงกลายเป็นว่าจวนหนิงอ๋องทำไม่ถูกแล้ว”

พระชายาผู้เฒ่ามองเขาด้วยความสงสาร เด็กคนนี้มีความรับผิดชอบ

นางนึกถึงฉินหลิวซีเด็กคนนั้น เปิดริมฝีปากขึ้นทว่าไม่เอ่ยสิ่งใด เอ่ย “เจ้าเข้าใจก็ดี มู่สิบห้าเป็นเด็กดี ในเมื่อเจ้ารับราชโองการแล้วก็ทำใจเสีย ทำดีกับนาง หลังจากแต่งงานแล้ว มีตระกูลมู่เป็นบ้านพ่อตาแม่ยาย ต่อไปไม่แน่ว่าตำแหน่งซื่อจื่อจะตกลงมาได้”

ฉีเชียนกลับไม่สนใจ ตำแหน่งซื่อจื่อไม่มีทางตกมายังเขา เขามั่นใจอย่างแปลกประหลาด

คิดมาถึงตรงนี้ สายตาของเขาก็มองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปยังทิศทางของเรือนหลัก สีหน้าเย็นชาเรียบนิ่ง

เนิ่นนานเขาจึงถอนสายตากลับมา รู้สึกหงุดหงิด เอ่ยว่า “เสด็จย่าพักผ่อนเถิด ข้าจะไปฝึกวรยุทธ์แล้ว”

“เฮ้อ ให้พวกเขาคอยดูแลให้ดี ฝึกเสร็จอาบน้ำ อย่าได้เป็นไข้เสีย” พระชายาผู้เฒ่ารีบเอ่ย

“พ่ะย่ะค่ะ”

รอจนฉีเชียนไปแล้ว พระชายาผู้เฒ่าจึงเอ่ยกับหมัวหมัวคนสนิทข้างกาย “หลังเชียนเอ๋อร์กลับเมืองหลวงมา ข้าก็ไม่เคยเห็นเขามีความสุขอย่างแท้จริง ยังเป็นตอนที่อยู่หนิงโจวนั้นที่มีความสุข”

หมัวหมัวเปลี่ยนน้ำชาให้นาง เอ่ย “ท่านเอ่ยถูกแล้วเพคะ”

พระชายาผู้เฒ่าถอนหายใจ “น่าเสียดายแล้ว”

เด็กเป็นเด็กดี แต่กลับเป็นสตรีตระกูลฉินที่มีโทษ ยังเป็นเครื่องเซ่นไหว้ความโชคร้ายชิ้นใหญ่ ทั้งเพิ่งเกิดเรื่องไปไม่นาน ผู้ใดกล้าแตะต้องพิษร้ายนี้กันเล่า

คนที่คิดถึงฉินหลิวซีไม่ใช่เพียงฉีเชียนคนเดียว ยังมีอวี้ฉังคงที่กลับถึงตระกูลอย่างปลอดภัยเองก็คิดถึงนางเช่นกัน

ยามกินข้าวคิดถึงนาง ยามอ่านหนังสือก็คิดถึงนาง ยามนี้ในมือกำลังเปิดอ่านหนังสือภาพค่ายยันต์แปดทิศ จ้องมองเหม่อไปยังภาพค่ายกลแปดทวารกุญแจทอง

หากเปลี่ยนเป็นนาง จะวางค่ายอย่างไร ประตูเกิดอย่างไร ประตูตายอย่างไร

ระหว่างกำลังเหม่อลอย ใบหูขยับเบาๆ เขาเอ่ยเรียกเบาๆ “ซื่อฟัง”

ซื่อฟังรีบเดินเข้ามาใกล้ รับหนังสือไปแล้วยืนอยู่หน้าโต๊ะ

ในสายตาของคนในตระกูลทั้งหมด เขาคือดวงตาของอวี้ฉังคง อ่านหนังสือให้เขา

“พี่ใหญ่อยู่ด้านในหรือไม่”

ซือฟังรีบเดินไปยังประตู แหวกม่านออก มองออกไป ยกมือประสานพลางเอ่ย “คุณชายรอง คุณชายของเราอยู่ข้างในขอรับ”

ผู้มาใหม่คืออวี้ลิ่งหลาน บุคคลที่โดดเด่นอีกคนของตระกูลอวี้ หากไม่มีอวี้ฉังคง เขาก็คือคุณชายคนแรกของสกุลอวี้ รับสืบทอดงานของตระกูลอวี้ได้ แน่นอนในสายตาตระกูลอวี้ยามนี้ สำหรับรุ่นของอวี้ฉังคง ก็มีอวี้ลิ่งหลานที่รับธงนี้ไปได้ ใครใช้ให้อวี้ฉังคงเป็นคนตาบอดเล่า

อวี้ลิ่งหลานเป็นบุตรชายคนโตบ้านรอง เป็นบุตรชายของอารองของอวี้ฉังคง อายุน้อยกว่าอวี้ฉังคงหนึ่งปี บางทีในใจอาจคิดแย่งชิงกับอวี้ฉังคงก็เป็นได้ ศิลปะทั้งสี่แขนงสี่หนังสือห้าตำราล้วนปราดเปรื่องเช่นกัน มีความรู้กว้างขวาง เมื่อเทียบกับอวี้ฉังคงดอกไม้เย็นยะเยือกไม่อาจเข้าใกล้ เขาก็คงเป็นน้ำพุร้อน ปลิ้นปล้อนรู้จักเอาตัวรอด อบอุ่นและเป็นกันเอง

อวี้ลิ่งหลานนามรองปั๋วอิ่น คนเรียกว่าคุณชายปั๋วอิ่น มักสวมชุดขาว

ม่านถูกเปิดขึ้น อวี้ลิ่งหลานเดินเข้ามา สายตาเหลือบมองหนังสือในมือของซื่อฟัง เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นอวี้ฉังคงในชุดสีดำนั่งอยู่ ด้านข้างมีกระดานหมากที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เป็นดังเช่นที่ผ่านมา เดินหมากกับตนเอง

อวี้ลิ่งหลานประสานมือคารวะ “ได้ข่าวว่าพี่ใหญ่กลับมา เดินทางราบรื่นดีหรือไม่ขอรับ”

แม้อวี้ฉังคงจะมองไม่เห็น แต่มารยาทที่อวี้ลิ่งหลานควรปฏิบัติก็ไม่เคยบกพร่อง

“โชคดี ราบรื่น นั่งเถิด” อวี้ฉังคงตอบกระชับเสียงเรียบเพียงไม่กี่ตัวอักษร ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่กระดานหมาก

ซื่อฟังยกน้ำชาหนึ่งถ้วยมายังตรงหน้าอวี้ลิ่งหลานแล้วถอยกลับไปยืนด้านข้าง

อวี้ลิ่งหลานเอ่ย “พี่ใหญ่ยังเดินหมากกับตนเองอยู่หรือ มิสู้ให้น้องเล่นกับท่านสักตาหรือไม่”

“ไม่ต้อง เจ้ามีเรื่องใด” อวี้ฉังคงเงยหน้าขึ้นมองมา ดวงตาคู่นั้นยังคงเดิม ราวกับไม่มีจุดรวมสายตา ไร้เกลียวคลื่นไร้ความเคลื่อนไหว

อวี้ลิ่งหลานมองเข้าไปที่ดวงตาของเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้มยินดี “ไม่เป็นไรขอรับ เพียงเห็นว่าพี่ใหญ่กลับมา จึงได้มาหาท่านเท่านั้น”

อวี้ฉังคงหลุบตาลง มือข้างหนึ่งจับหมากดำ วางลงไป มีอีกข้างจับหมากขาว วางลงไปอย่างแม่นยำ ขวางทางเดินของหมากสีดำ

อวี้ลิ่งหลานดวงตาทอประกาย เอ่ย “พี่ใหญ่วางหมากโดยไม่ลังเล แม่นยำยิ่งนัก เหมือนคนมองเห็นเลยขอรับ”

ลมหายใจของซื่อฟังติดขัดเล็กน้อย

อวี้ฉังคงกลับสีหน้าไม่เปลี่ยน ปล่อยร่วงลงพื้น เอ่ยเสียงหยัน “หากเจ้าตาบอดมามากกว่าสิบปี อยู่กับกระดานหมากที่ออกแบบมาเป็นพิเศษทุกวัน เจ้าก็ทำได้”

อวี้ลิ่งหลานรีบเอ่ยขอโทษ “ข้าไม่ได้ตั้งใจตอกย้ำพี่ใหญ่”

อวี้ฉังคงคีบหมากขึ้นมา เอ่ย “ออกไปเถิด”

อวี้ลิ่งหลานเห็นว่าเขาไล่ จำต้องลุกขึ้น พุ่งตัวเข้าไปอยู่ตรงหน้าอวี้ฉังคง มือขยับตัวหมาก “น้องคิดว่าหมากสีขาวตัวนี้เดินทางนี้น่าสนใจกว่า”

เขาเหลือบมองไปทางอวี้ฉังคง อีกฝ่ายเพียงขมวดคิ้ว มีสีหน้าไม่พอใจ ดวงตาไม่ขยับไหวแม้เพียงนิด แม้แต่หางตาก็ไม่มองมา

อวี้ลิ่งหลานจึงขอตัวออกไป

“คุณชาย ข้าน้อยตกใจแทบแย่ขอรับ ข้านึกว่าคุณชายรองดูออกแล้ว” ซื่อฟังตบหน้าอกพลางเอ่ย

อวี้ฉังคงขมวดคิ้ว เอ่ย “เขากำลังหยั่งเชิง เมื่อครู่เจ้าเกือบพลาดแล้ว เกรงว่าคงปิดบังไปได้อีกไม่นาน”

เขาสามารถควบคุมความรู้สึกและสองดวงตาของตน แต่ให้พวกซื่อฟังแสดงละครเกรงว่าคงยาก และกับอวี้ลิ่งหลานนั้น อวี้ฉังคงไม่เคยดูถูกเขา

“เขามีพัฒนาการจริงๆ” อวี้ฉังคงมองอวี้ลิ่งหลานหายออกไปจากประตูเรือน หัวคิ้วขมวดมุ่น ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือไม่ เมื่อครู่อวี้ลิ่งหลานเข้ามาใกล้ เขาสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายแปลกๆ

นิ้วมือเรียวของอวี้ฉังคงนวดดวงตา ทว่าไม่รู้ว่าด้านนอกเรือน อวี้ลิ่งหลานมองเรือนของเขา มุมปากยกยิ้มร้าย “น่าสนใจ”

[1] ค่าง คือเตียงที่สามารถนั่งและนอนได้ ก่อด้วยอิฐของชาวจีนภาคเหนือข้างใต้มีช่องสามารถสุมไฟให้ความอบอุ่นได้