บทที่ 267 ความเป็นห่วงของเสี่ยวเป่า

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 267 ความเป็นห่วงของเสี่ยวเป่า

บทที่ 267 ความเป็นห่วงของเสี่ยวเป่า

เล่ากันว่าหลังจากกลับบ้านวันนั้น นายน้อยแห่งตระกูลแม่ทัพเรือก็ถูกทุบตี ใบหน้าเขียวช้ำซ้ำยังบวมเสียจนมารดาแทบจำไม่ได้

หลังจากได้ยินข่าวนี้แล้ว ฮูหยินและฮูหยินเฒ่าแห่งจวนแม่ทัพเรือก็รีบตรงเข้าไปห้ามปราม ยามปกตินายน้อยผู้นี้มักได้รับความรักความเอ็นดู ทุกครั้งที่เขาก่อเรื่อง หากไม่ใช่เรื่องร้ายแรง สตรีทั้งสองคนก็มักออกหน้าปกป้อง

แต่ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไร แม่ทัพเรือก็ยืนกรานที่จะสั่งสอนบทเรียนให้บุตรชายที่ไม่รู้จักแยกแยะของตนให้จงได้ แม้ว่าภรรยาและมารดาของเขามาด้วยตนเองก็ไม่อาจห้ามปราม

สุดท้ายเมื่อเห็นว่าพวกนางยังคงยืนกรานปกป้อง แม่ทัพเรือจึงกำไม้เรียวในมือแน่น เอ่ยเล่าเรื่องโง่เขลาที่บุตรชายได้กระทำลงไป อีกทั้งเพราะเหตุนี้ยังทำให้เขาเกือบจะต้องสูญเสียตำแหน่งขุนนางไป

คราวนี้สตรีทั้งสองนางจึงยอมหลีกทางแต่โดยดี

สูญเสียตำแหน่งขุนนางนับเป็นเรื่องเล็ก ทว่าหากถูกจับไปทั้งครอบครัวไม่มีเว้นเหมือนเจ้ากรมคลังนับเป็นเรื่องใหญ่

ตี… เช่นนี้จำเป็นต้องตี!

สตรีทั้งสองหยุดปกป้อง ซ้ำยังหยิบไม้เรียวขึ้นมาลงมือด้วยตนเอง

“ไอ้ลูกไม่รักดี หญิงงามในจวนไม่มีให้ชื่นชมหรืออย่างไร หากไม่มีเจ้าไปหอนางโลมก็ได้ บิดาของเจ้ายังไม่กล้าแตะต้องคนที่หนานจ้าวส่งมา แต่เจ้ากลับกล้าเก็บเอาไว้ ข้าจะตีตัวหายนะเช่นเจ้าให้ตายเสีย!”

“นับแต่วันนี้ไป เงินที่นายน้อยรองถือได้จะต้องรวมแล้วไม่เกินห้าตำลึง หลังจากนี้ข้าจะให้พ่อบ้านคอยจับตาดู ลูกเอ๋ย เจ้าโยนเขาเข้าไปฝึกฝนในค่ายทหารก็ได้ แต่อย่าให้เขาออกไปด้านนอกอีก!”

แม่ทัพเรือ “…”

คุณชายรอง “…”

ดุร้าย…เมื่อสตรีดุร้ายขึ้นมา บุรุษก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้จริง ๆ

สตรีทั้งสองเองก็เสียขวัญเช่นเดียวกัน ดูชะตากรรมของเจ้ากรมคลังเสีย หากทั้งครอบครัวต้องเดือดร้อนเพราะคนเพียงคนเดียว เกรงว่าเมื่อลงนรกไปคงถูกเหล่าบรรพบุรุษทุบตีอย่างหนักเป็นแน่

คุณชายรองจวนแม่ทัพเรือส่งเสียงร้องโอดโอยจากการถูกตี เดิมทีคิดว่าท่านย่าและมารดามาก็เพื่อช่วยเหลือตน ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะมาทุบตีเขาเช่นนี้

เขานั้นชื่นชอบคนงาม ยามปกติก็เพียงแค่เจ้าชู้เสเพล ไม่ได้ก่อเรื่องร้ายแรงแต่อย่างใด ผู้ใดเล่าจะคิดว่าครั้งนี้เกือบทำให้ทั้งตระกูลต้องประสบกับหายนะ

ทว่าก่อนที่จะถูกโยนเข้าไปในค่ายทหาร เขายังต้องไปหาหมอปีศาจเพื่อตรวจดูว่าภายในร่างกายมีหนอนกู่อยู่หรือไม่ จะได้รีบจัดการเสียก่อน

ยามนี้อย่าได้พูดถึงคนงามเลย เขาชิงชังหนานจ้าวเข้ากระดููกดำ คำว่าคนงามกลายเป็นเงามืดในจิตใจไปเรียบร้อย

เรื่องสนุกของจวนแม่ทัพเรือ มีหนานกงหลี หนานกงฉีโม่ และเจี่ยเจินปีนกำแพงเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งวัน หลังจากนั้นเมื่อแม่ทัพเรือได้ทราบเรื่องนี้เข้า เขาก็โกรธเกรี้ยวจนแทบกระอักเลือด

พวกท่าน คนหนึ่งเป็นอ๋อง คนหนึ่งองค์ชาย อีกคนก็หมอปีศาจผู้ลึกลับ ไยไม่ทำตัวดังเช่นที่คนปกติเขาทำกัน!

สิ่งที่แม่ทัพเรือไม่รู้ก็คือพวกเขาไม่เพียงแต่จะทำในสิ่งที่คนปกติไม่ทำ ทว่ายังนำเรื่องนี้ไปพูดคุยสนุกปากต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ กระทั่งเสี่ยวเป่าเองก็ได้ฟังเรื่องนี้ด้วย

แน่นอนว่าเมื่อนางอยู่ด้วย พวกหนานกงหลีจึงเล่าเพียงแค่ว่าคุณชายรองแห่งจวนแม่ทัพเรือถูกทุบตีเช่นไร

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “น่าสงสารมาก”

แม้เด็กน้อยจะสงสาร ทว่าก็ไม่ได้ทำให้นางอยากหยุดฟังต่อแม้แต่น้อย

หนานกงสือเยวียน “เรื่องเหล่านี้ต้องลำบากท่านหมอเจี่ยแล้ว”

เจี่ยเจินลูบเคราของตน “ขอเพียงแค่ไม่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าเท่าของฝ่าบาท กับกู่ธรรมดาอื่น ๆ กระหม่อมล้วนมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง”

หมอปีศาจเช่นเขาไม่ใช่เพียงแค่อัจฉริยะ แต่เป็นปีศาจ

เจี่ยเจินไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในยุคสมัยนี้ยาและพิษถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ร่ำเรียนด้านยาก็เชี่ยวชาญยาไม่ช่ำชองพิษ ร่ำเรียนด้านพิษก็เชี่ยวชาญพิษไม่ได้เก่งกาจทางยา หนึ่งช่วยคน อีกหนึ่งทำลาย แบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน

ทว่าเจี่ยเจินนั้นเป็นคนหัวขบถผู้หนึ่ง ไม่สนใจปฏิบัติตามขนบ เขาเรียนรู้ทั้งยาและพิษจนช่ำชอง ซ้ำยังเรียนวิชาแปลกประหลาดหาพบได้ยากอย่างพิษกู่ด้วย

แต่วิชาหนอนคุณไสยโดยทั่วไปแล้วจะสืบทอดแบบรุ่นสู่รุ่น ทำให้เจี่ยเจินต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการเรียนรู้สิ่งนี้

หลังจากแก้ไขภัยร้ายที่แอบแฝงอยู่ได้แล้ว หนานกงสือเยวียนก็ยังคงไม่แต่งตั้งเจ้ากรมคลังคนใหม่ แต่ส่งมอบให้องค์ชายใหญ่อย่างหนานกงฉีซิวรับไปดูแลชั่วคราว

สิ่งแรกที่หนานกงฉีซิวทำเมื่อเข้ารับช่วงต่อก็คือ ตรวจค้นและยึดทรัพย์สินของเจ้ากรมคลัง

ส่วนหนานกงฉีโม่นั้นกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวออกเดินทาง การค้าขายแลกเปลี่ยนกับชนเผ่าทั้งสามจำเป็นต้องมีผู้ควบคุม ภาระงานส่วนนี้ถูกส่งมอบให้อยู่ในมือของเขา ดังนั้นจึงต้องกลับไป

ช่วงนี้เสี่ยวเป่าเองก็กำลังยุ่ง นางพาพี่สามวิ่งโร่ออกไปทุกวัน ลึกลับเสียจนผู้อื่นไม่รู้ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ ตัวนางเองก็ยังไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ด้วย!

เป็นเช่นนี้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน จนกระทั่งถึงเวลาสองวันก่อนที่หนานกงฉีโม่จะออกเดินทาง ในที่สุดเรื่องที่เสี่ยวเป่าแอบทำก็เสร็จเรียบร้อย

มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางวิ่งไปกี่แห่งหนในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา นางกับพี่ชายไปเรียนรู้การทำเครื่องเคลือบจากผู้เชี่ยวชาญ ตามหาสีที่สามารถเคลือบลงบนเครื่องลายครามได้ ทุกวันล้วนเนื้อตัวมอมแมม

แต่สิ่งที่นางทำขึ้นมาหาใช่เครื่องลายครามไม่…

“พี่รอง ท่านเอาเสื้อขนสัตว์เหล่านี้ไปด้วย ยังมีถุงมือ ผ้าพันคอ หมวก…”

เสี่ยวเป่าเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว ก่อนจะส่งของที่เตรียมไว้ให้พี่รองทีละชิ้น ๆ จนกองพะเนิน

“ยังมีเมล็ดข้าวสาลี นี่เป็นอันเดียวกับเมล็ดชุดแรกที่เสี่ยวเป่าใช้ปลูก รอจนถึงฤดูใบไม้ผลิพี่รองก็สามารถนำมันออกไปปลูกได้ พวกมันล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอด ยังมีเมล็ดหญ้างอกงาม พวกมันล้วนปลูกได้ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่หาดินธรรมดาให้ก็สามารถเติบโตงอกงาม ส่วนนี่คือมันเทศ ท่านยังจำวิธีการปลูกที่บอกได้หรือไม่”

หนานกงฉีโม่กำลังจะตอบ ทว่าเสี่ยวเป่าไม่คิดรอ นางยัดกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรใส่มืออีกฝ่าย

“จำได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญ เสี่ยวเป่าขอให้พี่ใหญ่ช่วยเขียนให้แล้ว วิธีการปลูกข้าวสาลีเองก็เขียนเอาไว้ด้วย ใช่แล้ว พี่ใหญ่บอกว่าชายแดนเองก็เลี้ยงหมู จำ…อื้อ อื้อ…”

คำพูดหลังจากนั้นไม่อาจเอ่ยออกมา หนานกงฉีโม่รู้ว่านางต้องการจะพูดสิ่งใดจึงปิดปากนางเอาไว้ก่อน เพราะไม่อยากได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากเจ้าก้อนแป้งที่แสนน่ารักนุ่มนิ่ม

“ข้าจำได้ ไม่จำเป็นต้องบอก”

แม้จะดูไร้มนุษยธรรมไปบ้าง แต่…หมูที่ถูกตอนนั้นเติบโตได้ดีกว่าหมูที่ไม่ได้ถูกตอนจริง ๆ มันกินได้เพิ่มขึ้นทำให้มีเนื้ออ้วนท้วนสมบูรณ์ แม้จะยังไม่โตเต็มที่ก็ได้เนื้อจำนวนมากแล้ว สำหรับพวกเขา เนื้อเป็นสิ่งที่ชวนให้ยินดีปรีดาเป็นอย่างมาก

ดังนั้น…การตอนหมูจึงเป็นเรื่องไร้มนุษย์ธรรมที่จำเป็นต้องทำ

เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะพยักหน้าแสดงให้เห็นว่าตนเข้าใจแล้ว

เมื่อหนานกงฉีโม่ปล่อยมือ เด็กน้อยก็เริ่มอ้าปากพูดเจื้อยแจ้วอีกครั้ง

“ท่านพี่ ข้ายังเตรียมเฉ่าเหมยไว้ให้ด้วย ครั้งนี้ไม่อาจนำกระถางเฉ่าเหมยไปด้วยได้ ไม่เช่นนั้นมันคงแข็งตายระหว่างทาง ดังนั้นเสี่ยวเป่าเลยทำเฉ่าเหมยกวน เฉ่าเหมยอบแห้ง และก็ขนมอบเฉ่าเหมยไว้ให้ท่าน!”

“เสี่ยวเป่าให้พ่อครัวหลวงทำขนมอบออกมาหลายรสชาติ หากท่านพี่หิวระหว่างทางก็หยิบมันขึ้นมากินได้ ข้ายังบอกให้พ่อครัวทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ท่านด้วย แม้จะเก็บไว้ได้เพียงหนึ่งเดือน แต่มันเป็นอาหารง่าย ๆ ที่กินได้สะดวกมาก ยังไม่หมด ๆ ข้าแอบเอาสุราสิบไหจากท่านพ่อมาให้ด้วย”

หนานกงฉีโม่ตาเป็นประกายเมื่อได้ยินคำว่าสุรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าเป็นส่วนแบ่งมาจากเสด็จพ่อ ทว่า…

“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคือสิ่งใด”

พวกเขาเคยได้ลิ้มลองขนมอบ หลังจากกินเข้าไปแล้ว ความคิดแรกที่แล่นวาบเข้ามาก็คือของสิ่งนี้เหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกลยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังได้รู้จากเสี่ยวเป่า ว่าขนมอบสามารถเก็บเอาไว้ได้ประมาณครึ่งเดือนหากปิดเก็บอย่างดี

พวกเขาพลันคิดถึงเรื่องการเดินทัพเป็นสิ่งแรกทันที