ตอนที่ 270 มนุษยธรรม ดอกบัวขาวชั้นดี (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 270 มนุษยธรรม ดอกบัวขาวชั้นดี (3)

ท่านหญิงซูซูมองบน “หากมีสตีชั้นสูงเสื่อมเสียชื่อเสียงในสวนดอกท้อ ปีหน้าจะมีสตรีชั้นสูงคนใดกล้ามาร่วมงาน นี่เป็นงานใหญ่ของราชวงศ์และตระกูลชั้นสูง ผู้ใดกล้าทำลาย เชียนเสวี่ย เจ้าหนอเจ้า บางคราเฉลียวฉลาด แต่บางครั้งก็ช่างโง่เขลาเสียจริง…”

ขณะพูดทั้งสองเดินออกมาจากป่าท้อแล้ว ภาพตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกลคือศาลาขนาดใหญ่ ด้านบนเขียนตัวอักษรงดงามดั่งหงส์ร่อนมังกรรำสามตัวอักษร…หอดอกท้อ

ด้านหลังไม่ไกลจากศาลามีบ้านเรือนเรียงราย ด้านหน้าคือถนนขนาดใหญ่ ซ้ายขวาสองข้างทางบนทางเดินมีกระโจมหลายหลัง

เวลานี้ในหอดอกท้อนอกจากมีนางกำนัลยืนอยู่ห้าหกคน ก็ไม่มีใครอื่น

ทว่าภายในกระโจมที่ตั้งอยู่สองข้างทางกลับเต็มไปด้วยผู้คน บ้างก็ยืนบ้างก็นั่ง แต่งกายแตกต่างกัน บ้างสวมชุดสีแดงบ้างสวมชุดสีม่วง บ้างสวมชุดสีเขียวบ้างสวมชุดสีน้ำเงิน เมื่อมองไปทางด้านนั้น ตาลายยิ่งนัก

มั่วเชียนเสวี่ยเดินตามท่านหญิงซูซูมายังกระโจมทางด้านซ้ายที่อยู่ใกล้กับหอดอกท้อมากที่สุด ในกระโจมมีที่นั่งว่างอีกสามสี่ที่พอดี คาดว่าน่าจะเว้นที่นั่งเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

ท่านหญิงซูซูจับมือมั่วเชียนเสวี่ยนั่งลงข้างกายนาง ชี้ไปยังสตรีที่อยู่ในกระโจมฝั่งตรงข้ามแล้วแนะนำให้นางรู้จักเสียงเบา

“สตรีที่สวมชุดสีม่วงคือท่านหญิงซินหรุ่ยบุตรีของอวี้จวิ้นอ๋อง ปกติแล้วสายตาของนางอยู่เหนือศีรษะ…เมื่อคราวก่อนชนมือข้า ถูกข้าสั่งสอนไปคราหนึ่ง…”

“ส่วนสตรีที่สวมชุดสีเหลืองอ่อนคือเซี่ยหว่านอี๋บุตรีตระกูลเซี่ย นางมักจะคิดว่าตนงดงามเหนือทุกคน ทั้งยังอยากจะเป็นฮองเฮาคนต่อไป วางตัวสูงส่งตลอดเวลา แต่ความเป็นจริงเวลานี้อ๋องที่อายุมากสุดก็อายุเพียงสิบเอ็ดเท่านั้น แต่นางในตอนนี้อยู่ในวัยออกเรือนแล้ว แม้ถึงเวลาชิงอ๋องต้องเลือกพระชายา เกรงว่านางคงจะกลายเป็นสตรีแก่ไปแล้ว…ฮ่าๆๆ…”

“คนนั้น…”

ท่านหญิงซูซูกำลังเล่าอย่างสนุกปาก มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากบ้านเรือนเรียงรายที่อยู่ด้านหลัง นำโดยสตรีสวมชุดสีแดง บนศีรษะไม่มีเครื่องหัวมากมายเท่าใดนัก ทว่าทุกชิ้นล้วนงดงาม นางอายุยังไม่มาก แต่สง่างามยิ่งนัก

ยามก้าวเดินแขนเสื้อพริ้วไหว กิริยาสง่าผ่าเผย นางเดินไปหยุดอยู่ตรงกลางศาลา คลี่ยิ้มบางๆ กวาดมองเหล่าสตรีชั้นสูง คล้ายไม่ได้สนใจใคร แต่ในเวลาเดียวกันก็คล้ายกำลังทักทายทุกคน

เมื่อบรรดาสตรีชั้นสูงเห็นนางหยุดยืน พูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง “น้อมทำความเคารพองค์หญิงอวี้เหอเพคะ”

วันนี้คืองานเลี้ยงดอกท้อ แน่นอนว่าสตรีทุกคนต้องทำความเคารพอย่างเต็มพิธีการ มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่มีข้อยกเว้น นางก่นด่าในใจ แล้วทำความเคารพอย่างเต็มพิธีการ

“ลุกขึ้นเถอะ” องค์หญิงอวี้เหอยิ้มบางๆ แล้วผายมือ เหล่าสตรีชั้นสูงกล่าวขอบคุณแล้วลุกขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

หลังจากองค์หญิงเหยียดกายลงนั่ง เหล่าสตรีชั้นสูงก็นั่งลงตามที่นั่งซึ่งได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่แรก นั่งลงไม่นาน นางกำนัลก็ยกน้ำชามาวาง ยกขนมมาให้

ในยุคสมัยนี้มีเครื่องปั้นดินเผาแล้ว แต่ทักษะในการเผาไม่ได้ดีเท่าใดนัก คุณภาพก็ไม่ได้สูง

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เครื่องปั้นดินเผาที่เผาได้ไม่ดีก็พบเจอน้อยมาก อย่างน้อยๆ ชาวบ้านทั่วไปไม่มีคนใดมีปัญญาซื้อใช้ เครื่องปั้นดินเผาลวดลายประณีตต่างๆ มีเพียงตระกูลชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้กัน

แต่เวลานี้น้ำชาและขนมที่นางกำนัลใช้ล้วนเป็นเครื่องปั้นดินเผาสีขาว แม้งานฝีมือจะไม่ขาวและประณีตเทียบเท่ายุคปัจจุบัน แต่ความบริสุทธิ์นั้น ความขาวน้ำนมที่ได้จากงานทำมือแท้ ทำให้ดูแพงและสง่างามมากยิ่งกว่า เป็นชุดน้ำชาที่ประณีตที่สุดที่มั่วเชียนเสวี่ยเคยพบเจอในโลกนี้

เหล่าสตรีชั้นสูงเดินจนเหน็ดเหนื่อย จิบน้ำชากินขนม คำเล็กๆ อย่างสง่างาม

ทุกอย่างงดงามราวกับอยู่ในกลอนกวี ท่ามกลางป่าดอกท้อที่เต็มไปด้วยดอกท้อโปรยปราย องค์หญิงนั่งอยู่ในหอดอกท้อ โดยทางเดินยาวเต็มไปด้วยเหล่าสตรีชั้นสูง

สตรีอยู่ด้วยกัน นอกจากซุบซิบนินทาแล้ว ย่อมไม่ขาดกิจกรรมวัฒนธรรม หลังจากดื่มน้ำชาไปสองสามแก้ว พูดคุยกันเล็กน้อย บรรดาสตรีชั้นสูงก็เปลี่ยนบทสนทนาพูดถึงเรื่องทักษะความสามารถ

อันเอ่อร์เยียนบุตรีตระกูลข้าหลวงปกครองพูดเสนอ “ในปีที่ผ่านมาล้วนแข่งขันศิลปะเพียงสี่แขนงได้แก่พิณ หมากรุก เขียนพู่กันและวาดภาพ สตรีชั้นสูงบางคนที่มีความสามารถอื่นจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ปีนี้เป็นปีแรกที่องค์หญิงอวี้เหอเป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่โตเช่นนี้ เช่นนั้นลองเปลี่ยนดีหรือไม่เพคะ เพิ่มรายการอื่นๆ ขึ้นมา ให้สตรีชั้นสูงทุกคนในงานมีโอกาสแสดงความสามารถของตน”

แม้ข้าหลวงปกครองไม่ได้แซ่เซี่ย แต่ด้านฝีปากในราชสำนักตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ตระกูลเซี่ยพอจะมีอำนาจเล็กน้อย เหตุที่มีอำนาจเพราะตระกูลเซี่ยมีเส้นสาย อีกทั้งสำนักศึกษาภายใต้ชื่อตระกูลเซี่ยก็มีไม่น้อย การที่กล้าเสนอแนะเช่นนี้ ย่อมได้เอื้อนเอ่ยกับองค์หญิงมาก่อนแล้ว องค์หญิงอวี้เหอเป็นเจ้าภาพงานใหญ่ครั้งแรก การแสดงความกรุณา ซื้อใจผู้คุณ เป็นเรื่องที่ไม่อาจขาดได้

ไป๋โย่วเวยบุตรีมหาบัณฑิตพูดคล้อยตาม “คุณหนูอันพูดถูก ลงชื่อตามศิลปะแต่ละแขนง แล้วเลือกจากผลการแสดง ต้องได้ผู้ชนะเจ้าของตราดอกท้อประจำงานเลี้ยงดอกท้ออย่างแน่นอนเพคะ”

การเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย เรื่องที่เป็นประโยชน์ทั้งกับผู้อื่นและกับตนเอง ย่อมมีคนคล้อยตาม

ถานหลิงโหรวบุตรีสายตรงของท่านราชเลขาก็พูดขึ้นเช่นเดียวกัน “ความเป็นจริงเพิ่มการแข่งขันหนึ่งรายการ ก็ทำให้เห็นความสามารถของทุกคนมากขึ้น เป็นความคิดที่ดีจริงๆ…”

“…”

ตราดอกท้อทำให้บรรดาสตรีชั้นสูงพูดคุยกัน มั่วเชียนเสวี่ยหันไปมองท่านหญิงซูซูด้วยความฉงน ท่านหญิงซูซูอธิบายเสียงเบา “ตราดอกท้อคือหยกลวดลายดอกท้อเท่านั้น ไม่มีค่าอะไร มอบให้สตรีชั้นสูงผู้ชนะการแข่งขันศิลปะสี่แขนง มีอยู่เต็มท้องพระคลัง แต่พวกนางกลับแย่งกันเลือดตาแทบกระเด็น น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก”

มั่วเชียนเสวี่ยพูดในใจ ท่านหญิงซูซูฐานันดรศักดิ์สูงสุด ทั้งยังถูกรักและตามใจ ย่อมไม่เห็นตราดอกท้ออะไรนี่อยู่ในสายตา เกรงว่า สำหรับคนนอกตราดอกท้อนี้ ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แสดงตน แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถ

เมื่อมีตราดอกท้อแล้ว ไม่เพียงส่งผลให้คนในตระกูลเห็นค่า แต่ยังเสริมสร้างบารมียามออกไปพบปะผู้คนได้ เกรงว่าจะมีคนมาทาบทามสู่ขอมากขึ้น

ฟังคำพูดของเหล่าสตรีและอันเอ่อร์เยียน องค์หญิงอวี้เหอแลดูอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด คลี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณหนูทั้งหลายล้วนพูดมีเหตุผล โดยเฉพาะคุณหนูอันและคุณหนูไป๋ที่เป็นคนเสนอแนะล้วนเป็นเจ้าของตราดอกท้อเมื่อปีก่อน แต่กลับคิดเผื่อทุกคน เพียงมองก็รู้ทันทีว่าเป็นผู้มีคุณธรรม คุณหนูทั้งหลายคิดว่า ต้องเพิ่มทั้งหมดกี่รายการ จึงจะถือว่ายุติธรรม”

อันเอ่อร์เยียนและไป๋โย่วเวยได้รับคำชมจากองค์หญิง สีหน้าฉายความภาคภูมิใจ รู้สึกอยู่เหนือกว่าสตรีทั้งหลายหนึ่งระดับ

“สามารถเพิ่มด้านการต่อสู้เพคะ ปีที่ผ่านมาบรรดาคุณหนูตระกูลทหาร โดยมากล้วนทำได้เพียงเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ไม่เคยได้รับรางวัล ช่างไม่ยุติธรรมยิ่งนัก”

“สามารถเพิ่มการเขียนกลอน…ในเมื่อเป็นการชมดอกไม้ เช่นนั้นสามารถแข่งขันแต่งกลอนในหัวข้อเกี่ยวกับดอกไม้ได้เพคะ…”

“สามารถเพิ่มการเย็บปักถักร้อย…สำหรับสตรี คุณธรรมสตรีสำคัญเป็นอันดับแรก เย็บปักถักร้อยเป็นอันดับสอง แล้วจะขาดการเย็บปักถักร้อยได้อย่างไร…”

“ทั้งยังสามารถเพิ่ม…”

ทุกคนต่างมีความคิดเห็นต่างกัน ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็น

แม้องค์หญิงอวี้เหออายุยังไม่มาก ทว่าฝึกฝนมาอย่างดี ทุกกิริยาท่าทางของนางล้วนแสดงถึงความน่าเกรงขามของราชวงศ์

นางส่งเสียงในลำคอเล็กน้อย ยกมือขึ้นหยุดการแสดงความคิดเห็น พูดเสียงเคร่งขรึม “ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของทุกคน เช่นนั้นก็เพิ่มสามรายการ เย็บปักถักร้อยใช้เวลามากเกินไป การต่อสู้…ตัดทิ้งไป หยิบจับดาบกระบี่ที่นี่ไม่เหมาะสมเท่าใดนัก อีกทั้งก็ไม่อาจตัดสินคนแพ้ชนะได้ เช่นนั้นเพิ่มการเขียนกลอน ชงชา ร่ายรำสามรายการ ทุกคนคิดเห็นเช่นไร”

เหล่าสตรีชั้นสูงเห็นองค์หญิงตัดสินใจ ต่างรู้สึกว่าปีนี้มีเจ้าของตราหยกเพิ่มขึ้นสามคน เช่นนั้นก็มีความหวังเพิ่มขึ้นบ้าง แล้วจะเห็นต่างได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยเพคะองค์หญิง”

“คุณหนูทั้งหลายไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงอวี้เหอพูดถ่อมตน “งานเลี้ยงดอกท้อคืองานใหญ่ของเทียนฉี คืองานใหญ่ของสตรีอย่างเราๆ ที่ยังไม่ได้ออกเรือน ใช้ความคิดให้มากขึ้นก็เป็นเรื่องสมควร”

บรรยากาศครื้นเครง เหล่าสตรีต่างร้อนใจอยากจะลอง แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่รู้สึกดีใจ