ตอนที่ 285 รอยยิ้ม

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 285 รอยยิ้ม

สุดท้าย พ่อบ้านใหญ่เยียนสุยยังคงออกจากเรือนพักร่ำรวย

เขาถูกย้ายกลับจวนท่านหญิง กลับไปรับใช้อยู่ข้างกายท่านหญิงจู้หยางหรือเซียวฮูหยินเหมือนเดิม

คนที่รับหน้าที่ต่อจากเขาคือหานฉีจง

ในปีนั้น หานฉีจงเป็นเพียงบัณฑิตตกอับในแคว้นชี บนตัวของเขายังแบกรับชื่อเสียง ‘ขัดนาย’ นอกจากนี้ยังถูกโรงเรียนประจำแค้วนขับไล่ออกไป

ในขณะที่เขากำลังหมดหนทาง นายหน้าหวังเสี่ยวเอ้อเป็นผู้แนะนำให้เขามาทำงานในเรือนพักร่ำรวย

เวลานั้น เรือนพักร่ำรวยเพิ่งสร้างขึ้นมา ต้องการผู้มีความสามารถในหลากหลายด้านอย่างเร่งด่วน

หลังจากผ่านการสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์ สัมภาษณ์ซ้ำ เยียนอวิ๋นเกอตัดสินใจรับเขาเอาไว้

อีกทั้งยังไม่สนใจชื่อเสียง ‘ขัดนาย’ ของเขา

ดังนั้นหานฉีจงจึงอยู่ในเรือนพักร่ำรวย ด้านหนึ่งเป็นบัญชี อีกด้านเป็นซินแสสอนหนังสือ

เป็นเวลากว่าสี่ห้าปี

หลายปีนี้ เขามีโอกาสนับครั้งออกจากเรือนพักร่ำรวย แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจอยู่ต่อ

เขาอาศัยงานชิ้นนี้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตนเองให้ดีขึ้น เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในครอบครัวให้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีภรรยาและบุตร ปักหลักสร้างถิ่นฐานอยู่ในเรือนพักร่ำรวย

เขาก็เคยคิดว่าจะออกจากเรือนพักร่ำรวย ไปสร้างตัวข้างนอกดีหรือไม่ ลองติดต่อสหายหรือคนในหมู่บ้านเดียวกันสมัยก่อนดูว่าจะหางานที่ปรึกษาทำได้หรือไม่

หลายครั้งที่เขาเกิดความคิดนี้ขึ้น แต่ความคิดนี้ก็ถูกล้มเลิกไปหลายครั้ง

สิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ในเรือนพักร่ำรวย นอกจากสวัสดิการที่ทำให้เขาพึงพอใจแล้ว ยังมีบรรยากาศการทำงานที่ทำให้เขารู้สึกสบาย รู้สึกถึงความเคารพอย่างแท้จริง

เขาคิดเสมอว่าตนเองเป็นคนที่ไม่มีความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ ชีวิตในเวลานี้ก็ทำให้เขาพึงพอใจอย่างมากแล้ว

แต่เมื่องานพ่อบ้านใหญ่ตกลงมาถึงเขา หัวใจของเขาก็เต้นระรัวดัง ตึกๆๆ…

เต้นอย่างรวดเร็ว!

เขารู้ว่าตนเองกำลังหวั่นไหว!

เขาไม่ได้ไม่มีความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ เพียงแค่ไม่พบโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น

เวลานี้โอกาสมาถึงแล้ว เขาไม่อาจยกให้ผู้อื่นได้

มีอีกหลายคนที่เข้าร่วมการแย่งชิงตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่ เขาเตรียมตัวทั้งวันทั้งคืน

โอกาสดีที่สวรรค์ประทานลงมา หากทรยศ เขาคงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้

รอบแล้วรอบเล่า

เหมือนวันที่เขาเพิ่งมาเริ่มทำงานในเรือนพัก

สิ่งที่แตกต่างคือ เวลานี้ถึงแม้เขาจะตื่นเต้นมาก แต่เขากลับมีความมั่นใจที่มากกว่าเดิม

สุดท้าย เขาก็โดดเด่นจากฝูงชน ถูกเถ้าแก่มอบหมายให้เป็นพ่อบ้านใหญ่ของเรือนพักอย่างเป็นทางการ หลังจากลงนามสัญญาต่างๆ เขาก็ถูกผูกมัดไว้ในเรือนพัก

หากทรยศ ย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิต

แต่เขาไม่เสียใจ

เขาเต็มไปด้วยพลัง!

ในวันที่แสงอาทิตย์เจิดจ้า เขาเข้ารับตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่ของเรือนพักอย่างเป็นทางการ

เยียนอวิ๋นเกอพูดกับเขา “หานซินแส ข้าตั้งความหวังกับเจ้า เจ้าก็เป็นคนเก่าแก่ของเรือนพัก คนทั้งเรือนพัก รวมทั้งพ่อบ้านน้อยใหญ่ เจ้าก็คุ้นเคย เชื่อว่างานนี้มีประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมาก หากประสบปัญหาใด ไม่ต้องให้ข้าสอน ข้าเชื่อว่าเจ้าจะรู้วิธีจัดการ

ข้ากำชับเพียงอย่างเดียว ในเวลาเดียวกันกับที่เจ้าดูแลเรือนพัก อย่าลืมแสวงหาผู้มีความสามารถ ต่อไป พวกเขาจะเป็นแขนซ้ายแขนขวาของเจ้า ตั้งใจทำงานให้ดี อนาคตของเจ้าจะไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้”

ประโยคนี้ทำให้หานฉีจงเลือดลมสูบฉีด

คนที่อายุมากอย่างเขาเกือบจะเก็บอาการไม่อยู่เหมือนเด็กหนุ่ม

เขาพูดอย่างจริงจัง “เถ้าแก่วางใจ ข้าจะดูแลเรือนพักให้ดี พยายามให้ปีนี้มีผลผลิตที่ดี ให้ทุกคนได้ข้ามปีอย่างอุดมสมบูรณ์”

“เช่นนี้ย่อมดี!”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างพอใจ

อาศัยช่วงเวลาที่พ่อบ้านใหม่เข้ารับตำแหน่ง นางจึงประกาศข่าวดีแก่ทุกคน

เพิ่มสวัสดิการของทุกคนให้มากขึ้นร้อยละยี่สิบ กลายเป็นสวัสดิการร้อยละห้าสิบเหมือนปีก่อน

ข่าวนี้ชำระล้างความมืดมนภายในใจของทุกคน ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ

“ช่างไม้เฉิน! ช่างไม้เฉินอยู่หรือไม่”

บ่าวรับใช้ในเรือนพักผู้หนึ่งตะโกนอยู่หน้าประตู

ช่างไม้เฉินลากขาเป๋ข้างหนึ่งเดินมาถึงหน้าประตูเรือน เขาเปิดประตูเรือนออก “พ่อบ้านหลี่หรือ เข้ามานั่งเถิด!”

“ช่างไม้เฉิน วันนี้ข้ามาเพื่อบอกเรื่องหนึ่งแก่ท่าน เรือนพักจัดตั้งห้องเรียนสอนตำราช่างฝีมือ ช่างไม้เฉินฝีมือดี อายุก็ยังไม่มากนัก ด้านบนลงชื่อของท่านเอาไว้ในรายการ ข้ามาเพื่อถามว่าท่านต้องการจะเข้าร่วมการเรียนนี้หรือไม่”

“เข้าเรียน?” ช่างไม้เฉินรู้สึกประหลาดใจ “ข้าเป็นช่างไม้จะเข้าเรียนไปทำอันใด เสียเวลา”

ช่างไม้เฉินเดินกลับไปนั่งอยู่ใต้ชายคาเพื่อทำงานของเขาต่อ

พรุ่งนี้มีตลาด สินค้าที่ลูกค้าสั่งเอาไว้ เขาต้องส่งมอบให้อีกฝ่ายอย่างตรงเวลา

หากล่าช้าไปหนึ่งวัน เงินก็จะล่าช้าไปหนึ่งวัน

“พูดเช่นนี้ไม่ได้ ข้าบอกท่านให้ พี่เซิ่นเป็นแกนนำเข้าร่วมการเรียนแล้ว ท่านรู้ผลประโยชน์หลังจากเข้าเรียนหรือไม่ ผลประโยนช์ก็คือรายได้สูงขึ้น! ท่านเต็มใจหรือที่หลังจากนี้ ทำงานฝีมือไม้เหมือนกัน สินค้าอย่างเดียวกัน แต่พี่เซิ่นได้เงินมากกว่าท่าน”

ใบหน้าดำของช่างไม้เฉินยู่ขึ้นทันที

ชื่อเสียงของพี่เซิ่นโด่งดังไปทั่ว ถึงแม้จะไม่เคยร่วมงานกัน แต่เขาเคยเห็นฝีมือของอีกฝ่าย

เพียงแต่อีกฝ่ายโดดเด่นเกินไป ส่งผลกระทบต่องานของผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะถูกคนเกลียดได้

หากไม่ใช่เรือนพักมีการรักษาความปลอดภัยที่ดี ทุกคนเกรงขามค่ายองครักษ์ อีกทั้งยังมีพ่อบ้านที่ดูแลพี่เซิ่น มือคู่นั้นของพี่เซิ่นเกรงว่าจะถูกคนตีจนพิการไปแล้ว

เวลานี้ พี่เซิ่นกลับเป็นแกนนำเข้าร่วมห้องเรียนของช่างฝีมือ รอเขาเรียนจบ เขาก็คงเป็นแกนนำของเรือนพักอย่างจริงจัง

เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะอิจฉาก็ดี ริษยาก็ดี ทุกคนก็ไม่อาจทำอันใดอีกฝ่ายได้แล้ว

เพราะว่าเวลานั้น พี่เซิ่นคงได้กลายเป็นตัวแทนของช่างฝีมือในเรือนพักไปแล้ว

ช่างไม้เฉินกลุ้มใจอย่างมาก

เขาเป็นผู้ลี้ภัย บ้านเกิดอยู่ภายในหุบเขายากจนทางตะวันตกที่ไกลออกไปกว่าพันลี้

ขาดน้ำ ขาดเสบียง ขาดสตรี…

โดยรวมแล้วคือขาดทุกอย่าง

ชีวิตไม่สามารถดำเนินต่อไปได้จนต้องแทะเปลือกไม้กินดิน ถึงแม้การออกจากบ้านเกิดเป็นเรื่องที่ยาก แต่เขาก็ทำได้เพียงเลือกที่จะเป็นผู้ลี้ภัยที่หันหลังให้บ้านเกิด

หลายปีนี้ เขาเดินทางไปยังแคว้นและเมืองต่างๆ…

ประสบกับการขับไล่ แต่ก็เคยได้รับการช่วยเหลือ…

สุดท้ายพเนจรมาถึงเมืองหลวง

เดิมทีเขาคิดจะเดินทางลงใต้ต่อไป ไปหาทางรอดในดินแดนอุดมสมบูรณ์ทางใต้

แต่ขาของเขาได้รับบาดเจ็บ เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงทำได้เพียงรอคอยความตายอยู่ในเมืองหลวง

แต่สวรรค์ก็ไม่ปิดกั้นหนทาง ไม่คิดว่าก่อนตาย สวรรค์จะประทานโอกาสให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ

เขาอาศัยฝีมือช่างไม้ของตระกูล เดินทางมายังเรือนพักด้วยขาที่เป๋

อีกทั้งยังมีภรรยา

เสียดายที่ภรรยาของเขาดวงไม่ดี ตายไปตอนให้กำเนิดบุตร ผู้ใหญ่จากไปแล้ว แต่เด็กยังมีชีวิตอยู่

เด็กมีหน้าตาน่าเอ็นดู เวลานี้เขาหลงเหลือเพียงความคิดเดียว หาเงิน เลี้ยงบุตรให้เติบใหญ่ สะสมมรดกไว้ให้บุตร

ให้บุตรไม่ต้องลำบากเหมือนเขา สามารถเป็นคนที่สง่างาม ไม่ต้องขอร้องผู้อื่นในการดำเนินชีวิต

เขาถามบ่าวรับใช้ของเรือนพัก “ได้ยินว่าภรรยาของพี่เซิ่นตั้งครรภ์แล้ว”

“มีสี่ห้าเดือนแล้ว ไม่ถึงการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง เด็กก็คงคลอดออกมา ได้ยินคนที่มีประสบการณ์บอกว่า ครรภ์นี้เป็นเด็กผู้ชายอย่างแน่นอน รอพี่เซิ่นเข้าเรียน ต่อไปเขายังสามารถสอนให้บุตรของเขาได้”

ช่างไม้เฉินได้ยินจึงนึกถึงบุตรของตนเองขึ้นมา

หากบุตรสามารถเรียนรู้ตำรา…

“อายุข้ามากเพียงนี้ เหตุใดด้านบนจึงลงชื่อของข้า” ช่างไม้เฉินสงสัยอย่างมาก

บ่าวรับใช้พูดเสียงดัง “ท่านฝีมือดี! ข้าพูดความจริงกับท่าน ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าไปเรียนได้ คนที่อยากเข้าห้องเรียนยังไม่ได้เข้า ท่านรู้ว่าเพราะเหตุใดหรือไม่ เพราะพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม ฝีมือของพวกเขาไม่ผ่านเกณฑ์

มีเพียงคนที่ฝีมือผ่านเกณฑ์จึงจะมีคุณสมบัติในการเข้าเรียน ด้านบนเจาะจงชื่อของท่าน ย่อมแสดงว่าเห็นด้วยกับฝีมือของท่าน โอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ ท่านอย่าพลาดไปเด็ดขาด! ข้าบอกท่านให้ หากพลาดโอกาสครั้งนี้ ไม่รู้ต้องรออีกกี่ปีจึงจะมีโอกาสเช่นนี้อีก เมื่อถึงเวลานั้น อายุของท่านยิ่งมากขึ้น เรียนขึ้นมาจะยิ่งยาก ฉวยโอกาสที่ยังอายุน้อย เรียนให้มากขึ้น ไม่มีผลเสีย!”

ช่างไม้เฉินลูบหน้า “เจ้าลองบอกข้าก่อน ห้องเรียนนี้เริ่มเรียนเมื่อใด แต่ละวันเรียนนานเพียงใด พวกข้าสองพ่อลูกล้วนอาศัยฝีมือของข้าหาเงิน หากข้าหยุดไป ในเรือนคงไม่มีกิน”

“วางใจเถิด ไม่ขัดขวางการทำงานของท่าน หลังจากเลิกงานตอนค่ำในแต่ละวัน ท่านก็ไปรายงานตัวที่ห้องเรียน เรียนวันละหนึ่งชั่วยาม”

แต่ละวันเรียนเพียงหนึ่งชั่วยาม อีกทั้งยังเป็นตอนค่ำ

ช่างไม้เฉินครุ่นคิดอยู่สักพัก ในที่สุดก็ตัดสินใจ “ได้! รวมข้าด้วย ข้าจะไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง”

เขาอยากจะเห็นว่าพี่เซิ่นจะเก่งกว่าเขาแม้กระทั่งการเรียนหรือไม่

ฝีมือตกทอดจากบรรพบุรุษจะสู้ช่างไม้ที่เรียนรู้ระหว่างทางไม่ได้เชียวหรือ

บ่าวรับใช้ดีใจที่ทำภารกิจสำเร็จอย่างราบรื่น “ช่างไม้เฉิน พวกเราตกลงตามนี้ ข้าลงชื่อของท่านเอาไว้ เริ่มเรียนเมื่อใดข้าจะมาแจ้งท่าน ท่านรอข่าวของข้า ข้ายังต้องไปหาคนอื่นอีก ขอตัว”

“เดินทางดีๆ !”

ใบหน้าอมทุกข์ของช่างไม้เฉินเผยรอยยิ้มที่หายไปนานออกมา

ราวกับชีวิตจะมีความหวังและความคาดหวังที่มากยิ่งขึ้น!