หัวใจของซูอันถึงกับเต้นผิดจังหวะ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถหลอกผู้เฒ่ามี่ ด้วยข้อแก้ตัวเดียวกันกับที่เขาใช้กับฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูได้ ในบรรดาทุกคนในตระกูลฉู่ คนเดียวที่รู้สถานการณ์ของซูอันดีที่สุดคือ ผู้เฒ่ามี่ อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วก่อนที่เขาจะเริ่มต้นเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ
“เจ้าพัฒนาระดับการบ่มเพาะรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร!!” เมื่อเห็นว่าซูอันไม่ตอบ ผู้เฒ่ามี่ก็ทวนคำถามของเขาซ้ำอีกครั้ง แต่น้ำเสียงของเขารอบนี้แฝงไปด้วยความไม่พอใจเนื่องจากซูอันไม่ยอมตอบกลับ
“ข้าคิดว่าเป็นเพราะข้าอาจจะยังอายุน้อยข้าก็เลยบ่มเพาะได้เร็วขึ้นหรือเปล่า?” ซูอันพยายามหาข้อแก้ตัว
อย่างไรก็ตาม คำตอบนี้ดูเหมือนจะยิ่งทำให้ผู้เฒ่ามี่ไม่พอใจ เขาจ้องไปที่ซูอันด้วยสายตาเย็นชายิ่งกว่าเดิม
ใบหน้าของซูอันร้อนขึ้น ข้อแก้ตัวนี้ฟังดูไร้สาระแม้แต่กับเขา ดังนั้นเขาจึงไตร่ตรองอีกครั้งก่อนจะตอบว่า “ที่สถาบันจันทร์กระจ่างได้มอบหินพลังชี่ให้กับข้าเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการบ่มเพาะ…”
แต่ก่อนที่ซูอันจะพูดจบ ผู้เฒ่ามี่ก็พูดแทรกขึ้นเสียงแข็ง “ถึงแม้จะใช้หินพลังชี่เจ้าก็ไม่มีทางที่จะก้าวหน้าได้รวดเร็วขนาดนี้! นอกจากนี้ วิชาวัฏจักรหงส์อมตะ ยังอาศัยการถูกสร้างความเสียหายเป็นหลักเพื่อเพิ่มระดับการบ่มเพาะของผู้ฝึก ดังนั้นต่อให้เจ้ามีหินพลังชี่กองเท่าภูเขา เจ้าก็ไม่สามารถใช้มันเสริมความแข็งแกร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกับคนทั่วไป!”
ซูอันประหลาดใจที่ได้ยินคำพูดนี้ คำพูดของผู้เฒ่ามี่ไม่ได้ถูกต้องสักเท่าไหร่ที่บอกว่าหินพลังชี่มีประสิทธิผลที่จำกัดเพราะว่าในความเป็นจริงสำหรับเขาแล้วมันใช้ไม่ได้ผลเลยต่างหาก!
หรือว่าจะเป็นไปได้ไหมที่ระบบคีย์บอร์ดได้เปลี่ยน วิชาวัฏจักรหงส์อมตะ ให้แตกต่างไปจากเดิมเพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของเขาซึ่งท้ายที่สุดมันกลับกลายเป็นว่าเขาจะเพิ่มระดับการบ่มเพาะได้ก็ต่อเมื่อโดนทุบตีหรือกินผลไม้พลังชี่เท่านั้น
แต่เมื่อคิดลึกลงไปเขาก็รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มันก็ไม่ได้แย่นักเพราะสำหรับเขา ผลไม้พลังชี่นั้นหาได้ง่ายกว่าหินพลังชี่มาก…
ในขณะที่ซูอันกำลังฟุ้งซ่าน ในที่สุดผู้เฒ่ามี่ก็หมดความอดทน เขาเอื้อมมือไปจับมือซูอันเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของเด็กหนุ่มอย่างละเอียด…
ในตอนแรก ซูอันยังคงรู้สึกลำพองใจที่เพิ่งเอาชนะผู้บ่มเพาะได้สองคนติดกันบนเวที แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหดหู่เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถหลบหลีกการคว้ามือจากผู้เฒ่ามี่ได้แม้แต่น้อย เขาพยายามชักแขนของเขากลับ แต่มือของผู้เฒ่ามี่กลับเป็นเหมือนคีมเหล็กที่หนีบเขาเอาไว้แน่นจนไม่ว่าจะดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด!
‘บ้าเอ๊ย! ตาแก่คนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่!?’ ซูอันคิดในใจอย่างตื่นตระหนก
“หืม?” ผู้เฒ่ามี่อุทานด้วยความประหลาดใจ เขากรีดเล็บของตัวเองไปที่ปลายนิ้วของซูอันอย่างรวดเร็วและบีบเลือดหยดเล็ก ๆ ออกมา
เขานำหยดเลือดมาสูดกลิ่นและแค่เพียงชั่วอึดใจเดียวร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตกตะลึง เขามองไปที่ซูอันด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อพร้อมกันนั้นเขาอุทานขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “พรสวรรค์ระดับเลิศล้ำ?!”
หัวใจของซูอันเต้นผิดจังหวะ เขาจำคำเตือนที่เจียงลั่วฝูได้ให้ไว้เกี่ยวกับพรสวรรค์ของเขาเองที่ไม่ควรเปิดเผยต่อผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้และตอบกลับว่า “พรสวรรค์ระดับเลิศล้ำคืออะไร?”
อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่ามี่เพิกเฉยต่อคำพูดของเขาและเอื้อมมือมาคว้าคอเสื้อของเขาด้วยดวงตาที่ร้อนรนพร้อมกับถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานนี้?”
เขามั่นใจว่าเมื่อเดือนที่แล้วพรสวรรค์ของซูอันอยู่ที่ระดับต่ำแน่นอน…ทว่าวันนี้มันกลับกลายเป็นพรสวรรค์ระดับเลิศล้ำแบบนี้เขาจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะซ่อนความลับนี้ต่อผู้เฒ่ามี่ ดังนั้นเขาจึงรีบแก้ตัวและพูดว่า “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้าคิดว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับผลไม้ป่าที่ข้ากินไปครั้งล่าสุดแถว ๆ เขตชานเมือง”
“ผลไม้ป่าอะไร?” ผู้เฒ่ามี่ถาม “หน้าตาเป็นยังไงอธิบายให้ข้าฟัง”
“เอ่อ…” ซูอันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “มันมีรูปร่างเป็นวงรี ภายนอกเป็นสีแดง ผลของมันถูกปกคลุมด้วยอะไรบางอย่างที่คล้ายเกล็ดแต่มีลักษณะปลายแหลมยื่นออกมา ผลมีเปลือกหนาและเนื้อของมันเป็นสีแดง มีเศษคล้าย ๆ เมล็ดงาสีดำเล็ก ๆ จำนวนมากฝังอยู่ในเนื้อของมัน…”
เมื่อนึกภาพผลไม้ตามคำอธิบายของซูอัน ผู้เฒ่ามี่ก็เริ่มครุ่นคิดในใจ อาจจะเป็นผลเกล็ดดาราในตำนานรึเปล่า? ไม่สิ ไม่ถูกต้อง สีของเนื้อผลเกล็ดดาราไม่ใช่สีแดง…หรือว่ามันจะเป็นผลเมฆาเลือดศักดิ์สิทธิ์? แต่เอ…รูปร่างภายนอกของมันก็ไม่ใช่อีก มันจะเป็นอะไรได้บ้างนา…”
ซูอันเกือบจะระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักของผู้เฒ่ามี่…
‘เจ้าคงเป็นพระเจ้าแน่นอนถ้าเจ้ารู้ว่ามันคืออะไร! ฮ่า ๆๆ! มันคือ ‘แก้วมังกร’ ผลไม้สุดธรรมดาจากชีวิตที่แล้วของข้าต่างหากโว้ย!’
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะโชคดีได้พบกับสิ่งอัศจรรย์โดยบังเอิญ ผลไม้ที่เจ้ากินไปมันจะต้องมีสรรพคุณทำให้พรสวรรค์ในร่างของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าสมบัติระดับนี้กลับคงอยู่ในภูเขามังกรซ่อน” ผู้เฒ่ามี่เอ่ยขึ้น
ซูอันหัวเราะเบาๆ “ข้าเดาว่าคนอ่อนแอมักจะได้รับการชดเชยด้วยโชคของพวกเขา”
รอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แก่ชราของผู้เฒ่ามี่ เขาตบไหล่ของซูอันและกล่าวว่า “วิเศษมาก ยิ่งความสามารถของเจ้าสูงเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งมีกำลังใจมากขึ้นเท่านั้น!”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เป็นห่วงข้า!” ซูอันตอบกลับพร้อมกับมองไปที่ปลายนิ้วของเขาเองที่ยังคงมีเลือดซึมอยู่นี้ในขณะนี้และประเมิน ผู้เฒ่ามี่ ว่าน่าจะไม่ใช่คนที่เขาไว้ใจได้สักเท่าไหร่ จากความร้อนรนและรอยยิ้มที่แฝงความชั่วร้ายเมื่อครู่มันทำให้เขาคิดว่าไม่มีใครที่จะเสียสละถ่ายทอดคำสอนของตัวเองให้แก่คนแปลกหน้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร…
“วันนี้เจ้าไม่ได้ใช้วิชาร่างก้าวทานตะวันในการประลองใช่ไหม?” ผู้เฒ่ามี่ถามขึ้น
“ข้าไม่ได้ใช้…ข้าใช้รูปแบบที่ท่านดัดแปลงให้ข้าแค่เท่านั้นซึ่งมันดูเหมือนว่าเกินพอแล้ว” หากเป็นก่อนหน้านี้ซูอันอาจสารภาพว่าเขาใช้ วิชาร่างก้าวทานตะวันในวินาทีสุดท้ายเพื่อจัดการกับหยวนเหวินจี้ แต่พอมาตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถไว้ใจผู้เฒ่ามี่ได้อีกต่อไป…
“ก็ดีๆ” ผู้เฒ่ามี่ตอบพร้อมพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาไม่สงสัยอะไรในเรื่องนี้เพราะเขาคิดว่าทักษะการเคลื่อนไหวที่เขาดัดแปลงจากวิชาร่างก้าวทานตะวันให้ซูอันนั้นมันน่าจะมากเกินพอที่จะรับมือกับผู้บ่มเพาะระดับต่ำส่วนใหญ่ “เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนเถอะ”
หลังจากพูดจบแล้ว ผู้เฒ่ามี่ก็ค่อย ๆ เดินออกไป แม้ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของเขาจะช้า ๆ แต่แค่เพียงครู่เดียวร่างของเขาก็หายวับไปจากสายตาซะแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ซูอันก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก การปรากฏตัวของผู้เฒ่ามี่ทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างไม่น่าเชื่อ…
ดูเหมือนว่าเขาต้องเตรียมมาตรการรับมือผู้เฒ่ามี่…
ดูเหมือนว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดกลับอยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดซะงั้น! ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้จากผู้เฒ่ามี่นั้นยิ่งใหญ่กว่าที่เขารู้สึกจากหยวนเจิ้งฉู่หรือผู้บ่มเพาะระดับสูงคนอื่น ๆ ที่ต้องการจะฆ่าเขาให้ตายในวันนี้ซะอีก สิ่งนี้พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าผู้เฒ่ามี่น่าจะเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และนี่ทำให้ซูอันรู้สึกหนักใจมากขึ้นกว่าเดิม…
เขาถอนหายใจยาวอีกจากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปปิดประตู
ตามธรรมเนียม ซูอันจะเริ่มด้วยการล้างมือและหน้า แต่ตอนนี้เขาอยากจะทำให้โชคเขาดีขึ้นกว่าเดิม ในระหว่างทางกลับมาคฤหาสน์ตระกูลฉู่เขาจึงแวะซื้อน้ำหอมและธูปมาเพื่อยกระดับพิธีกรรม
เขามั่นใจว่าเทพธิดาแห่งโชคลาภจะส่องสว่างแก่บรรดาผู้ที่เตรียมพร้อมมากกว่า!
เมื่อการเตรียมการทั้งหมดเสร็จสิ้น ซูอันเริ่มการสุ่มรางวัลของเขาทันที นับจากรอบที่แล้วที่เขาสุ่มรางวัลไปจนคะแนนหมดตอนนี้คะแนนความโกรธแค้นของเขาสะสมเพิ่มขึ้นมาใหม่เป็น 58,835 คะแนนซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากฝูงชนที่เขาเคยยั่วยุ แน่นอนว่าการยั่วยุคนหมู่มากย่อมได้ผลมากกว่าการทำให้คน ๆ เดียวโมโห!
ข้าควรกอดขาของเจียงลั่วฝูในที่สาธารณะในครั้งต่อไปดีไหม?
ซูอันขจัดความคิดนั้นออกจากหัวอย่างรวดเร็วเพราะเขามั่นใจหากทำแบบนั้นเขาคงได้ตายก่อนเอาคะแนนความโกรธมาใช้แน่ๆ
เขาสุ่มรางวัลด้วยความคาดหวังแต่น่าเสียดายที่รอบนี้เขาไม่ได้อะไรพิเศษเลย ทั้งหมดที่เขาได้คือผลไม้พลังชี่ 59 ผลซึ่งค่อนข้างน่าผิดหวังแม้ว่าจะไม่ได้หลุดโผจากสิ่งที่คิดเอาไว้อยู่แล้วสักเท่าไหร่ เขากลืน ผลไม้พลังชี่ ไปจนหมดและนั่นทำให้อักขระตัวที่4เติมไปได้ประมาณหนึ่งในสาม
เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาคือระดับ 3 ขั้น 4 เท่านั้น แต่จำนวนคะแนนความโกรธแค้นที่เขาต้องใช้เพื่อฝ่าฟันไปให้ถึงถึงดวงดาวนั้นมันมหาศาลจนเขาเริ่มท้อ เขานึกไม่ออกเลยว่าจะทำได้อย่างไรต่อไปดีกับการต้องหาคะแนนความโกรธแค้นให้เพียงพอสำหรับการเพิ่มระดับในครั้งต่อ ๆ ไป
ทันใดนั้น มีคนมาเคาะประตูห้องของเขา และเสียงประจบประแจงของ เฉิงโซวผิงก็ดังขึ้น “นายน้อย…พวกเราเอาตั๋วเดิมพันไปแลกเงินกันเถอะ!”