ตอนที่ 366 สะใภ้หวังระเบิดอารมณ์
สะใภ้หวังและฉินหลิวซีกลับมายังเรือนของตนเองแล้ว เอ่ย “เป็นเพราะช่วงนี้ข้ายุ่งมากเกินไป ถึงไม่รู้ว่านางป่วยเพียงนี้”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่ใช่ความผิดของท่าน เป็นเพราะตัวนางดื้อรั้นเอง ทำให้ตนเองเป็นแบบนั้น โทษใครไม่ได้เจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังถอนหายใจออกมา มองคิ้วของฉินหลิวซีที่ขมวดมุ่น รู้ว่านางเกลียดเรื่องแบบนี้จึงเอ่ย “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องเหล่านี้ ข้าจะจัดการให้ดี จริงสิ ที่ร้านทำผลไม้เชื่อมออกมาหลายชนิด เจ้าลองชิมดูสิ”
นางเปิดห่อผลไม้เชื่อมที่ใช้กระดาษมันห่อกลับมา ให้ฉินหลิวซีได้ชิมแต่ละอย่าง
ฉินหลิวซีกัดลูกเหมยดองเคี้ยวอยู่ในปากหนึ่งลูก เปรี้ยวๆ หวานๆ ทั้งยังมีเค็มนิดๆ อบอวลไปทั่วทั้งปาก ทำให้นางหรี่ตาลง เคี้ยวเนื้อเหมย คายเมล็ดออกมา เอ่ย “ใช่รสชาตินี้ ทำออกมาได้ดีเลยเจ้าค่ะ”
“โชคดีที่มีช่างฝีมือสองคนที่เจ้าพามา ฝีมือดีมาก ทั้งพวกเรายังมีสูตร วัตถุดิบก็เพียงพอ จึงทำออกมาได้แล้วมิใช่หรือ” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ทำออกมาหลายรสชาติ ข้าคิดว่าตอนนี้เดือนสิบแล้ว อีกสองเดือนก็ต้องฉลองข้ามปีแล้ว บางคนเริ่มเตรียมของขวัญวันปีใหม่ แม้ผลไม้เชื่อมจะยังมีไม่หลากหลาย แต่เปิดร้านตอนนี้แล้วค่อยๆ ทำสูตรใหม่ออกมาเรื่อยๆ ตามความนิยมของของขวัญปีใหม่ ไม่แน่ร้านอาจมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างก็เป็นได้”
“นี่เป็นกิจการของตระกูลฉิน ท่านตัดสินใจเถิดเจ้าค่ะ”
ฟังน้ำเสียงที่ห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด ความดีใจของสะใภ้หวังจืดจางลงไปหลายส่วนทันใด รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ทว่ายังคงยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าช่วยดูฤกษ์มงคลเปิดร้านได้หรือไม่”
เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ฉินหลิวซีไม่ได้ปฏิเสธ ไม่นานก็นับวันฤกษ์ดีออกมาได้ ก็คือวันที่สิบสอง
“ร้านนั้นของเราก็เปิดแล้ว อยู่ที่ตรอกโซ่วสี่ ชื่อว่าเฟยฉางเต๋า หากท่านมีเวลา แวะไปดูก็ได้เจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่กี่วันนี้ข้าต้องออกเดินทางไกล มีเรื่องใดท่านไปหาฉีหวง หากจัดการไม่ได้ก็รอข้ากลับมานะเจ้าคะ”
“ได้ เจ้าอยู่ข้างนอกต้องระมัดระวัง ยามนี้อากาศเย็น เป็นสตรีต้องสวมเสื้อผ้าหนาๆ สักหน่อย” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ฉินหลิวซีรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางนึกถึงเรื่องของนายท่านฉินสาม ลังเลอยู่ชั่วครู่ ช่างเถิด อย่างไรนายท่านฉินสามก็ยังไม่ได้กลับมาในตอนนี้ ไม่ต้องเอ่ยอย่างอื่นให้สตรีเหล่านี้ต้องกังวลจะดีกว่า
พูดคุยกับสะใภ้หวังอยู่ชั่วครู่ ฉินหลิวซีจึงเอ่ยลา
สะใภ้หวังมองนางเดินออกไป ใบหน้าทะมึนลง ออกจากเรือนทันที ตรงดิ่งไปยังเรือนนางฉินผู้เฒ่า เห็นสะใภ้เซี่ยกำลังประจบเอาใจนายหญิงผู้เฒ่าอยู่จริงๆ
ความโกรธของสะใภ้หวังปะทุขึ้นมาทันใด หันไปคารวะนางฉินผู้เฒ่าก่อน จากนั้นจ้องมองไปยังสะใภ้เซี่ยเขม็ง “น้องสะใภ้รอง ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับการเปิดร้าน จึงได้ยกเรื่องในเรือนให้เจ้าเป็นคนดูแล ในเมื่อเจ้าจัดการไม่ได้ ข้าก็จะรับมันกลับคืนมาเอง”
สะใภ้เซี่ยชะงัก พี่สะใภ้ใหญ่เป็นบ้าอะไรไปแล้ว
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านหมายความอย่างไรกันเจ้าคะ ข้าจัดการไม่ได้อย่างไรกัน”
นางฉินผู้เฒ่ามองไปยังสะใภ้หวัง วันนี้อารมณ์นางรุนแรงไปสักหน่อย โกรธมาจากข้างนอก หรือการเปิดร้านไม่ราบรื่นหรือ
“ในเมื่อจัดการได้ ไยอนุพานจึงป่วยจนใกล้ตาย เจ้ากลับไม่ถามไม่ไถ่ ไม่เคยเชิญหมอมารักษา หากไม่ใช่เพราะอนุวั่นและซีเอ๋อร์ นางตายไปก็คงไม่มีคนรู้กระมัง”
สะใภ้เซี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปหลายส่วน เอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่ ไหนเลยจะหนักอย่างที่ท่านว่า”
นางฉินผู้เฒ่าสีหน้าทะมึนขึ้นมา นางอายุปูนนี้ ร่างกายก็ไม่ดี ครอบครัวยังเป็นเช่นนี้ ไม่ชอบฟังคำโชคร้ายอย่างคำว่าตายนี้
สะใภ้หวังเอ่ยถึงเรื่องอนุพานกังวลจนป่วยหนักแล้วยังเอ่ยทิ้งท้าย “ข้ารู้น้องสะใภ้รองเจ้าไม่ชอบอนุพาน โกรธที่นางชิงมีบุตรชายก่อนเจ้า แต่นางก็อยู่มานานแล้ว อีกทั้งยังเป็นอนุภรรยาที่ให้กำเนิดบุตรชายคนโต อยู่อย่างสงบไม่ได้มีหน้ามีตา เจ้าทรมานนางเช่นนี้ ไม่กลัวเสียโชคลาภหรือ”
สะใภ้เซี่ยโพล่งขึ้นมาบ้าง เอ่ยว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ วาจานี้ของท่านข้าไม่อาจเข้าใจ ตัวนางเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง ข้าจะไปคิดแทนนางได้หรือ เป็นนางเองที่เอาแต่คิดนั่นคิดนี่อยู่ทั้งวัน ข้าจะทำสิ่งใดได้เล่า”
“นางป่วยแล้ว เจ้าเชิญหมอมาตรวจนางก็ได้กระมัง” สะใภ้หวังหน้านิ่ง เอ่ย “ตามหลักแล้ว เรื่องบ้านรองของพวกเจ้าข้าที่เป็นพี่สะใภ้ก็ไม่ควรยุ่ง แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็อยู่ในเรือที่จมไปครึ่งลำด้วยกัน ข้าอยู่หัวเรือพยายามชักใบเรือ อยากพาเรือลำนี้ขึ้นมา เจ้ากลับอยู่หลังเรือเติมหิน ข้าจะชักใบเรือขึ้นมาได้หรือ แค่ให้เจ้าดูแลบ้านให้ดีชั่วคราว เพียงเท่านี้เจ้ายังทำไม่ได้ ข้าต้องถีบพวกเจ้าลงจากเรือหรือไม่ หรือปล่อยให้ทุกคนจมลงไปด้วยกันเล่า”
สะใภ้เซี่ยหน้าแดงก่ำ กำลังจะเอ่ยแก้ตัว สะใภ้หวังกลับหันไปคุกเข่าต่อหน้านางฉินผู้เฒ่า เอ่ย “ท่านแม่ ข้าไม่คิดอยากบ่นว่า ตระกูลฉินของเราเป็นอย่างนี้ควรกอดกันเอาไว้ให้แน่น ข้าออกหน้าอยู่ด้านหน้าไม่เป็นไร น้องสะใภ้รองช่วยดูแลจัดการบ้านให้ดี ทำให้เราไม่ต้องมาคอยกังวลข้างหลัง เช่นนั้นจึงจะถูกต้อง แต่ความจริงเล่า”
นางหลับตาลง เอ่ยอย่างเหนื่อยล้า “ท่านแม่ ให้สะใภ้สามดูแลบ้านเถิดเจ้าค่ะ นางเป็นคนทำงานเรียบร้อยเหมาะสม ข้าเองไม่อยากถูกคนคอยว่าร้าย ว่าใจดำต่ออนุภรรยา”
ใบหน้าแดงก่ำของสะใภ้เซี่ยเปลี่ยนเป็นซีดขาว
บ้าไปแล้ว สะใภ้หวังบ้าไปแล้วจริงๆ
สะใภ้เซี่ยมองไปยังนางฉินผู้เฒ่า สายตาของอีกฝ่ายจ้องมาที่นาง คล้ายมีมีดคมแทงเข้ามา เหงื่อเย็นซึมออกมาโดยไม่อาจห้ามได้
“เช่นนั้นก็ให้สะใภ้กู้จัดการเถิด ส่วนอนุพาน ดึงสาวใช้ไปดูแลก่อน ควรกินยาก็กิน ควรบำรุงก็บำรุง” นางฉินผู้เฒ่าย่นคิ้วพลางเอ่ย
สะใภ้หวังคุกเข่าตอบรับ ไม่เอ่ยมากความ ก่อนจะเดินออกไป
นางวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกเหนื่อยมากพอแล้ว กลับมายังต้องมาจัดการเรื่องจุกจิกนี้อีก ไม่มีอารมณ์มาพินอบพิเทากับพวกนางอีกแล้ว
เดิมทีนางก็ไม่อยากมาออกฤทธิ์กับสะใภ้เซี่ย แต่เรื่องนี้ไปกระทบกับฉินหลิวซี ทำให้นางไม่พอใจอารมณ์ไม่ดี จึงไม่อาจนิ่งอยู่ได้
สะใภ้เซี่ยผู้นี้ไม่ตีสักหน่อย คงคิดว่าจะลอยขึ้นฟ้าได้แล้ว โนเวลพีดีเอฟ
“ท่านแม่…” สะใภ้เซี่ยมองไปยังนางฉินผู้เฒ่าอย่างน่าสงสาร
นางเพิ่งเอ่ยปาก นางฉินผู้เฒ่าก็คว้าถ้วยชาใกล้มือปาไปทางนาง “เจ้ามันโง่ เจ้ามีประโยชน์อะไรกัน”
สะใภ้เซี่ยกุมศีรษะกรีดร้องเสียงดัง
สะใภ้หวังฟังเสียงกรีดร้องจากด้านใน แสยะยิ้มเย็น หันหน้ามุ่งตรงไปยังเรือนของสะใภ้กู้ นางยังมีเรื่องในเรือนต้องฝากฝังกับสะใภ้กู้สักหน่อย
“หมัวหมัว ข้าเข้าใจแล้วว่าไยซีเอ๋อร์จึงเกิดความคิดอยากย้ายออกไป”
เสิ่นหมัวหมัวกุมมือของนาง ไม่เอ่ยวาจา
“ข้างหลังมีครอบครัวใหญ่ถ่วงเอาไว้เช่นนี้ ต้องแบกรับภาระ กำลังแม้เพียงนิดยังไม่มี จะมีความหมายอะไรเล่า ยังคงเป็นครอบครัวที่ถดถอย” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “หากเป็นข้าก็คงคิดว่าไม่มีความหมาย ยามนี้ดูแล้ว ยื้อนางเอาไว้ คงเป็นความเห็นแก่ตัวของข้าแล้ว”
ตนเองต่อสู้อยู่ข้างหน้า หันกลับมา ยังต้องมาคอยเก็บกวาดหางยุ่งเหยิงที่อยู่เบื้องหลัง มีความหมายอะไรกัน
“นายหญิง ท่านคิดมากแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่อยากไปอยากมา ล้วนเป็นความยินยอมของนางเอง ในบ้านหลังนี้ไม่มีผู้ใดบังคับให้นางอยู่ได้เจ้าค่ะ” เสิ่นหมัวหมัวเอ่ยเสียงเบา “นายหญิงท่านก็เช่นกัน ท่านเพียงทำเพื่อให้ตนเองไม่ต้องรู้สึกผิดก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังส่ายศีรษะพลางถอนหายใจเบาๆ บ้านหลังนี้จะมีสิ่งใดที่สามารถทำให้เด็กคนนั้นรู้สึกสบายใจมีความสุขและรู้สึกถึงการกลับบ้านกันเล่า
ครอบครัวใหญ่พวกเขานี้ สำหรับนางแล้วคงเหมือนจะเป็นภาระอันเหน็ดเหนื่อยมากกว่า
…