ตอนที่ 282 ผู้มีความสามารถทางฝีมือ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 282 ผู้มีความสามารถทางฝีมือ

เยียนอวิ๋นเกอนั่งอยู่บนคันนา

ผลผลิตในแปลงนาเติบโตได้ไม่ดีนัก ลักษณะดูเหี่ยวเฉา ไร้ชีวิตชีวา

นางถามเยียนสุย “ข้าจำได้ว่าหลายวันก่อนมีฝนตกลงมาโปรยปราย”

เยียนสุยยิ้มขมขื่น “คุณหนูไม่รู้ เมืองหลวงมีละอองฝนตกลงมาทั้งวัน แต่ทางเรือนพักไม่มีแม้แต่หยดเดียว พื้นที่ห่างไกลออกไปสิบลี้ล้วนมีฝน มีเพียงทางเราที่นอกจากไม่มีฝนแล้ว ยังมีแดดอีกต่างหาก

อากาศปีนี้ก็ประหลาดยิ่งนัก น้ำฝนน้อยยังไม่พอ ยังตกบ้างไม่ตกบ้าง มีครั้งหนึ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือบ่อน้ำที่อยู่ตรงด้านหน้ามีฝนตก แต่บนเนินเขาไม่พบฝนแม้แต่หยดเดียว! พื้นที่แถบเนินเขาไม่มีแม้แต่ฝนโปรยลงมา ทำได้เพียงอาศัยคนแบกน้ำ ลำบากอย่างมาก แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์มากนัก”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ

ยังคงต้องอาศัยสภาพอากาศประทานข้าวให้กิน

ถึงแม้จะเป็นเกษตรกรรมสมัยใหม่ในยุคอนาคต ไม่ว่าผลผลิตจะดีหรือร้าย คุณภาพดีหรือไม่ก็ตาม ก็ยังขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

เมื่อเผชิญหน้ากับธรรมชาติ มนุษย์มักจะไร้หนทางในเวลาส่วนมาก

นางพูดกับเยียนสุย “หากรับน้ำลำบากจริง อีกทั้งยังไม่มีน้ำฝนชโลมเป็นระยะยาว เนินเขาตรงนี้สามารถละทิ้งได้ หรืออาจใช้สำหรับปลูกหญ้าแทน การปลูกหญ้าน่ากังวลน้อยกว่าการปลูกเสบียง หรืออาจเปลี่ยนมาปลูกผลไม้ ต่อไปสามารถนำมาหมักสุราได้”

“ข้าน้อยจะกลับไปปรึกษากับบรรดาบ่าวรับใช้”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ก่อนจะถามขึ้น “ทางผู้เช่าเป็นอย่างไรบ้าง”

“สถานการณ์ดีกว่าปีที่แล้วอย่างมาก หลังจากเข้าฤดูร้อนแล้ว เพียงแต่สภาพอากาศไม่แปรผัน ปีนี้ย่อมสามารถมีผลประกอบการร้อยละเจ็ดสิบ”

อย่างน้อยก็ได้ยินเรื่องที่น่ายินดีหนึ่งเรื่องแล้ว

สถานการณ์ทางนาข้าวดีกว่าบนเนินเขาอย่างมาก

หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ผลผลิตข้าวในปีนี้อาจจะมีปริมาณมาก

หลังจากสำรวจแปลงนาแล้ว เยียนอวิ๋นเกอก็เดินไปตลาด

ตลาดในเรือนพักที่เงียบเหงาไปหนึ่งปีกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกทั้งยังคึกคักยิ่งกว่าปีก่อนอีก

คนซื้อ คนขาย…

ผู้คนเดินควักไขว่กระทบไหล่กัน ส่งผลให้ตลาดต้องขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

พ่อค้าที่มาจากต่างถิ่นพักอยู่ในโรงเตี๊ยมหนานเป่ย พวกเขามักจะเรียกพ่อค้ารายเล็กขึ้นมาในบางครั้งเพื่อซื้อสินค้าท้องถิ่น หรือกับแกล้ม

เยียนอวิ๋นเกอเดินสำรวจอยู่ในตลาดรอบหนึ่ง พร้อมทั้งซื้อน้ำตาลที่ทำจากข้าวมาหนึ่งจิน นางชิมไปหนึ่งคำ ส่วนที่เหลือล้วนโยนให้สาวรับใช้ อาเป่ย

“พวกเจ้าเอาไปกินเถิด!”

รสชาติของน้ำตาลที่ทำจากข้าวนั้นไม่เป็นมิตรต่อเยียนอวิ๋นเกอที่มีรสสัมผัสว่องไวนัก

“น้ำตาลนี้ไม่บริสุทธินัก!”

นางรังเกียจฝีมือการทำน้ำตาลในสมัยนี้อย่างเห็นได้ชัด เพราะมันแย่มาก

อาเป่ยและอาสี่กินอย่างเอร็ดอร่อย “น้ำตาลนี้อร่อย! คุณหนูช่างเลือกกิน จึงไม่ถูกปาก”

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา นางเลือกกินแล้วอย่างไร

นางกลุ้มใจเล็กน้อย “พวกเจ้าว่าเมื่อใดข้าจึงจะแทรกแซงธุรกิจน้ำตาลได้”

อาเป่ยตกใจจนเกือบสำลักน้ำตาลคาปาก

นางกระแอมไอระรัว พูดอย่างรีบร้อน “คุณหนูอย่าได้รีบร้อนเป็นอันขาด พวกเราค่อยเป็นค่อยไป แต่ก่อนคุณหนูก็บอกเอง ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจรีบร้อนได้ กิจการทำน้ำตาล ตามที่คุณหนูพูด แม้มันจะสร้างกำไรได้อย่างมากมาย แต่ก็ไม่อาจแตะต้องได้ง่ายดาย ระวังถูกจู่โจม”

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา

นางรู้เหตุผลดี แต่นางไม่อยากล้มเลิก

สิ่งที่อาเป่ยพูดออกมานั้น นางเป็นคนสรุปเองด้วนซ้ำ

มองดูคนอื่นกินเนื้อ แต่ตนเองไม่ได้ดื่มแม้แต่น้ำแกง ช่างทำใจยากยิ่งนัก

ทั้งที่นางมีฝีมือที่ดีกว่า มีความคิดที่ก้าวหน้ากว่า แต่เพราะความสามารถที่ไม่เพียงพอ ทำได้เพียงข่มตัวเองเอาไว้

บอกตัวเองว่าค่อยเป็นค่อยไป ก้าวไปทีละก้าวอย่างมั่นคง

เป็นชาวนาทำการเพาะปลูก กินกำไรจากพื้นดินอยู่ในพื้นที่ของตัวเองก่อน

ความเสี่ยงสูง ผลกำไรสูง ฝีมือแบบใหม่อย่ารีบร้อนที่จะไปแตะต้อง

เพียงแต่…

อาจเป็นเพราะนางถูกน้ำตาลในวันนี้กระตุ้นเข้าจึงอารมณ์ไม่ดี

น้ำตาลที่รสชาติแย่เช่นนี้ยังกล้าขายในราคาหนึ่งก้วน

ปล้นกันชัดๆ!

เยียนอวิ๋นเกอกินน้ำตาลอีกชิ้น ก่อนจะรังเกียจเหมือนเคย

นางเดินไปดูงานฝีมือเพื่อล้างตาหน่อยดีกว่า

หลังจากล้างตาแล้ว นางจึงมุ่งหน้าไปยังโรงงาน

โรงงานถักทอที่มูลค่าที่สุด วันนี้เปิดทำงานทั้งวัน ทุกคนต่างขยันขันแข็ง

เยียนสุยแนะนำแก่นาง “ชายหนุ่มตรงกลางนั้น ทุกคนต่างเรียกเขาว่าพี่เซิ่น เป็นคนที่ฝีมือดีที่สุดในนี้ แม้แต่สตรีที่ทำงานมาหลายสิบปีก็เทียบเขาไม่ได้ เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านนี้

อีกทั้ง นอกจากการถักทอแล้ว สิ่งอื่นที่ต้องใช้ฝีมือ เขาแค่เรียนก็ทำได้ เมื่อทำได้ก็เชี่ยวชาญ ปลายปีที่แล้ว ร้านผ้าสี่ฤดูได้รับงานรองเท้าหนังมาจำนวนหนึ่ง เขาใช้เวลาเพียงสองวันก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังทำออกมาได้ดียิ่งกว่าเสียอีก รองเท้าหนังที่เขาทำ คุณภาพดี สวมใส่สบาย ค่าแรงของเขาสูงกว่าคนอื่นถึงสองเหวิน”

เป็นคนมีความสามารถ!

เยียนอวิ๋นเกอเกิดความชื่นชมต่อผู้มีความสามารถขึ้นจึงถาม “เขารู้หนังสือหรือไม่”

เยียนสุยส่ายหน้า “น่าเสียดายอย่างมาก เขาไม่รู้หนังสือ หลังจากที่เขามาเรือนพักเขาเพิ่งได้ฝึกเขียนชื่อของตนเอง เรียนรู้ที่จะทำบัญชีแบบง่าย”

เยียนอวิ๋นเกอรีบพูดทันที “ห้องเรียนของหานจงฉีเพิ่มพี่เซิ่นคนนี้เข้าไปด้วย ให้เขาไปศึกษาหนังสือและการทำบัญชีวันละหนึ่งชั่วยามหลังเลิกงาน ต่อไปนี้หากมีผู้มีความสามารถแบบเขา ไม่ต้อบขอขา ล้วนดำเนินการตามแบบนี้”

เยียนสุยมี่เข้าใจนัก “ถึงแม้พี่เซิ่นจะไม่รู้หนังสือ แต่เขาก็สามารถทำงานทุกอย่างได้ดี อีกทั้งหลังจากเลิกงาน เขายังจะรับงานส่วนตัวมาทำเพื่อเก็บเงินอีก ภรรยาของเขาหวังหยวนเหนียนตั้งครรภ์ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต่างต้องการพวกเขาทั้งสองช่วยเหลือ…”

“คนผู้หนึ่งทั้งมีฝีมือ อีกทั้งยังรู้หนังสือ ไม่ดีหรือ ไม่เพียงทำงานหาเงินได้ ยังสามารถสร้างความมั่งคั่งได้อีกด้วย”

เยียนสุยไม่เข้าใจว่าจะใช้ฝีมือสร้างความมั่งคั่งได้อย่างไร เขาเพียงแค่พูดว่าความเป็นจริงนั้นยากลำบาก “พี่เซิ่นใช้เวลาหลังเลิกงานรับงานเพื่อเก็บเงิน”

“เก็บเงินจะสำคัญกว่าการรู้หนังสือหรือ เจ้าอย่าเพิ่งตัดสินใจแทนเขา สายหน่อยเจ้าไปถามเขา ดูว่าเขายอมสละเวลาหนึ่งชั่วยามเรียนหนังสือคิดบัญชีหรือไม่”

เยียนสุยถาม “หากเขาไม่เต็มใจทำอย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “เจ้าหาวิธีโน้มน้าวเขา เชื่อว่าเขาเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไรมีประโยชน์ต่อเขามากที่สุด”

ผู้มีความสามารถทางฝีมือแต่กำเนิดอย่างพี่เซิ่น หากนางไม่พบก็แล้วไป ในเมื่อพบแล้วย่อมไม่พลาด

ต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ พยายามฝึกฝนให้เขามีความสามารถในการทำงานให้เรือนพักในเร็ววัน

เยียนสุยรับปาก “ข้าน้อยจะพยายามโน้มน้าวใจเขา”

“การเรียนหนังสือโดยไม่ต้องเสียเงิน ข้าเชื่อว่าไม่มีคนปกติคนใดที่จะปฏิเสธโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้”

เยียนอวิ๋นเกอรู้ดีว่าความรู้และหนังสือมีคุณค่าเพียงใดในยุคนี้

ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือตำรา ล้วนแล้วแต่ถูกผูกขาดโดยตระกูลขุนนาง

มันเป็นเรื่องที่ยากมากหากบุตรหลานจากครอบครัวยากจนต้องการเรียนหนังสือ

บางทีบนแผ่นดินนี้ อาจมีเพียงเรือนพักร่ำรวยเท่านั้นจะเปิดโอกาสให้ช่างฝีมือได้เรียนหนังสือโดยไม่ต้องเสียเงิน

ตราบใดที่สมองยังดีอยู่ ก็ควรคว้าโอกาสที่หายากนี้เอาไว้

เยียนอวิ๋นเกอตั้งใจเปรียบเทียบความแตกต่างของผ้าผืนที่พี่เซิ่นถักกับผ้าผืนที่คนอื่นถัก

วัสดุแบบเดียวกัน อุปกรณ์แบบเดียวกัน ฝีมือแบบเดียวกัน แต่ผ้าผืนที่พี่เซิ่นถักละเอียดกว่าที่คนอื่นถัก

เมื่อจับคลำ คุณภาพของผ้าผืนทำให้คนรู้สึกสบายอย่างมาก

แม้จะเป็นผ้าป่านที่หยาบกร้าน เขาก็สามารถถักออกมาได้พิเศษกว่า

สมกับเป็นคนที่มีความสามารถ

เยียนสุยพูด “ผ้าผืนที่พี่เซิ่นถัก ไม่ว่าจะเป็นแพรไหม หรือผ้านุ่นล้วนมีคุณภาพดี ราคาที่ขายย่อมสูงกว่า”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “อย่าลืมถามความเห็นเขา บอกเขาว่าโอกาสที่จะได้เรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่าได้พลาดไปเด็ดขาด ฝีมือของเขาดีเพียงนี้ เขาไม่เคยคิดที่จะดัดแปลงเครี่องทอผ้าเลยหรือ ไม่เคยคิดจะใช้ชื่อของเขาตั้งเป็นชื่อของเครื่องทอผ้าใหม่เชลยหรือ นอกจกนี้เขายังสามารถพัฒนาฝีมือในการถักทอ ทำให้การทอผ้าง่ายและสบายมากยิ่งขึ้น ทุกสิ่งนี้ล้วนต้องการความรู้ที่เพียงพอเป็นพื้นฐาน ศึกษาประสบการณ์ของบรรพบุรุษ เจ้าลองคุยกับเขา ข้าเชื่อว่าเขาจะเลือกในสิ่งทีถูกต้อง”

“ข้าน้อยเข้าใจ!”

ชะงักไปสักพัก เยียนสุยจึงกระซิบถาม “คุณหนูคิดว่าพี่เซิ่นมีความสามารถในการพัฒนาเครื่องทอผ้าได้จริงหรือ นอกจากนี้เขายังสามารถพัฒนาฝีมือการทอผ้า”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะออกมา “วิธีล้วนมาจกความคิดของคน เครื่องทอผ้าไม่ได้ถูกเสกขึ้นมากลางอากาศ ล้วนผลิตขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์ ในเมื่อคนสมัยก่อนสามารถผลิตเครื่องทอผ้าขึ้นมาได้ เหตุใดคนรุ่นหลังจึงไม่สามารถพัฒนาได้ ส่วนฝีมือการทอผ้า ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถพัฒนาได้”

“คุณหนูพูดมีเหตุผล”

เยียนสุยเกิดความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมต่อการโน้มน้าวพี่เซิ่นขึ้นมา

ใช้ชื่อของตนเองเป็นชื่อของเครื่องทอผ้าจะเป็นเกียรติถึงเพียงใด มันต้องเป็นประวัติศาสตร์ไปพันปี ต้องถูกคนรุ่นหลังยกยอชื่นชม!

เขาฉวยโอกาสถาม “คุณหนู นับแต่ปีที่แล้วที่เงินเดือนของทุกคนลดลงเหลือร้อยละสามสิบของทุกปีก็คงเงินเดือนนี้ตลอดมายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปีนี้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าปีก่อนไม่น้อย เงินเดือนของทุกคนจะปรับขึ้นได้บ้างหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างมีนับ “พวกเขายุยงให้เจ้ามาถามความเห็นของข้าใช่หรือไม่”

เยียนสุยยิ้มเก้อ “พวกเขาไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าคุณหนู ข้าในฐานะพ่อบ้านใหญ่ของเรือนพัก ย่อมต้องแบกรับหน้าที่นี้”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ยิ้มอย่างเข้าใจ “เงินเดือนจะปรับขึ้นหรือไม่ ปรับขึ้นมากน้อยเพียงใด อีกไม่กี่วันข้าจะแจ้งทุกคนอย่างเป็นทางการ เจ้าให้ทุกคนอย่ารีบร้อน ทำงานของตัวเองให้ดี”

เยียนสุยทำหน้าดีใจ “ขอรับ! ข้าน้อยจะดูแลทุกคนให้ดี!”