ตอนที่ 243 หวังหรงถูกจัดการ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 243 หวังหรงถูกจัดการ

คู่กรณีไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวังหรง

หวังหรงมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความหวาดกลัว และเริ่มพูดตะกุกตะกัก “ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

หล่อนดูราวกับกำลังร้อนตัว ทั้ง ๆ ที่หลินม่ายและฟางจั๋วหรานยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ

ฟางจั๋วหรานตอบอย่างเย็นชา “ตั้งใจหรือเปล่า เธอรู้อยู่แก่ใจ”

เขาอุ้มหลินม่ายขึ้นไปนั่งบนรถสามล้อแล้วรีบพาแฟนสาวไปที่โรงพยาบาล

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาจัดการกับหวังหรง ความปลอดภัยของคนรักสำคัญที่สุด

พอเห็นว่าฟางจั๋วหรานเป็นห่วงหลินม่ายแค่ไหน หวังหรงก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา รีบขี่จักรยานกลับบ้านอย่างแค้นเคือง

อยู่ ๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งปั่นจักรยานตรงมาทางเธอ

หวังหรงรีบหักหลบ แต่ดันไปชนเข้ากับคู่รักที่กำลังยืนอยู่ด้วยกันเข้า แล้วหล่อนเองก็ล้มด้วยเช่นกัน

ฝ่ายหญิงที่ถูกชนจนล้มเอาแต่ร้องโอดโอย น่าจะกระแทกแรงพอสมควร

พอเห็นแบบนั้นหวังหรงก็รีบลุกขึ้นจากพื้นโดยไม่สนใจความเจ็บปวด ยกจักรยานขึ้นมาจะขี่หลบหนี

ต้องรีบหนีก่อนที่พวกเขาจะมาเรียกร้องค่าเสียหาย ไม่อย่างนั้นมีหวังหมดตัวแน่ ๆ จะไปหาที่ไหนมาจ่าย

แต่ไม่ทันที่จะได้หนีไปไหนชายหนุ่มก็คว้าตัวหล่อนเอาไว้ “เธอตั้งใจชนแล้วหนีเหรอ”

หวังหรงรีบตอบด้วยใบหน้าโศกเศร้า “ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่จะหลบจักรยานอีกคัน”

ชายคนนั้นขึ้นเสียง “ไม่รู้แหละ เธอมาชนฉันก็ต้องจ่ายค่าเสียหายมา”

หญิงสาวอยากจะร้องไห้ เอ่ยตอบอย่างลังเล “ฉัน…ฉันไม่มีเงินติดตัวเลย”

“แต่งตัวดีขนาดนี้จะไม่มีเงินได้ยังไง อย่ามาโกหก” คู่กรณีมองสำรวจหล่อนขึ้นลงไปมา

“ไม่มี ฉันไม่มีเลยสักหยวน”

“งั้นมาให้ค้นดูหน่อยว่าไม่มีจริงไหม?”

อีกฝ่ายคว้าหวังหรงเข้าไปในป่าข้างทางเต็มแรง

หญิงสาวคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกลวนลามเพราะตัวเองแต่งตัวดีและดูบอบบาง

คิดแบบนั้นก็สะดุ้งด้วยความกลัว “คุณ อย่ามาแตะต้องฉันนะ ถ้ากล้าทำแบบนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ”

หวังหรงคิดกับตัวเองว่าอย่างไรก็ต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้แต่งงานกับฟางจั๋วหรานเท่านั้น

มือใหญ่กลับจับศีรษะของหล่อนกระแทกกับต้นไม้ “แค่เพราะไม่มีเงินจ่าย ก็คิดว่าฉันจะลวนลามเธองั้นเหรอ? ฝันอยู่เหรอวะ?”

ศีรษะหล่อนกระแทกต้นไม้อยู่หลายครั้งจนเลือดไหลซึม อีกฝ่ายจึงหยุดมือ

ชายคนนั้นค้นตัวหล่อนจนเจอกระเป๋าสตางค์ แต่กลับพบว่าในนั้นว่างเปล่า ไม่มีเงินอย่างที่หล่อนว่า

เขาเห็นแบบนั้นก็สาปส่ง แต่ก็ริบเอากระเป๋าหนังใบนั้นไปด้วยเพื่อจะเอาไปใช้เอง

จากนั้นก็หันมาถอดนาฬิกาเซี่ยงไฮ้บนข้อมือเล็ก “ขอยึดไอ้นี่ไว้เป็นค่ารักษาแฟนฉันก็แล้วกัน”

นาฬิกาเรือนนั้นเป็นของมีค่าอย่างเดียวที่หล่อนมีอยู่ แม้จะไม่อยากให้แต่ก็ไม่กล้าต่อต้านเขา

ชายคู่กรณีเตือนอย่างเย็นชา “ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”

ว่าจบก็ยกขาเตะบั้นท้ายกลมกลึงของหญิงสาว “ออกไป”

หวังหรงรีบวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว

แต่เมื่ออกมาที่ถนนก็พบว่าจักรยานของตัวเองหายไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น

หล่อนใช้เงินหลายร้อยหยวนกว่าจะซื้อจักรยานยี่ห้อ Phoenix นั่นมาได้ และตอนนี้มันก็หายไปแล้ว ถึงจะรู้สึกแค้นใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรีบวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้

ชายคนนั้นโยนนาฬิกาที่ชิงมาจากหญิงสาวเล่นไปมาอย่างมีความสุข จากนั้นก็มีหนึ่งในเพื่อนสนิทของเฉินเฟิงเดินเข้ามาหา “ตั้งใจจะสั่งสอนยัยนั่นที่จงใจชนหลินม่ายงั้นเหรอ?”

ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วพูดว่า “คนแบบนี้ต้องได้บทเรียนซะบ้าง ฉันทำยัยนั่นหัวแตกเหมือนกันด้วย”

คนสนิทของเฉินเฟิงพยักหน้าอย่างพอใจ “ต่อไปก็ตามดูหลินม่ายแบบอย่าให้คลาดสายตาล่ะ มีคนจ้องจะทำร้ายหล่อนอยู่ ถ้าอยากจะช่วยก็ต้องจับตาดูเอาไว้ให้ดี”

ชายคนนั้นตอบรับอย่างจริงจัง “เข้าใจแล้ว”

ฟางจั๋วหรานไปถึงโรงพยาบาลผู่จี้ อุ้มหลินม่ายขึ้นแนบอกแล้วตรงเข้าไปยังแผนกฉุกเฉิน

แพทย์ฉุกเฉินรีบเข้ามาตรวจอาการอย่างรวดเร็ว เขาบอกกับฟางจั๋วหรานว่า “แผลน่าจะต้องเย็บสามเข็มนะ”

พูดจบก็เริ่มทำการเย็บแผล

ไม่ได้มีการวางยาสลบสำหรับการเย็บแผลที่หน้าผาก เป็นการเย็บแผลแบบสดที่ทำให้รู้สึกเจ็บมาก

ชายหนุ่มเป็นห่วงเธอมากจนหน้าซีดไปหมด เขายื่นมือไปใกล้ปากของเธอ “ถ้าเจ็บจนทนไม่ไหวก็กัดมือผมได้เลย”

หลินม่ายรีบผลักมือเขาออกแล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว “ฉันไม่กลัวความเจ็บแค่นี้หรอกน่า”

ตามที่คาดไว้ เธอไม่ได้กลัวเจ็บ ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วหลังจากถูกเย็บแผลไปสามเข็ม

ฟางจั๋วหรานรู้สึกสะท้อนใจกับเหตุการณ์นี้ เธอต้องผ่านความเจ็บปวดมากมายแค่ไหนถึงได้ไม่รู้สึกอะไรกับบาดแผลนี้

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายยังดูไม่ค่อยสู้ดี เขาก็เลยวางแผนจะให้เธอนอนพักที่ห้องฉุกเฉินสักยี่สิบนาทีแล้วค่อยกลับ

แพทย์หญิงประจำห้องฉุกเฉินคนหนึ่งมองไปที่หลินม่ายแล้วถามฟางจั๋วหราน “อาจารย์ฟาง สาวน้อยคนนี้เป็นอะไรกับคุณเหรอคะ?”

คุณหมอหนุ่มรีบตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด “นี่แฟนผมครับ”

แพทย์หญิงได้ยินคำตอบนั้นก็มองที่หลินม่ายด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็กลับมามองที่ฟางจั๋วหราน ดวงตาของหล่อนจับจ้องไปที่หน้าคนไข้สาวอีกครั้ง

มีเพียงอย่างเดียวที่ผุดขึ้นมาในความคิดของเธอ ผู้หญิงคนนี้ทำบุญอะไรมาถึงได้คนหล่อไร้ที่ติอย่างอาจารย์ฟางมาเป็นแฟน?

แพทย์หญิงคนนั้นดันแว่นของหล่อนขึ้น “เพราะหล่อนเป็นแฟนคุณ งั้นฉันจะได้ไม่ต้องเกรงใจ ตอนนี้เตียงฉุกเฉินมีน้อย มีคนไข้เยอะมาก ฉันว่าแผลของหล่อนไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว คุณพาหล่อนไปพักที่ห้องพักคุณจะดีกว่า”

คุณหมอฟางรับคำ อุ้มหลินม่ายท่าเจ้าสาวไปที่ห้องพักของตัวเอง

หลินม่ายรีบดันตัวเองลงจากอ้อมแขนของเขา “ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก เดินเองได้ค่ะ ไม่ต้องไปห้องพักของคุณก็ได้ กลับไปที่ร้านเลยดีกว่า”

ฟางจั๋วหรานมองเธอเดินไปมาแล้วก็แอบอยากจะให้แฟนสาวบอบบางอ่อนแอเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ บ้าง จะได้ถือโอกาสนั้นดูแลเธออย่างใกล้ชิด

ที่หน้าแผนกผู้ป่วยนอก ชายหนุ่มบอกให้เธอนั่งลงบนรถสามล้อเขาจะได้พาเธอไปส่งที่ร้าน

ในตอนนั้นเองหวังหรงก็เดินกุมหน้าผากตัวเองเข้ามาที่ทางเข้าโรงพยาบาล

หวังหรงเห็นฟางจั๋วหรานก็รู้สึกเหมือนเจอเทวดามาโปรด รีบร้องเรียกเขา “พี่ใหญ่ ฉันหัวแตก พาฉันไปห้องฉุกเฉินทีได้ไหม?”

ชายหนุ่มมองหล่อนอย่างเฉยเมย แม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายมีเลือดไหลออกมาจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจจะช่วยเหลือ

“ฉันเป็นอะไรกับเธอทำไมต้องพาไป เธอทำหลินม่ายหัวแตก ฉันยังไม่ได้เอาผิดเธอเลย ยังจะกล้ามาขออะไรจากฉันอีกงั้นเหรอ?”

หวังหรงเริ่มร้องไห้ “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ? เราเป็นลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกันนะ รักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ”

ระหว่างที่พูดถึงความรักวัยเด็ก หล่อนก็ลอบสังเกตสีหน้าของหลินม่าย

หลินม่ายที่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยในตอนแรก พอเห็นว่ากำลังถูกส่งสายตามุ่งร้ายมาให้ก็รีบหันไปฉะทันที “มองอะไร? คิดว่าจะเอาเรื่องความรักตอนเด็กมาทำให้ฉันทะเลาะกับจั๋วหรานเหรอ ฝันไปเถอะ ความสัมพันธ์ระหว่างเราดีมากๆพยายามยังไงก็ตัดไม่ขาดหรอก”

ฟางจั๋วหรานว่าต่อ “ฉันตัดความสัมพันธ์กับย่าเธอไปแล้ว เราไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้ว ยังจะมาพูดอะไรอีก?”

พูดจบเขาก็ขึ้นขี่สามล้อเตรียมจะพาหลินม่ายออกไป

แฟนสาวของเขากำลังบาดเจ็บ เธอควรรีบกลับไปพักผ่อน

หวังหรงรีบเข้าไปคว้าฟางจั๋วหราน “พี่ใหญ่ ได้โปรด ฉันขอเงินหน่อยได้ไหม ฉันต้องไปห้องฉุกเฉิน ฉันเสียหน้าไม่ได้”

คนตัวสูงสลัดหล่อนออก “เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันสักหน่อย”

หวังหรงถูกผลักจนนั่งกองอยู่ที่พื้น ร้องไห้ออกมาไม่หยุดด้วยความคับแค้นใจ ฟางจั๋วหรานใจร้ายกับหล่อนเกินไปมาก

เมื่อหลินม่ายกลับมาที่ร้านโดยมีผ้าก๊อซสีขาวแปะที่หน้าผาก โจวฉายอวิ๋นก็ตกใจมาก รีบตรงเข้ามาหาคนน้องอย่างประหม่า “เธอทะเลาะเรื่องร้านกับคนอื่นเหรอ โดนทำร้ายมาหรือเปล่า?”

หลี่หมิงเฉิงเอ็ดขึ้นว่า “ฉันบอกเธอแล้วว่าจะไปด้วย แต่เธอก็ไม่ฟัง ดูสิ ฉันไม่ได้ไปด้วยแค่คืนเดียวก็เกิดเรื่องแล้ว”

เขาว่าพลางมองไปทางฟางจั๋วหรานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทางไม่พอใจ ลอบกล่าวโทษคนตัวสูงเงียบ ๆ ว่าทำไมดูแลเธอได้ไม่ดี

หลินม่ายอธิบายว่า “ไม่ใช่แบบนั้น ตอนที่จั๋วหรานพาฉันกลับบ้าน ฉันบังเอิญตกจากสามล้อ เลยทำให้หัวแตก”

โจวฉายอวิ๋นมองที่แผลบนหัวของหลินม่ายอย่างเป็นกังวล แล้วถามฟางจั๋วหรานต่อ “แบบนี้จะเสียโฉมไหมเนี่ย”

คุณหมอหนุ่มไม่ได้ตอบ

แผลค่อนข้างลึก ไม่แน่ใจว่าจะเป็นแผลเป็นหรือเปล่า

เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานเงียบไป ก็รู้ได้ทันทีว่ามีโอกาสจะเกิดแผลเป็น โจวฉายอวิ๋นก็ขมวดคิ้ว

หลินม่ายกลับไม่ได้สนใจมัน บริเวณที่เกิดแผลคือรอยต่อระหว่างหน้าผากกับไรผม ถึงจะเป็นแผลเป็นก็ไม่น่าจะร้ายแรงอะไรนัก

เมื่อหญิงสาวขึ้นไปที่ชั้นบนแล้วเข้าไปในห้องนอน ก็พบว่าลูกสาวหลับสนิทไปแล้ว

หลินม่ายเห็นว่ามีกล่องกระดาษแข็งขนาดใหญ่สองใบในห้อง เธอจึงเปิดมันออกด้วยความสงสัย

ใบหนึ่งเป็นเป็ดอบซอส ส่วนอีกใบเป็นเบคอน

เบคอนมีกลิ่นรมควัน คล้ายว่าจะเป็นเบคอนสูตรหูหนาน

หลินม่ายรู้ว่าฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อของกินพวกนี้มาให้เธอ หญิงสาวก็รู้สึกทั้งไม่สบายใจและหวั่นไหว

เขาไปทำงานไกลบ้าน ทั้งยุ่งทั้งเหนื่อย ยังจะต้องมาคิดเรื่องหาของฝากให้เธออีก

หลังจากอาบน้ำเตรียมจะเข้านอนหญิงสาวก็พบว่ายังมีลังอีกสองใบสูงประมาณหนึ่งฟุตวางอยู่บนโต๊ะ

เธอเปิดมันออกดูก็พบว่ามันคือหินดอกเบญจมาศที่มีเฉพาะที่หูหนาน

บนก้อนหินก้อนหนึ่งมีดอกเบญจมาศบานสะพรั่งเหมือนต้นปาล์มเป็นลวดลายสวยงาม ดูน่าตื่นตาตื่นใจมาก ส่วนอีกก้อนเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศขนาดเล็กกระจายเต็มหนาแน่นราวกับป่าในฤดูใบไม้ร่วง

หลินม่ายยกยิ้มที่มุมปากกับตัวเอง เขาเตรียมแต่ของดี ๆ มาให้เธอตลอดจริง ๆ

ยังมีอีกหนึ่งความประหลาดใจรอเธออยู่ที่เตียงนอน

มีกล่องเครื่องประดับยาววางอยู่ที่ข้างหมอนของเธอ ภายในมีสร้อยข้อมือเงินเส้นหนึ่ง แม้ว่ารูปแบบมันจะดูหรูหราเกินไปหน่อยแต่ก็ต้องยอมรับว่ามันสวยงามมาก

คืนนี้หลินม่ายนอนหลับเต็มตื่น

ถึงจะมีแผลถูกเย็บที่ศีรษะ แต่เธอก็ยังเด็กและสุขภาพแข็งแรงดี

ก่อนเข้านอน โจวฉายอวิ๋นบังคับให้หลินม่ายกินน้ำหวานจากน้ำตาลทรายแดงแก้วใหญ่ ที่ปกติเธอไม่ชอบดื่ม

เพราะอย่างนั้นในเช้าวันต่อมาหญิงสาวเลยตื่นขึ้นมาโดยไร้ความรู้สึกไม่สบายตัวใด ๆ แม่แต่วิงเวียนสักนิดก็ไม่มี

ทันทีที่ลืมตาขึ้น หลินม่ายก็เห็นโต้วโต้วที่นอนอยู่ข้าง ๆ ดวงตากลมของเด็กน้อยกำลังจ้องมองมาที่เธอ จ้องอยู่นานไม่ยอมละสายตาแถมยังเบิกกว้างขึ้น

หลินม่ายลุกจากเตียงแล้วถามว่า “ทำไมลูกเอาแต่มองแม่แบบนั้น แม่ไม่ได้จะกลายร่างเป็นแม่มดซะหน่อย”

เด็กหญิงตัวน้อยยังคงมองแม่ของเธออยู่ “หนูแค่อยากรู้ว่าแม่ยังเจ็บหัวอยู่ไหม”

ถ้าโต้วโต้วไม่ได้พูดขึ้นมาหลินม่ายก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้วว่าตัวเองมีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ เธอยกมือขึ้นแตะที่แผลอย่างระมัดระวัง “แม่หายเจ็บแล้ว”

เมื่อหญิงสาวลงไปชั้นล่าง ก็พบว่าฟางจั๋วหรานมาถึงแล้ว

หลินม่ายถามเขาอย่างไม่สบายใจ “วันนี้วันหยุด ทำไมคุณไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะคะ”

“หน้าผากคุณเจ็บ ผมเป็นห่วงก็เลยรีบมาดู”

ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาใกล้แล้วจ้องมองผ้าก๊อซบนศีรษะเธอ “กินข้าวเช้าแล้วไปเอาผ้าก๊อซออกกัน”

แผลเย็บไม่จำเป็นต้องปิดเอาไว้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะในหน้าร้อนแบบนี้ การปิดแผลไว้นาน ๆ จะทำให้อักเสบได้ง่าย

หลินม่ายพยักหน้าตามแต่โดยดี

เด็กน้อยที่ฟังอยู่ก็กระโดดขึ้นลงแล้วเริ่มขอว่า “หนูอยากไปด้วยค่ะ”

โจวฉายอวิ๋นออกมาจากครัวพร้อมซุปนกพิราบตังกุยพุทราจีนแล้วหันมาพูดกับหลานสาวว่า “โรงพยาบาลไม่ใช่ที่เที่ยวนะ อย่าไปเลย เดี๋ยวป้าเอานกพิราบให้กิน”

พอบอกว่ามีนกพิราบให้กิน โต้วโต้วก็ยอมเปลี่ยนใจอย่างง่ายดาย

หลินม่ายถามโจวฉายอวิ๋นอย่างประหลาดใจ “พี่ไปซื้อนกพิราบจากตลาดมืดเหรอ?”

เธอไม่เคยเห็นนกพิราบขายในตลาดมืดมาก่อน

“เปล่า นกพิราบตัวนี้ไม่ได้มาจากตลาดมืด”

โจวฉายอวิ๋นตักพุทราจีนลูกใหญ่ ตังกุย และซุปนกพิราบส่งให้หลินม่ายพร้อมพยักเพยิดไปทางคุณหมอฟาง

“อาจารย์ฟางไปตามหามาให้ทั้งคืน เขาได้มาสองตัวกับไข่อีกเป็นโหล แถมยังไปหาทั้งตังกุย พุทราจีนมาให้เพื่อให้ฉันทำซุปบำรุงเลือดให้เธอกิน เพราะเห็นว่าเมื่อวานเธอเลือดออก”

เมื่อคืนหลินม่ายหลับสนิทจนไม่รู้เลยว่าคุณหมอฟางเอาของพวกนี้มาให้ในตอนกลางดึก

เธอเริ่มบ่นอย่างลำบากใจ “คุณเองก็ไม่ค่อยจะได้นอน ทำไมต้องลำบากขนาดนี้ ฉันไม่ได้เลือดออกมากขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องหาของมาบำรุงอะไรหรอก”

ชายหนุ่มรู้สึกดีที่แฟนสาวเป็นห่วงเขา นั่นทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

เขายิ้มตอบ “ไม่ลำบากซักหน่อย”

ซุปนกพิราบนั่นอร่อยมากจนเธอต้องขอเติมเพิ่มอีกชาม

หลังจากกินเสร็จฟางจั๋วหรานก็พาหลินม่ายไปที่โรงพยาบาลเพื่อเปิดแผลออก

หมอประจำห้องฉุกเฉินเป็นคนเอาผ้าก๊อซออกให้หลินม่าย

แพทย์ฉุกเฉินเอาผ้าก๊อซออกแล้วตรวจดูแผลของหญิงสาวก่อนจะยืนยันว่า “แผลดูดีเลยครับ”

แค่ทายาไอโอดีนที่แผล ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี

หลินม่ายลุกขึ้นแล้วออกจากห้อง

ฟางจั๋วหรานเข้ามาจับมือเธอแล้วบอกว่า “มากับผมทางนี้” เขาจูงมือเธอมาที่ห้องพักของตัวเอง

หลินม่ายมองอย่างสงสัย “คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”

น่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าห้องพักของแพทย์เป็นสถานที่ที่เสี่ยงจะเกิดข่าวลือไม่ดีได้

“ตัดผมหน้าม้าให้คุณ”

คุณหมอหนุ่มหยิบกรรไกรสำหรับใช้ทางการแพทย์ออกมาจากลิ้นชัก “ถ้ามีหน้าม้าจะได้บังรอยแผลได้”

หลินม่ายหยิบกระจกกลมบานเล็ก ๆ ออกมาส่องดู

แม้ว่ารอยแผลจะอยู่แถว ๆ ไรผม แต่รอยเย็บสามรอยบนหน้าผากนั้นค่อนข้างจะน่ากลัวอยู่นิดหน่อย

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะส่งผลถึงรูปลักษณ์ตัวเองอะไรขนาดนั้น นี่มันแค่เล็กน้อยเอง

หญิงสาวพยักหน้าตอบแฟนหนุ่ม “ได้ งั้นก็ตัดเลยค่ะ”

ฟางจั๋วหรานยกกรรไกรขึ้นมากำลังจะเริ่มตัด แต่หลินม่ายหยุดมือเขาไว้ก่อน “คุณตัดเป็นใช่ไหมนะ ถ้าตัดแล้วไม่สวยล่ะ ฉันว่าฉันไปร้านดีกว่า”

คุณหมอหนุ่มตอบอย่างมั่นใจว่า “ผมตัดอย่างกับมืออาชีพมา 28 ปีแล้ว แค่ตัดผมหน้าม้าทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ”

มือใหญ่เอื้อมมาปรับไหล่ของแฟนสาวให้ตรงเพื่อให้เธอหันหน้ามาทางเขา ใช้หวีไม้ทาบที่เปลือกตาของเธอ และลงมือตัดผมหน้าม้าอย่างระมัดระวังหลังเธอหลับตาลง

หลินม่ายเอ่ยเย้า “อย่าจิ้มตาฉันนะ ถึงสวรรค์จะให้ดวงตาสีดำสนิทกับฉัน แต่ฉันก็ยังต้องใช้มันมองหาแสงสว่าง ยังไม่อยากตาบอด”

ทันทีที่พูดจบ ขนตาของเธอก็ถูกเขากดริมฝีปากจูบลงมาอย่างอ่อนโยน

พยาบาลคนหนึ่งที่รีบร้อนเข้ามาพอดีอย่างไม่ทันระวัง ก็รีบหลบออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับความเศร้าในใจเมื่อเห็นฉากนี้

ตั้งแต่อาจารย์ฟางเข้ามาดูแลแผนกศัลกรรม เขาก็ได้รับความนิยมจากสาว ๆ อย่างท่วมท้นเหมือนกระแสน้ำในแม่น้ำ

หล่อนยังไม่ทันได้เริ่มเดินหน้าจีบเขาเลย ก็ดันถูกคนอื่นคว้าไปครองเสียแล้ว

หลินม่ายใบหน้าเห่อร้อนด้วยความเขินอยู่ในห้องพัก ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี

ฟางจั๋วหรานตัดหน้าม้าให้เธอเสร็จในเวลาไม่นาน

หลินม่ายอายุยังไม่ถึง 18 พอตัดหน้าม้าแล้วก็ทำให้ดูสมเป็นเด็กสาวมากขึ้น

มือเรียวของชายหนุ่มจัดผมหน้าม้าให้เธอ และเริ่มไปแบ่งช่อผมยาวด้านหลังต่อ “เดี๋ยวผมถักเปียสวย ๆ ให้ด้วยดีกว่า”

เขาเป็นคนฉลาดและใช้มืออย่างคล่องแคล่ว สามารถถักเปียตะขาบได้อย่างเรียบร้อยสวยงาม แล้ววางมันลงที่อกของเธอ

ช่างผมหนุ่มเริ่มชื่นชมผลงานของตัวเอง “ถ้ามีดอกมะลิสักสองสามดอกคงสวยมาก”

หลังจากนั้นเขาก็ออกไปจากห้องพักเพื่อไปที่ห้องทำงานของพยาบาล

แม้จะเป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาคกลางของจีน แต่พยาบาลก็มีงานยุ่งมากกว่าหมอเสียอีก

แต่ถึงอย่างนั้น พยาบาลห้องผ่าตัดก็ยังพอจะมีเวลาปลูกต้นมะลิเอาไว้หลายกระถาง ตอนนี้เป็นฤดูฝนที่พวกมันกำลังออกดอกสวยงาม

ฟางจั๋วหรานเข้าไปในห้องทำงานนั้น หยิบกระถางดอกมะลิออกมาจากขอบหน้าต่างต่อหน้าต่อตาพยาบาลกลุ่มหนึ่งด้วยความเร็วราวพายุ

อาศัยช่วงที่พวกหล่อนเผลอก็รีบจู่โจมมันแล้วหนีออกมา แต่ถูกศัลยแพทย์หน้าใหม่คนหนึ่งขวางไว้เสียก่อน

คุณหมอคนนั้นมีสีเศร้าปนเคือง ๆ “หมอมาที่บ้านผมเมื่อคืนแล้วก็เอานกพิราบสองตัวกับไข่อีกเป็นโหลออกไปหน้าตาเฉย ไม่เคยเจอใครหน้าด้านแบบนี้มาก่อนเลย”

ฟางจั๋วหรานตอบด้วยความสงบ “ก็ได้เจอแล้วนี่ไง”

แฟนสาวของเขาต้องได้กินซุปนกพิราบ เพราะอย่างนั้นเขาเลยต้องทำทุกทางเพื่อหามันมา ไม่ว่าจะต้องขายหน้าแค่ไหนก็ตาม

เพื่อเธอแล้ว เขาไม่รู้หรอกว่าความอับอายคืออะไร

ฟางจั๋วหรานกลับมาที่ห้องพักพร้อมดอกมะลิ เสียบพวกมันเข้าไปในเปียของหลินม่าย

เรือนผมงดงามที่ถูกประดับด้วยดอกมะลิในเปียที่ถักอย่างประณีต ทำให้หลินม่ายกลายเป็นเจ้าหญิงน้อยแสนสวยในเทพนิยายทันที

เธอส่องกระจกแล้วยิ้มให้แฟนหนุ่ม “ไม่คิดเลยว่าผู้ชายตัวใหญ่ ๆ ดูหยาบกระด้างแบบคุณจะทำอะไรแบบนี้ได้สวยด้วย”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ไม่ใช่หลินม่ายก็ลำบากหน่อยนะ

พี่หมอดูคลั่งรักนะคะ เพื่อม่ายจื่อแล้วทำได้สารพัดอย่าง

ไหหม่า(海馬)