ตอนที่ 272 กลอุบาย รอนางอยู่ที่นี่ (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 272 กลอุบาย รอนางอยู่ที่นี่ (2)

ด้านงานเลี้ยงดอกท้อ เปี่ยมไปด้วยความรื่นเริง

ดนตรีบรรเลง ท่านหญิงซูซูร่ายรำ แขนเรียวยาวกางออก แขนเสื้อพริ้วไหวอย่างแผ่วเบา เช่นเดียวกับนาง โดดเด่นงดงาม

เมื่อจบการร่ายรำอย่างโดดเด่น หลังจากนั้น นางย่างก้าวเริงระบำเบาๆ อย่างงดงาม ปลายเท้าสัมผัสกับพื้น เรือนร่างกระโดดขึ้นหมุนตัวกลางอากาศหลายรอบด้วยความสวยงามกว่าจะลอยตัวลงมาบนพื้นอย่างมั่นคง เท้าทั้งสองข้างแตะพื้นเบาๆ แล้วกระโดดอีกครั้ง กระโดดฉีกขาเป็นเส้นตรง ปราะสานกันอย่างเป็นระเบียบ ช่างงดงามยิ่งนัก อาภรณ์โบกสะบัดพริ้วไหว

มั่วเชียนเสวี่ยชื่นชมในใจด้วยความตกตะลึง แม้ในยุคปัจจุบัน ก็ไม่อาจเห็นระบำโบราณที่งดงามเช่นนี้

การร่ายรำนี้ ไม่เพียงแต่ประสานทักษะและท่วงท่าของการระบำ แต่ยังใช้วิชาตัวเบา ไม่แปลกที่เมื่อสตรีเหล่านั้นได้ยินว่าให้ท่านหญิงซูซูเริ่มก่อน แววตาจึงหม่นหมองลง

ดนตรีหยุดการบรรเลงการร่ายรำจบลง สตรีชั้นสูงคนอื่นๆ คลี่ยิ้มแล้วชื่นชมเสียงเบา ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับปรบมือสุดชีวิต ซูซูเชิดหน้าขึ้นแล้วหันมายิ้มให้นางด้วยความภาคภูมิใจ เวลานี้คล้ายองค์หญิงอวี้เหอเพิ่งสังเกตเห็นมั่วเชียนเสวี่ยอย่างไรอย่างนั้น ถามเสียงอ่อนโยน “สตรีชั้นสูงท่านนี้คือ…”

มั่วเชียนเสวี่ยเหยียดกายลุกขึ้น “หม่อมฉันมั่วเชียนเสวี่ย บุตรีสายตรงเจิ้นกั๋วกงเพคะ” องค์หญิงอวี้เหอพยักหน้า “อ่อ ไม่แปลกที่วางตัวไม่ระวังเช่นนี้ ที่แท้ก็คือหญิงผู้โดดเด่นในหมู่สตรีนี่เอง ข้าอยู่ในวังหลวงก็พอจะได้ยินเรื่องของคุณหนูมั่วไม่น้อย ได้ยินว่าแม้แต่เสด็จพ่อยังชื่นชมการกระทำของคุณหนู”

มั่วเชียนเสวี่ยพูดในใจ ฮ่องเต้ทั้งปาฎีกาใส่นาง ทั้งข่มขู่จะฆ่านาง หากสุดท้ายไม่ใช่เพราะนางฉลาดพูด เฉลียวฉลาดขอลดเบี้ยหัดด้วยตนเอง ทั้งยังยอมกักบริเวณ นอกจากนี้ยังให้เหตุผลฮ่องเต้ในการกวาดล้างอำนาจในเมืองหลวง ไม่รู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร

ใต้หล้าแห่งนี้มีการชื่นชมเช่นนี้ด้วยหรือ

ทว่า แม้ความเป็นจริงจะเป็นเช่นนี้ ผ่าอันตรายจนเกิดเอาชีวิตไม่รอด แต่นางก็รู้ดีว่าผู้อื่นไม่ได้คิดเช่นนี้

ผู้อื่นต่างคิดว่านางสังหารคนนับสิบ ฝ่าบาททรงเมตตา เพื่อจะได้ให้คำตอบกับไพร่ฟ้าได้ จึงกักบริเวณนางเจ็ดวันตามสมควร แล้วค่อยปล่อยตัวนาง ช่างเป็นพระมหากรุณธิคุณอย่างสูง

เวลานี้ ยามนี้…

นางเข้าใจแล้ว เหตุใดองค์หญิงอวี้เหอจึงใจดีเช่นนี้ พูดชื่นชมนางต่อหน้าผู้คนมากมาย พยายามใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง เห็นชัดว่าเป็นแผนร้ายในวังหลวง เบื้องหน้าชื่นชมนางเยินยอนาง แต่เบื้องหลังสร้างศัตรูให้นาง คว้ามีดทิ่มแทงนาง

เป็นจริงตามคาด เมื่อกวาดมองด้วยหางตาง นางเห็นแววตาริษยาจากสตรีชั้นสูงผู้ไร้สมอง โดยเฉพาะย่วนอ้ายเวิงจู่ นัยน์ตาทั้งสองข้างของนางเปี่ยมไปด้วยลำแสงแห่งความริษยา มากพอจะส่องสว่างลำธารสิบลี้

มั่วเชียนเสวี่ยแกล้งทำเป็นหวาดกลัว ก้มหน้าลงตอบ “องค์หญิงกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ อันที่จริงเวลานั้นหม่อมฉันหวาดกลัวยิ่งนัก พวกกบฎเหล่านั้นพุ่งตัวมาแย่งข้าวของ ด้วยความจนปัญญาหม่อมฉันทำได้เพียงป้องกันตัว ชั่วขณะหนึ่งควบคุมบ่าวไพร่ในจวนได้ไม่ดี ลงมือหนักไปเล็กน้อย…เชื่อว่าไม่ว่าสตรีชั้นสูงคนใดในที่แห่งนี้พบเจอเรื่องเช่นหม่อมฉัน ย่อมทำได้ดีกว่าหม่อมฉันแน่นอนเพคะ” เมื่อได้ฟัง ความริษยาบนใบหน้าสตรีชั้นสูงลดลงไปมาก สีหน้าเผยให้เห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยพูดถูก เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

องค์หญิงอวี้เหอยังคงไม่ยอมแพ้ คลี่ยิ้มบางๆ พูด “คุณหนูมั่วตัดสินใจเด็ดขาด ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนถ่อมตนเช่นนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีให้อวี้เหอเรียนรู้…มา อวี้เหอดื่มให้คุณหนูหนึ่งจอก”

เป็นตัวอย่างให้องค์หญิง? ทั้งยังดื่มให้ตนหนึ่งจอก นางคิดอะไรอยู่! สายตาของบรรดาสตรีชั้นสูงที่มองมา ราวกับดาบคล้ายดั่งกระบี่

ยิ่งเยินยอสูงเท่าใด ยามตกลงมาก็อนาถมากเท่านั้น! องค์หญิงยิ่งวางตัวสนิทสนม ประเดี๋ยวหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เกรงว่าจะทำสีหน้าสงาร หากไม่ลงโทษอย่างหนักก็ไม่อาจแสดงถึงความยุติธรรมขององค์หญิง

มั่วเชียนเสวี่ยยกจอกขึ้นด้วยความลังเล “หม่อมฉันโง่เขลา คำชมขององค์หญิง หม่อมฉันไม่กล้ารับไว้ หม่อมฉันดื่มด้วยน้ำชาแทนสุรา ลงโทษตนเองสามจอกเพคะ…” ภายใต้ความเป็นที่โปรดปราน มั่วเชียนเสวี่ยถ่อมตน ไม่มีความลำพองใจแม้แต่น้อย แววตาร้ายกาจราวกับดาบคล้ายดั่งกระบี่ของบรรดาสตรีชั้นสูงลดลงไปบางส่วน ทั้งยังมีบางคนมองมาด้วยเจตนาที่ดี

คล้ายท่านหญิงซูซูสังเกตเห็นเงื่อนงำบางอย่าง เหยียดกายลุกขึ้นโดยไม่ใส่ใจ ยิ้มแล้วพูด “องค์หญิง สายมากแล้ว บรรดาสตรีชั้นสูงรอแสดงความสามารถอยู่เพคะ หากองค์หญิงจ้องแต่จะชื่นชมคุณหนูมั่วเพียงคนเดียว ยังไม่พูดถึงบรรดาสตรีชั้นสูงว่าจะมีความคิดเช่นไร ซูซูคนแรกที่ไม่ยอมเพคะ…”

“อีกเรื่องหนึ่ง งานเลี้ยงดอกท้อในอดีตแข่งขันศิลปะสี่แขนง เวลานี้เพิ่มขึ้นอีกสามแขนง เป็นเจ็ดแขนง ยามโหย่ว[1]คือเวลาจบงานของงานเลี้ยงดอกท้อ ต้องทำเวลาแล้วเพคะ”

องค์หญิงอวี้เหอคลี่ยิ้มบางๆ รู้สึกผิดเล็กนอย “ขอบคุณสำหรับการตักเตือนของท่านหญิงซูซู ข้าเพียงได้ยินเรื่องราวของคุณหนูมั่วในวังหลวง ด้วยความชื่นชมและฉงนสงสัยจึงถามมากไปเล็กน้อย”

หันกลับไป เก็บความละอาย สีหน้าจริงจัง พูดเสียงดัง “ท่านหญิงซูซูโยนกระเบื้องล่อหยก ร่ายรำงดงาม เมื่อเป็นเช่นนี้ ตราดอกท้ออันแรกกำหนดเป็นการร่ายรำดีหรือไม่ ผู้มีทักษะร่ายรำโดดเด่น ล้วนลองได้”

พูดคล้ายเป็นประโยคคำถาม แต่ความเป็นจริงได้ตัดสินใจไปแล้ว

หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยดื่มน้ำชาสามแก้ว เหยียดกายลงนั่ง พยายามทำให้ตนไม่มีตัวตนอย่างสุดความสามารถ

สตรีชั้นสูงในชุดสีเหลืองอ่อนที่อยู่บนทางเดินฝั่งตรงข้ามเหยียดกายลุกขึ้นแล้วพูด “องค์หญิง หม่อมฉันยินดีจะทำการแสดงก่อนเพคะ”

องค์หญิงอวี้เหอเห็นเรือนร่างอรชรของสตรีคนนั้น พยักหน้า “ได้!”

ดนตรีบรรเลง…

เห็นเพียงอาภรณ์สีเหลืองของนางพริ้วไหวแผ่วเบา มือนวลเนียนหมุนวน เรือนร่างอรชรงดงาม เอวบางเคลื่อนไหว เท้าเรียวแตะเบาๆ ทุกท่วงท่าล้วนพอดี งดงามอย่างยิ่ง ประสานกันได้อย่างสอดคล้องไร้ความมัวหมอง

แสดงเอกลักษณ์ของเรือนร่างออกมาอย่างสุดกำลัง ความงดงามของการร่ายรำนี้ ทำให้คนอุทานด้วยความตกตะลึงจริงๆ

มั่วเชียนเสวี่ยชมการร่ายรำ พร้อมกับทอดถอนหายใจในใจ ดูเหมือนว่าไม่อาจดูถูกสตรีชั้นสูงในยุคโบราณได้จริงๆ

หลังจากสตรีคนนี้ร่ายรำเสร็จ ก็มีสตรีอีกคนเสนอตัว

หลังจากวนเช่นนี้หลายรอบ เงียบครู่หนึ่ง องค์หญิงอวี้เหอเห็นว่าไม่มีผู้ใดเสนอตัว จึงยิ้มแล้วพูด “ข้ารู้สึกว่าการร่ายรำของคุณหนูทุกท่านล้วนมีความงดงามแตกต่างกันไป แต่ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะซูซูได้ วันนี้ข้าลำบากใจเหลือกัน”

นางแลดูยุติธรรม แต่ความเป็นจริงกลับโยนความริษยาไปให้ท่านหญิงซูซู

แต่ซูซูกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “หม่อมฉันบอกแล้วว่าไม่ร่วมการแข่งขัน จะคืนคำได้อย่างไรเจ้าคะ”

“พูดเช่นนี้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรซูซูก็คู่ควร…ช่างเถอะๆ เช่นนั้นเลือกจากหนึ่งในสตรีชั้นสูงเมื่อครู่ก็แล้วกัน”

คำพูดขององค์หญิงที่ว่าถึงอย่างไรซูซูก็คู่ควร พูดด้วยความผิดหวังยิ่งนัก ไม่ว่าสตรีคนใดชนะเลิศ ได้รับตราหยกล้วนไม่สบายใจ

สตรีทุกคนนิ่งเงียบ

ขณะที่องค์หญิงกำลังคิดอยู่นั้นก็พูดขึ้น “เลือกผู้ใดดี ช่างลำบากใจเหลือเกิน…” แม้นางจะบอกว่าคิดตรึกตรองด้วยความลำบากใจ ทว่าสายตากลับมองไปที่ซูซูอยู่บ่อยครั้ง ทำสีหน้าเสียดายอย่างยิ่ง

“ได้ยินว่าคุณหนูตระกูลหลันร่ายรำงดงาม ไม่รู้ว่าวันนี้ขอชมสักครั้งได้หรือไม่…”

คนที่พูดคือสตรีชั้นสูงที่อยู่บนทางเดินฝั่งตรงข้าม คือท่านหญิงซินหรุ่ยที่ท่านหญิงซูซูเคยกระซิบแนะนำให้นางรู้จัก

ฟังจากความหมายของคำพูดนี้และสายตาของนางที่มองมาด้วยความไม่พอใจ มั่วเชียนเสวี่ยรู้ทันทีว่านางไม่อยากเห็นท่านหญิงซูซูโดดเด่น แต่นางไม่รู้เลยว่ากำลังเป็นการช่วยซูซูจากสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี้

ท่านหญิงซินหรุ่ยเป็นคนพูดขึ้นก่อน แน่นอนว่าคนอื่นๆ ย่อมคล้อยตาม ทำให้ผู้ถูกพูดถึงยากจะปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้หลันรั่วเมิ่งบุตรีตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งแห่งตระกูลหลานจึงจำต้องเดินออกมา นางสวมชุดสีน้ำเงินไพลิน เดินไปตรงกลาง น้อมตัวลงทำความเคารพองค์หญิง ยืนนิ่งรอดนตรีบรรเลง

มองออกว่าสตรีคนนี้เย็นชา ทระนงตนยิ่งนัก

เสียงดนตรีดังขึ้น เอวบางของนางเคลื่อนไหว แหงนหน้าขึ้นพร้อมกับกวัดแกว่งแขนเสื้อขึ้นลง ท่วงท่าของนางทำให้แขนเรียวบางเผยออกมา แขนเสื้อสะบัดออก เหาะเหินในชั่วพริบตา อาศัยแรงทะยานตัวขึ้นไป แล้วร่ายรำกลางอากาศ

[1] ยาวโหย่ว หมายถึง เวลาประมาณ 17.00 – 19.00 น.