บทที่ 197.4 ทายาทตัวจริงตัวปลอม (4)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 197.4 ทายาทตัวจริงตัวปลอม (4)
“หม่อมฉันไปสืบมาแล้ว ไท่จื่อเฟยยังไม่ลงให้ใครเพคะ” นางกำนัลตอบ

ซูเฟยไม่เข้าใจว่าไท่จื่อเฟยมัวทำอะไรอยู่ โอกาสหาเงินมาเกยตรงหน้าขนาดนี้แล้ว

นางกำนัลเอ่ยต่อ “ในบรรดาบัณฑิตทุกคน มีเพียงแค่อันจวิ้นอ๋องเท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์ของไท่จื่อเฟย แต่ไท่จื่อเฟยมิอาจลงให้อันจวิ้นอ๋องได้เพคะ”

จะว่าไปก็จริงอยู่ อันจวิ้นอ๋องเป็นคนของตระกูลจวง เซียวฮองเฮากับตระกูลจวงเป็นอริกัน หากไท่จื่อเฟยลงให้เขา ก็เท่ากับสะกิดต่อมโมโหของฮองเฮาสินะ

ซูเฟยผู้ไม่เลือกฝ่าย จึงลงเงินให้ใครก็ได้ตามใจ

หลังจากที่กู้เจียวออกมาจากหอชิงเฟิงแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังโรงหมอทันที

หมอซ่งเดินออกมาจากห้องของกู้เฉิงหลินด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เกิดอะไรขึ้น เขายังไม่ยอมไปอีกรึ” กู้เจียวเดินเข้าไปถาม

หมอซ่งส่ายหัว “แผลของเขาสมานดีตั้งนานแล้ว ตัดไหมก็แล้ว ชีพจรก็ปกติ อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”

แม้เขาจะบาดเจ็บ แต่ด้วยความที่อายุยังน้อย กลับไปพักผ่อนที่จวนก็ยังได้ เหตุใดจะต้องมานอนซมอยู่ที่โรงหมอด้วยเล่า

กู้เฉิงหลินไม่ยอมกลับ เหตุผลหลักก็คือเขารับไม่ได้กับการกระทำของอนุหลิง เขาปฏิเสธที่จะกลับไปยังที่ที่เคยมีอนุหลิงอยู่ อีกทั้งไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับอนุหลิงอีกแล้ว

ถ้าเขายังอยู่ที่จวน ปัญหาเหล่านี้จะไม่มีทางหมดไป

แต่จะให้เขาย้ายไปพักข้างนอกก็ไม่ได้ เพราะเหล่าฮูหยินกู้คงไม่ยอมแน่ๆ

ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องพักฟื้นของกู้เฉิงหลิน

ก็พบกับกู้เฉิงหลินที่กำลังนอนตะแคงหันหลังให้ประตู

แม้ในห้องจะไม่สว่างเท่าไหร่ แต่ก็พอดูออกว่าเขาซูบผอมลงไปเยอะเลยทีเดียว

กู้เจียวเดินเข้าไปใกล้ๆ บริเวณเตียง “ถ้าเจ้ายังไม่ไปละก็…”

กู้เฉิงหลินไม่หันแม้แต่นิด ได้แต่ยื่นเงินให้หนึ่งใบ

“ห้องผู้ป่วยมีไว้สำหรับผู้ป่วย…”

เขาหยิบเงินขึ้นมาอีกใบ

“ช่วงนี้โรงหมอคนมาใช้บริการเยอะ…”

เขาหยิบขึ้นมาอีกแปดใบ

หนึ่งใบเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึง

กู้เจียวยื่นมือคว้าเงินหนึ่งพันตำลึง พลางเอ่ย “หายไวๆ ละ”

หมอซ่ง “……”

กู้เจียวที่พอได้เงินมาก็เดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี!

อีกด้านหนึ่ง กู้เฉิงเฟิงที่เพิ่งเลิกเรียน ก็ได้เวลามาที่โรงหมอเพื่อมาเย่มไข้น้องชายเสียที

กิจวัตรที่ผ่านมาของเขาคือทำการบ้านในตอนกลางวัน และทำงานตอนกลางคืน แต่หลังจากที่กู้เฉิงหลินได้รับบาดเจ็บ ก็กลายเป็นทำการบ้านในตอนกลางวัน ดูแลกู้เฉิงหลิน ทำงานตอนกลางคืนสลับกับมาเฝ้ากู้เฉิงหลินไปด้วย

ตอนนี้ร่างกายของกู้เฉิงหลินเริ่มฟื้นฟูแล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเดิม ปฏิเสธที่จะพบปะผู้คน

แม้ความลับของกู้เฉิงเฟิงใกล้จะปิดไว้ไม่อยู่ก็ตาม แต่ความโชคดีก็คือ สภาพของกู้เฉิงหลินในตอนนี้คงไม่สามารถเอาความลับของเขาไปบอกกับใครได้อยู่ดี

กู้เฉิงเฟิงต้องยอมอดหลับอดนอน และทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมยังถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในที่สุดเขาก็หาเงินมาได้หนึ่งพันตำลึง

เพื่อคืนหนี้ก้อนสุดท้าย

พอคืนจบ เขาจะได้ไม่ต้องมาลำบากเช่นนี้อีก!

“น้องสาม รอข้าใช้หนี้หมดก่อนนะ แล้วข้าจะพาเจ้าไปอยู่โรงหมอที่ดีกว่านี้” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยจบ ก็ยื่นมือไปใต้หมอนซึ่งเป็นที่ที่เขาเก็บเงินไว้

เขาล้วงอยู่นานสองนาน

เอ๋ หายไปไหนแล้วเล่า

เขาลองหาอีกรอบ แต่ก็เหมือนเดิม

กู้เฉิงเฟิงหยิบหมอนออกมาแล้วถอดปลอกออก เงินหนึ่งพันตำลึงของเขา เงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา หายไปไหนเสียแล้ว!

กู้เฉิงเฟิงรู้สึกราวกับฟ้าถล่ม “น้องสาม! เงินข้าละ”

วันที่เก้า การสอบด่านแรกได้เริ่มต้นขึ้น

มีทหารเฝ้ายามยืนล้อมรอบสนามสอบตั้งแต่ช่วงเมื่อวานอย่างแน่นหนา ขนาดว่าแม้แต่แมลงตัวเดียวก็มิอาจหลุดลอดเข้าไปด้านในได้

ผู้คุมสอบนำข้อสอบออกจากกล่องที่ปิดสนิท แล้วแจกจ่ายไปยังห้องทดสอบแต่ละห้อง

สนามสอบถูกแบ่งออกเป็นสี่บริเวณ ได้แก่ ตะวันออก ตะวันตก เหนือ และใต้ แต่ละจุดมีผู้คนมากถึงห้าร้อยคน ข้อสอบครั้งนี้จึงมีจำนวนราวสองพันฉบับ

หลังแจกจ่ายข้อสอบแล้ว ผู้เข้าสอบยังไม่สามารถทำข้อสอบได้ จนกว่าเสียงนาฬิกาดังขึ้นสามครั้ง ถึงจะลงมือทำข้อสอบได้

การเก็บข้อสอบก็เช่นกัน ต้องรอให้นาฬิกาดังสามครั้ง จากนั้นทุกคนวางพู่กันลง มิเช่นนั้นจะโดนข้อหาโกงข้อสอบ

ด้วยความที่มีผู้เข้าสอบจำนวนมาก ส่งผลให้จำนวนผู้คุมสอบมีมากเช่นกัน จะมีเจ้าหน้าที่คุมสอบคอยเดินตรวจอยู่เรื่อยๆ คงเป็นเรื่องยากหากใครคิดที่จะโกงข้อสอบ เพราะทุกอย่างถูกควบคุมอย่างรัดกุม

ดูเหมือนอากาศจะเริ่มเย็นลง ซ้ำยังมีพายุหิมะเล็กๆ ในช่วงเช้า

พอลมพัดที เหล่าผู้สอบต่างพากันตัวสั่น แม้กระทั่งไม่มีแรงจะถือพู่กัน

มื้อเช้าของเซียวลิ่วหลังเป็นหมั่นโถวและเนื้ออบแห้งจิ้มกับน้ำพริก รสเผ็ดร้อนจากพริกทำให้เขาเหงื่อออกท่วมตัว แถมมือยังอุ่นอีกด้วย

การสอบด่านแรกคือซื่อชูหวู่จิง มีทั้งโจทย์เติมคำในช่องว่าง และโจทย์ที่ให้ตีความและอธิบาย ซึ่งมีจำนวนข้อเยอะมาก

ผู้ที่ผ่านเข้ามาสู่รอบนี้ได้คือคนที่เก่งที่สุดจากทั่วทุกมุมเมือง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพทางจิตใจหรือความสามารถที่แท้จริง พวกเขาก็ยังดีกว่าระดับโดยรวมของการสอบเทศบาล ความยากของการสอบด่านแรกถือว่าไม่ได้ยากเกินไปสำหรับพวกเขา แต่เป็นไปได้ว่าอาจตกม้าตายเพราะอากาศที่หนาวเกินไป

“ฮัดชิ่ว!”

ตู้รั่วหานจามออกมาอย่างรุนแรง

เมื่อคืนเขาเตะผ้าห่มและตื่นกลางดึก หลังจากนั้น เขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย เขาเวียนหัวและอ่านหัวข้อไม่ได้เลย

“ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!”

พอจามติดๆ กัน ตู้รั่วหานยิ่งรู้สึกมึนหัวหนักกว่าเดิม

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มีหวังได้หลุดโผแน่นอน

ตู้รั่วหานรู้สึกเศร้าในทันใด

เขาจะมายอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าเขาทำไม่ได้ ท่านน้าของเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเล่า

หากเขาไม่รีบได้ดิบได้ดี น้าของเขาก็จะไม่มีวันได้ผงาดขึ้นมาท่ามกลางคนพวกนั้น

ตู้รั่วหานพยายามข่มใจให้ตัวเองตรวจคำถามอีกครั้ง แต่สมองของเขาเริ่มไม่ทำงาน เขาทำมันไม่ได้อีกต่อไป

ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะหาอะไรกินเพื่อกระตุ้นประสาท พอเปิดกระเป๋าออก กระเป๋ายาเล็กๆ ก็หล่นออกมา

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นกระเป๋ายาที่กู้เจียวให้เขาไว้ นางบอกว่าในนี้มียาแก้หวัดและขี้ผึ้งทาผิวหนังอักเสบ ยาแก้หวัดจะต้องทานวันละสามครั้ง ครั้งละสองเม็ด ส่วนขี้ผึ้งสำหรับใช้ภายนอก จะทาเมื่อไหร่ก็ได้

แต่ว่า…ยานี้จะได้ผลจริงหรือ

ถ้ากินแล้วเกิดท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมา มันจะไม่แย่ไปกว่าเดิมรึ

สักพัก ตู้รั่วหานก็พยายามอดทนต่ออีกครึ่งชั่วยาม เวลาช่วงเช้าใกล้จะหมดแล้ว แต่เขายังเขียนกระดาษคำตอบได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่เลย

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงไม่ต่างอะไรกันกับการไม่ทำข้อสอบ

ตู้รั่วหานกัดฟันตัดใจคว้ายาแก้หวัดสองเม็ดขึ้นมา จากนั้นกินแล้วกลืนเข้าไปพร้อมกับน้ำดื่ม!

สถานการณ์ตอนนี้ของเฝิงหลินและหลินเฉิงเย่นับว่ายังดีอยู่ ครั้งนี้ถือเป็นการสอบชุนเหว่ยครั้งแรกของพวกเขา พวกเขายังเด็ก และมีชื่อเสียงจากการเป็นจวี่เหรินอยู่แล้ว ต่อให้สอบตก ก็ไม่ละอายใจ

แน่นอน เซียวลิ่วหลังคาดหวังให้พวกเขาสอบติดไปด้วยกัน โดนเฉพาะกับหลินเฉิงเย่ ด้วยความที่เซียวลิ่วหลังสอนหนังสือให้หลินเฉิงเย่ และในตอนนั้น เขาก็ได้สัญญากับหลินเฉิงเย่ไว้แล้วว่าหากไม่เห็นผลยินดีคืนเงินครึ่งหนึ่ง

เพราะเงินนั่นก็เยอะใช่เล่น สองพันตำลึงเชียวนะ