บทที่ 257 ลูกเอ๋ย พ่อกับแม่รักเจ้ามากนะ
บทที่ 257 ลูกเอ๋ย พ่อกับแม่รักเจ้ามากนะ
สิ่งที่พุ่งเข้าหาเขาคือเมฆีดำ ภายในเหมือนจะมีหัวของสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงซ่อนอยู่ นัยน์ตามันสีแดงฉาน ดูชั่วร้ายน่ากลัวนัก
ชิงเป่ยถอยไปตามสัญชาตญาณ จากนั้นเรียกพลังสีม่วงอ่อนออกมาสร้างเป็นเกราะคุ้มกาย กันหมอกดำออกไป เขาได้ยินเสียงคล้ายเหล็กถูกความร้อนดังจากตัวเกราะ แต่เจ้านั่นก็เหมือนจะไม่เกรงกลัว ยังคงกระแทกร่างเข้าใส่เกราะไม่หยุด
ชิงเป่ยสีหน้าทะมึน ขมวดคิ้วแน่น นี่มันตัวอะไรกัน?
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังเขาได้หมดร่างเป็นแน่
แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือตัวอะไร ดังนั้นจึงไม่กล้าผลีผลามโจมตี แต่จะนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้ก็ไม่เหมาะ
จังหวะที่เขาเสียสมาธิไปชั่วครู่ ขอบเกราะค่อย ๆ ถูกสิ่งมีชีวิตสีดำกะเทาะคนแตก นัยน์ตากระจ่างของเด็กหนุ่มส่องประกายดำทะมึน จากนั้นรวมเอาเปลวเพลิงสีทองเหลือบแดงขึ้นในฝ่ามือ ก่อนจะซัดเข้าไปยังจุดที่เกราะเริ่มแตก
พริบตาต่อมาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน แม้จะยังเป็นตอนกลางวันแสก ๆ แต่เพลิงสีทองเหลือบแดงกลับส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า
คนที่อยู่ใกล้ที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหน คือม่อจิ่งอวี้กับชิงหลานเฟยที่นั่งอยู่ในศาลาน้อยไม่ไกลนั่นเอง พลังวิญญาณที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดส่งผลให้ชิงหลานเฟยใจสะดุด นางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่ส่องสว่างด้วยแสงเจิดจ้า ก่อนจะมีสีหน้าตกตะลึง “จิ่งอวี้ นั่นมัน….. แสงจากพลังวิญญาณธาตุเปลวอัคคีนี่?”
น้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง อาจเพราะกำลังนางลดลงไปมาก ทำให้นางถึงกับทรงตัวไม่อยู่ไปชั่วขณะ
ม่อจิ่งอวี้จ้องมองไปจุดเดียวกันกับนาง ก่อนจะมีแสงวาดผ่านแวบหนึ่ง “พลังวิญญาณสีทองและสีแดง เป็นธาตุเปลวอัคคีจริง ๆ”
แม้ทั้งคู่จะอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ แต่พลังธาตุที่หายากเช่นนี้ก็แทบไม่มีใครถือครองแล้ว
ชั่วระยะเวลาเจ็ดร้อยปีที่เขามีชีวิตอยู่ก่อนได้พบเฟยเอ๋อร์ เขาไม่เคยพบใครที่มีธาตุเปลวอัคคีมาก่อน
นางได้รับการยกย่องว่าเป็นสตรีที่มีความสามารถเหนือใครบนแดนเมฆาสวรรค์ บรรลุการบำเพ็ญขั้นสูงสุดตั้งแต่ยังอายุได้เพียงสิบเจ็ด จากนั้นมาจึงได้รับอำนาจ สามารถคงความเยาว์นิรันดร์ไว้ได้ แม้เวลาจะผ่านไปนับร้อยปีใบหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป ราวกับถูกหยุดเวลาไว้ ยังคงงดงามดังเดิม เป็นที่อิจฉาของสตรีนับไม่ถ้วน
อีกทั้งยามเกิดยังได้รับพรจากฟ้า ถือครองพลังครบทั้งห้าธาตุ พลังวิญญาณของนางจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก่อเกิดเป็นพลังธาตุใหม่ขึ้นมา
มันถูกกล่าวขานในตำราโบราณอยู่บ้าง ผู้คนรู้เพียงแต่ว่ามันมีชื่อธาตุเปลวอัคคี แสงสีของพลังวิญญาณจะเป็นสีทองเหลือบแดง มอบความสามารถในการฟื้นฟูร่างให้ผู้ใช้พลัง และเลือดจากผู้ถือครองธาตุเปลวอัคคียังใช้รักษาคนอื่นได้อีกด้วย หากคนคนนั้นยังหายใจอยู่ ก็ยังมีโอกาสใช้เลือดรักษาให้หายได้
ตอนนี้นอกจากเฟยเอ๋อร์แล้ว ยังมีอีกคนที่ครอบครองธาตุเปลวอัคคีปรากฏตัวขึ้น แต่จากที่เห็นแล้ว ธาตุเปลวอัคคีของคนผู้นั้นยังไม่แข็งแกร่งเต็มที่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้ผลเบาบางเช่นนั้น
เขาเคยเห็นยามเฟยเอ๋อร์เรียกพลังธาตุเปลวอัคคีมาก่อน ได้เห็นพลังกล้าแกร่งของมันสำแดงสู่สายตามาแล้ว ได้แต่กล่าวว่ามันน่าเกรงขามมากจริง ๆ
ทว่าในใจนางต่างจากม่อจิ่งอวี้นัก เมื่อชิงหลานเฟยสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันแสนคุ้นเคย ในใจนางไม่ใช่ความตกตะลึง ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่านางอีกแล้ว ทั่วใต้หล้านี้ นอกจากนาง ธาตุเปลวอัคคีเช่นนางก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นอีก
คนที่สามารถมีธาตุเปลวอัคคี คงจะต้องคลอดออกจากร่างนางเพียงเท่านั้น ต้องมีสายเลือดของนางไหลเวียนอยู่ในร่าง
ชิงหลานเฟยพลันนัยน์ตาแดงก่ำทันใด นางไม่อาจอธิบายให้บุรุษข้างกายฟังได้เมื่อสองก้าวค่อย ๆ นำพาร่างนางตรงเข้าไปหาแสงสว่างจ้านั่นโดยไม่ทันรู้ตัว
ที่อีกด้านหนึ่ง ชิงเป่ยเพียงเรียกพลังธาตุเปลวอัคคีมาเล็กน้อยเพื่อบีบให้หมอกดำถอยไปเท่านั้น เจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดดูเหมือนจะเกรงกลัวมันมาก มันล่าถอยไปแล้วสลายหายไปไม่เหลือร่องรอยไว้
“…..”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยนก้มหน้าลงมองฝ่ามือตน ในใจก็คิดว่าหรือตนจะก่อเรื่องเข้าแล้ว เจ้านั่นอาจจะเป็นตัวอะไรสักอย่างที่สำนักเซียนแพทย์เอาไว้ใช้เฝ้าระวังผู้บุกรุก แต่เขากลับสังหารพวกมันไปกว่าครึ่ง
เอาเถอะ เขาจะบอกขอโทษแล้วยอมรับผิด อย่างไรเขาก็เป็นคนที่ไป๋จือเยี่ยนพามา หากจะมีใครโทษเขา อีกฝ่ายก็คงช่วยเหลือตนเป็นแน่
คิดได้แล้วก็ไม่กังวลอะไรมากอีก จากนั้นจึงง่วนอยู่กับการคิดหาทางกลับ แต่จังหวะที่เงยหน้าขึ้น กลับสบตาเจ้ากับนัยน์ตาอ่อนโยนคู่หนึ่งที่ชุ่มไปด้วยสิ่งที่น่าจะเป็นน้ำตา
นางคือหญิงสาวหน้าตาสะสวยงดงามคนหนึ่งในชุดสีแดงราวกับยามพลบค่ำ ทำให้ทิวทัศน์งดงามรอบกายกลายเป็นเพียงภาพประกอบ นางห่างออกไปเพียงสิบก้าว กำลังยืนมองเขาอยู่เงียบ ๆ
ชิงเป่ยเลิกคิ้วประหลาดใจ รู้สึกสับสนเล็กน้อย
สตรีผู้นี้มองแล้วคุ้นตาอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยพบนางมาก่อน
สองเท้าที่หมายจะเดินจากไปพลันหยุดนิ่ง
คนทั้งสองยืนจ้องหน้ากันอยู่เช่นนั้น ระยะห่างไม่ได้ไกลกันมากมาย
“เจ้าคือ….. เสี่ยวเป่ยหรือ?” ชิงหลานเฟยถามเสียงลังเล นัยน์ตาแดงก่ำ
ชิงเป่ยจึงชะงักไป “แล้วท่าน…..”
เขายังไม่ลืมว่านี่คือแดนเมฆาสวรรค์ เป็นแดนสูงกว่าแดนมุกหยก แล้วจะมีใครรู้จักเขาได้?
แต่สตรีผู้นี้ไม่เหมือนอยากทำร้ายเขา อีกทั้ง….. นางยังให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าสบายใจอีกต่างหาก
ชิงหลานเฟยจึงคลี่ยิ้มออกมาในพลัน “เด็กน้อย พลังที่เจ้าเรียกออกมาเมื่อครู่….. คือธาตุเปลวอัคคีงั้นหรือ?”
“ท่านรู้ได้อย่างไรกัน?” ชิงเป่ยเบิกตากว้าง สีหน้าเริ่มมีแววระแวดระวังทันใด
ชิงอวี่บอกว่าพลังธาตุของพวกเขาต้องเก็บเป็นความลับ หากไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ห้ามเผยพลังให้คนอื่นเห็น แต่เมื่อครู่เขาเรียกมันออกมาเพียงนิด แต่กลับมีคนรู้ว่าเป็นมันได้
ชิงหลานเฟยมองใบหน้าเด็กหนุ่มที่เหมือนลูกกวางระแวดระวังภัยแล้ว ใจนางก็เจ็บปวดอยู่แวบหนึ่ง นางยังคงรอยยิ้มไว้พลางเอ่ยคำ “รู้หรือไม่ว่าธาตุเปลวอัคคีมาจากไหน?”
“เริ่มแรกมันปรากฏขึ้นจากการผ่าเหล่าของพลังวิญญาณ จากนั้นพลังธาตุทั้งหลายก็ถูกสร้างขึ้น ทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์ ไม่มีใครมีพลังวิญญาณเป็นธาตุนี้อีก” สีหน้าชิงหลานเฟยยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น “ทั้งเจ้าและพี่สาวเจ้ามีธาตุเปลวอัคคีในร่าง นั่นก็เพราะพวกเจ้าเป็นผู้สืบสายเลือด”
สิ้นคำนาง ชิงเป่ยก็ราวกับถูกพลังซัดใส่อย่างแรง ใบหน้าซีดขาวไปทันที “ท่าน….”
ริมฝีปากเขาขยับ แต่กลับไร้คำออกมา เพียงแต่ยืนมองนางบื้อใบ้เช่นนั้น ไม่อาจดึงสติกลับมาได้
พริบตาต่อมา สตรีที่อยู่ห่างออกไปสิบก้าวพลันมาปรากฏที่เบื้องหน้า ก่อนจะอ้าแขนเข้ามาดึงเขาเข้าอ้อมกอดอ่อนโยนนั่น น้ำเสียงไพเราะแหบพร่าเล็กน้อยเอ่ยขึ้น “เด็กน้อย ในที่สุดแม่ก็ได้พบเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เจ้าเติบโตมาปลอดภัยดี นับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตทีเดียว…..”
จนมาอยู่ในอ้อมกอดของนางแล้ว ชิงเป่ยยังยืนตกใจอยู่เช่นนั้น
เกิดอะไรขึ้นกัน?
ท่านแม่หรือ? เขาได้ยินผิดไปหรือไม่??
เขาพลันดึงสติได้ ก่อนจะบิดตัวออกจากอ้อมแขนนางโดยเร็ว ใบหน้ายังมีแววตกตะลึงก่อนเอ่ยถามขึ้น “ท่านจะบอกว่าท่านคือท่านแม่ของข้าหรือ?”
“เจ้าหนู เจ้าพูดกับท่านแม่แบบนั้นได้อย่างไรกัน? เรื่องเช่นนี้มันจะหลอกกันได้หรือ!”
เห็นแม่ลูกได้กลับมาพบกันแล้ว ม่อจิ่งอวี้ก็ไม่คิดอยากรบกวนช่วงเวลาอ่อนโยนเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นสตรีที่คนรักนัยน์ตาแดงก่ำ ดูเศร้าโศกเสียใจเมื่อเจ้าหนูกลับสงสัยตัวตนของนาง ม่อจิ่งอวี้ก็อดก้าวเท้าขึ้นเอ่ยคำไม่ได้
ชิงเป่ยเห็นบุรุษที่พลันปรากฏตัวขึ้นก็ตกตะลึงอีกครา แต่เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลานั่นแล้วก็อดตกอยู่ในภวังค์อีกครั้งหนึ่งไม่ได้
นั่นก็เพราะใบหน้าที่มีนัยน์ตาหงส์เรียวยาวแฉลบขึ้นนั้นคล้ายคลึงกับเขามาก อีกทั้งยังแววตามีเสน่ห์อย่างร้ายกาจเช่นนั้นยังเหมือนชิงอวี่มากกว่าเขาเสียอีก
เมื่อคิดถึงชิงอวี่ สายตาก็เบนกลับมามองสตรีในชุดแดง เมื่อมองดูดี ๆ แล้วก็พบว่านางหน้าตาเหมือนชิงอวี่มาก
แต่เมื่อเทียบความงามไร้ที่ติของนางแล้ว ชิงอวี่มีเสน่ห์ชั่วร้ายมากกว่า เหมือนกับคนสองคนที่มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่แปลกที่เขามองนางว่าดูคุ้นตานัก ก็เพราะนางหน้าตาเหมือนชิงอวี่มากนี่เอง
และตอนนั้นเองที่เขามีใบหน้าซับซ้อน ปากก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “พวกท่าน….. เป็นท่านพ่อท่านแม่ของข้าจริง ๆ”
โหลวจวินเหยาคงรู้เป็นแน่ว่าทั้งสองอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงสั่งให้ไป๋จือเยี่ยนพาเขามาที่นี่ เพื่อให้ครอบครัวได้กลับมาพบกัน!
แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันด้วยสถานการณ์เช่นนี้
เขารู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงโหยหาความรักสักเสี้ยวหนึ่งจากเยี่ยนซู่มาโดยตลอด แต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของตน ความโหยหานั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป ไม่คิดอยากให้เยี่ยนซู่เห็นค่าในตัวตนอีก
โชคยังดีที่เขามีชิงอวี่คอยเคียงข้างมาโดยตลอด
ดังนั้นเมื่อถึงตอนนี้ที่ท่านพ่อท่านแม่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี
เห็นเด็กหนุ่มดูตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก ม่อจิ่งอวี้จึงถอนหายใจเบา ๆ เขาเป็นบุรุษคนหนึ่ง ดังนั้นจึงสื่อสารออกมาแบบบุรุษด้วยกัน เขากำหมัดขึ้นกระแทกไหล่เด็กหนุ่มเบา ๆ “พ่อกับแม่ทำให้พวกเจ้าผิดหวังแล้ว แต่เจ้าก็รู้ว่าพวกเราไร้ทางเลือก ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนที่จะทอดทิ้งเลือดเนื้อตนเองลงหรอก”
ร่างผอมของชิงเป่ยเกร็งขึ้นทันที เขากำมือแน่น แต่ยังไม่เอ่ยอะไรออกมา
เห็นเขาเป็นเช่นนั้น ชิงหลานเฟยก็แทบใจสลาย แต่นางก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดปลอบเขาอย่างไร
ม่อจิ่งอวี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือใหญ่ขึ้นลูบศีรษะเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยเสียงเบาขึ้น “เด็กโง่ อย่างน้อยเจ้าก็ควรตอบสักคำไม่ใช่หรือ? ไม่เห็นหรือว่าท่านแม่ของเจ้าเสียใจแค่ไหน ใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้วนั่น? ให้โอกาสพ่อกับแม่ได้ชดใช้ความผิด จากนี้ไปครอบครัวเราจะไม่แยกจากกันอีก ดีหรือไม่?”
อีกฝ่ายพูดจบ ชิงเป่ยถึงได้ตอบสนอง เขาหันไปมองชิงหลานเฟย เห็นว่าตานางแดงก่ำเคล้าน้ำตา มองเขาด้วยสายตาโหยหามีแววคาดหวัง เขาจึงค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้นาง “ท่านแม่ อย่าร้อง…..”
หากแต่คำว่าท่านแม่เบา ๆ จากเด็กหนุ่มกลับทำปราการในใจชิงหลานเฟยพังทลายลง น้ำตานางไหลพรากออกมาอย่างไม่อาจหยุดได้
ไม่มีใครรู้ว่ายามนางได้ยินว่าลูก ๆ ทั้งสองที่นางสละไปเพื่อช่วยจิ่งอวี้เมื่อครานั้นยังมีชีวิตอยู่ นางรู้สึกมีความสุขและปีติยินดีเพียงไหน
ไม่ใช่ว่านางไม่รักลูก แต่ครานั้นนางทำได้เพียงเท่านั้น จำต้องตัดสินใจทำเรื่องใจสลายลงไป
จังหวะที่นางได้ยินชิงเป่ยเรียกว่าท่านแม่ นางก็รู้สึกว่าไม่มีเรื่องใดจะสำคัญกับนางมากกว่านี้อีกแล้ว