ตอนที่ 127.1 ของขวัญอำลาของหลี่ฉางโซ่ว (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

เมื่อออกจากยอดเขาหยกน้อย และรีบกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันของสำนักแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็จงใจแอบไปที่หอไป่ฝานและมอบธูป ‘ยาว’ สามดอกให้กับรูปภาพเหมือนของปรมาจารย์ผู้นำแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

ดูเหมือนว่า ธูปสามดอกเหล่านี้จะมีประโยชน์ในวันนี้แล้ว…

เมื่อหลี่ฉางโซ่วกลับมาที่มุมของทางลาดเนินเขาในขณะที่ยังคงใช้เวทวายุวัจน์เพื่อเฝ้าติดตามไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เขาก็ได้ยินการสนทนาเกี่ยวกับตัวเขาน้อยมาก

เวลานี้ ในขณะที่เหล่าเซียนบนแท่นหยกและบรรดาศิษย์ในหุบเขาต่างก็เฝ้าดูการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งสามสิบหกอันดับแรก…หลี่ฉางโซ่วก็ถือขลุ่ยหยกขาวและเริ่มปรับแต่งมันอย่างช้าๆ

เขาเหลือบมองหลิงเอ๋อร์ที่กำลังรอการต่อสู้ข้างๆ ลานประลองอยู่ครู่หนึ่ง และเนื่องจากสังเกตว่านางอยู่ในสภาพดี และยังมีอาจารย์อาจิ่วจิ่วอยู่กับนางด้วย เขาจึงไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป

จิ่วอูได้มอบเงินสนับสนุนรายเดือนมูลค่าสามร้อยปีให้กับหลี่ฉางโซ่ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัสดุล้ำค่าสำหรับการสร้างรากฐานค่ายกล

และด้วย ‘โชคลาภเล็กน้อย’ นี้ แผนการปรับปรุงค่ายกลที่ครอบคลุมโดยรวมของยอดเขาหยกน้อย จึงสามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ล่วงหน้า…ราวสามในหนึ่งร้อยส่วนของแผนการ

อย่างไรก็ตาม คำสัญญาของอาจารย์ลุงจิ่วอูที่บอกว่า หลี่ฉางโซ่วจะเป็นผู้ชนะในสองรอบสุดท้ายนั้นยังไม่บรรลุผล แต่อีกสักครู่หนึ่ง หลี่ฉางโซ่วก็กำลังจะได้รับการชดเชยในการกลับไปเข้าร่วมการต่อสู้

เมื่อมองดูขลุ่ยหยกขาวในมือ หลี่ฉางโซ่วก็สงสัยว่า ข้าจะใช้มันแลกเปลี่ยนเพื่อสมบัติล้ำค่าได้กี่ชิ้น

ล้อเล่นน่า ล้อเล่น หากขายสมบัติวิญญาณที่ฉินหว่านมอบให้ข้าจริงๆ ย่อมถือว่าเป็นการจงใจดูหมิ่นผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทอง และข้าคงจะถูกแขวนคอและทำร้ายจนตาย

หลายค่ายกลและยาพิษต่างๆ มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง และด้วยสมบัติวิญญาณที่จะปกป้องข้า ข้าก็ยังสามารถเพิ่มความสามารถในการปกป้องตัวเองได้อีกเช่นกัน…

ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ข้าบรรลุสู่เซียนแล้ว ข้าก็ไม่เคยมีสมบัติใดที่สามารถปลดปล่อยพลังและความสามารถของข้าได้อย่างเต็มที่

เมื่อข้าปรับแต่งขลุ่ยหยกขาวเสร็จแล้ว ข้าก็สามารถเพิ่มขนสัตว์วิญญาณที่ปลายและใช้เป็นพู่กันเซียนเพื่อแสดงพลังและทักษะเวทของข้าในการเขียนพระสูตรได้

ขณะที่หลี่ฉางโซ่วคิดเช่นนั้น ขลุ่ยหยกขาวในมือของเขาก็สั่นสองครั้งเพื่อแสดงถึงการต่อต้านเล็กน้อย เขาจึงปัดความคิดที่ยอดเยี่ยมนั้นออกไปอย่างรวดเร็วและใช้ความคิดของเขาเพื่อเอาใจและสงบจิตวิญญาณของขลุ่ยหยกขาวนี้

ข้าจะทำให้มัน ‘เชื่อง’ แล้วค่อยพูดถึงเรื่องพู่กันเซียนกันอีกที

สมบัติล้ำค่าที่เรียกว่าสมบัติวิญญาณนั้นคือ สมบัติที่สร้างจิตวิญญาณขึ้นมาได้ด้วยตัวเองและมีจิตวิญญาณพื้นฐานที่สุด

ทว่าเนื่องจากกฎห้ามต่างๆ ของเต๋าสวรรค์ ทำให้สมบัติวิญญาณฮุ่ยเทียนจำนวนมากไม่อาจเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตได้ และไม่อาจต้านทานเต๋าสวรรค์ได้ พลังของมันนั้นด้อยกว่าสมบัติวิญญาณเซียนเทียน

สมบัติวิญญาณเซียนเทียนและสิ่งมีชีวิตเซียนเทียนส่วนใหญ่มักปรากฏขึ้นให้เห็นในสมัยโบราณ

ในเวลานั้น เต๋าสวรรค์ยังไม่สมบูรณ์แบบ สมบัติและสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากเต๋าเซียนเทียน สามารถสัมผัสกับเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้โดยตรง

สิ่งมีชีวิตสามารถฝึกฝนอย่างอิสระและแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่มีการยับยั้ง และสมบัติเหล่านั้นยังมีพลังแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่อีกด้วย

นั่นคือ ยุคที่ผู้คนสามารถเก็บสมบัติวิญญาณได้มากมายในระหว่างการเดินเล่นอย่างสบายไปเรื่อยๆ

และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่แม้แต่ภูเขาไร้แบบแผนใดๆ ก็สามารถเป็นที่พำนักเซียนได้

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังเป็นยุคที่อันตรายและชั่วร้ายยิ่งกว่าอีกด้วย

เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดนั้นล้วนโง่เขลาและไม่มีความรู้สึกละอายใดๆ เลย เมื่อเห็นสมบัติดีๆ ก็กล่าวว่า พวกเขามีชะตาลิขิตกับสมบัติเหล่านี้ และเมื่อเห็นที่พำนักเซียน พวกเขาก็จะกล่าวว่าพวกเขาถูกลิขิตไว้แล้ว

หากอีกฝ่ายไม่ยินยอม พวกเขาก็จะต่อสู้กัน และผู้ชนะก็จะเรียกว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่

บัดนี้ กลุ่มกองกำลังที่ดีที่สุดในการสืบทอดมรดกสมัยโบราณนั้น น่าจะเป็นสำนักบำเพ็ญประจิมของจอมปราชญ์แห่งแดนประจิมทั้งสอง ซึ่งหากจะกล่าวว่า ‘ข้าคิดว่าท่านถูกลิขิตไว้กับสำนักบำเพ็ญประจิม’ ผู้คนย่อมจะต้องยอมแพ้…

หลี่ฉางโซ่วคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะยังคงปรับแต่งขลุ่ยหยกขาวนี้ต่อไป

ไม่นานหลังจากนั้น หลิงเอ๋อร์ก็ลอยมาแต่ไกลด้วยท่าทีผิดหวังเศร้าใจแล้วนั่งลงข้างกายเขาพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ

ก่อนหน้านี้ นางแพ้ให้กับต้นกล้าอมตะซึ่งอยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นที่หนึ่ง และสูญเสียโอกาสในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสามสิบหกอันดับแรกไป “ศิษย์พี่…” หลิงเอ๋อร์ร่ำร้องออกมาอย่างน่าสงสาร “ก็ยังดีที่ยังรักษาความภาคภูมิใจเอาไว้ให้กับศิษย์ของยอดเขาอื่นๆ ”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านพลังปราณส่งเสียงว่า “เจ้าฝึกฝนมานานเพียงใดกัน เจ้าเยาว์วัยมากที่สุดในที่นี้ เพียงเท่านี้ เจ้าก็ทำให้บรรดาศิษย์พี่มากมายล้วนอับอายแล้ว”

พูดคุยกันผ่านพลังปราณส่งเสียง ทั้งที่ห่างกันไม่มาก นี่อาจเป็นคุณลักษณะเฉพาะที่สำคัญของยอดเขาหยกน้อย

หลิงเอ๋อร์กะพริบตา และในขณะนั้น ดวงตาของนางก็สว่างไสวมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีขณะที่กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านกำลังปลอบโยนข้าใช่หรือไม่”

“กฎสามข้อของเรา”

“ก็ได้เจ้าค่ะ!” หลิงเอ๋อร์กล่าวและยิ้มอย่างร่าเริงมีความสุข แล้วลงนั่งสมาธิบนเบาะนั่งสมาธิของนางพลางคิดจะค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ศิษย์พี่ของนางอีกสักหน่อย

ขณะนี้ สนามหญ้าบนพื้นดินเกือบโล่งเตียน…

ไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ส่งข้อความเสียงออกมาทันที “ยามนี้ เจ้าต้องคัดลอกพระสูตรสี่พันห้าสิบจบแล้ว”

หลิงเอ๋อร์ชะงักงันดวงตากลมโตที่จ้องมองของนาง น่าสงสารราวกับดวงตาแมวน้อย

จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์พี่ ท่านทนเห็นมือศิษย์น้องหญิงน้อยของท่าน…ต้องพิการไปอย่างนั้นได้จริงๆ หรือเจ้าคะ”

“ข้าทนได้”

“ฮึ ก็ได้ ข้าจะไปคัดลอกแล้ว” จากนั้นหลิงเอ๋อร์ก็หันหน้ามองออกไปในระยะไกลทันที

หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างสงบและรอเวลาของเขาที่จะขึ้นไปปรากฏกายบนลานประลอง…

อีกหนึ่งวันต่อมา ก็ถึงเวลาของการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นสำหรับจำนวนตำแหน่งเทียนกัง[1]ในการแข่งขันภายในสำนัก ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของการแข่งขันครั้งนี้

ในเวลานี้ ความสนใจทั้งหมดในสถานที่จัดงานแห่งนี้ ล้วนมุ่งไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าและต้นกล้าอมตะสิบอันดับแรก

บรรดาแขกและผู้อาวุโสบนแท่นหยกต่างก็ตั้งข้อสังเกตด้วยความสนใจ และสงสัยว่าจะมี ‘ผู้เยี่ยมยุทธ์’ อยู่ด้านล่างอีกหรือไม่

แม้โหย่วฉินเสวียนหย่าจะมีคุณสมบัติและศักยภาพที่โดดเด่น แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนในการเติบโตในอนาคตมากเกินไป

ในเวลานี้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางจะบรรลุไปถึงขอบเขตเซียนเทียนได้หรือไม่

ความจริงแล้ว การต่อสู้ในชั่วขณะหนึ่งนั้นอาจไม่ได้ทำให้เกิดความรุ่งโรจน์มากนัก แต่การไล่ตามให้ถึงจุดสูงสุดจึงจะนับเป็นสุดยอดผู้เป็นเอก

ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้เพื่อเข้าสู่สามสิบหกอันดับแรก ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียนกัง หลี่ฉางโซ่วก็มีช่วงเวลายากลำบากเล็กน้อย เพราะระดับขอบเขตพลังการฝึกฝนที่เขาแสดงนั้นอยู่เพียงในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นที่หนึ่ง

เขาอาศัยหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อเอาชนะได้สามรอบด้วยความพยายามทุ่มเทเต็มกำลังทั้งหมดของเขาแล้ว แต่ในรอบที่สี่ เขาก็ได้พบกับโหย่วฉินเสวียนหย่าโดยตรง

อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ให้โอกาสผู้ใดจะจินตนาการถึงการต่อสู้ระหว่างคทาหนามแห่งยอดเขาหยกน้อย และหัวหน้าศิษย์

แผ่นหยกสั่นสะเทือน…

“ข้ายอมแพ้!”

โหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งยืนอยู่ข้างลานประลองตะลึงงัน จากนั้นก็มองหลี่ฉางโซ่วด้วยความรู้สึกผิด

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วถึงกับผงะงัน เหตุใดนางถึงรู้สึกผิด

ช่างมันเถิด ด้วยสมองของข้า ข้าไม่อาจเข้าใจความคิดของศิษย์น้องหญิงตัวอันตรายได้

ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงหยุดเมื่อเขาอยู่ในอันดับที่สิบแปด ซึ่งใกล้เคียงกับที่เขาวางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้

ในการแข่งขันภายในครั้งใหญ่นี้ หนึ่งในศิษย์ของยอดเขาหยกน้อยอยู่ในอันดับที่สิบแปดในขณะที่อีกคนอยู่ในอันดับที่สามสิบเก้า บางที นักพรตเต๋าชราฉีหยวนอาจจะเสนอเครื่องสักการะและแสดงความเคารพบูชาต่อปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่สองสามคนแห่งยอดเขาหยกน้อย ซึ่งได้รับการยืนยันว่าล่วงลับไปแล้ว

การต่อสู้ในระยะหลังๆ นั้นเข้มข้นดุเดือดกว่าครั้งก่อนๆ นอกจากนี้ยังมี ‘การเน้นเหตุการณ์สำคัญ’ ของการแข่งขันภายในครั้งใหญ่นี้เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ภาพเหตุการณ์ของคทาหนามที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันนั้น ถือเป็นจุดสุดยอดที่บรรดาผู้คนที่มาปรากฏตัวในภายหลังจะไม่มีวันปล่อยผ่านไปได้…

และในท้ายที่สุด โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ผ่านอุปสรรคและคว้าอันดับหนึ่งซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดไปครอง

[1] เทียนกัง สามสิบหกอันดับแรก