บทที่ 199 ชื่อเสียง
ที่แท้ราชสำนักไปตามสืบข่าวคราวของเด็กสาวคนนั้นมาจนได้ ยืนยันแล้วว่านางมาจากตระกูลกู้ ไม่ใช่ตระกูลลู่ ซ้ำยังสืบมาได้อีกว่าเป็นบุตรสาวของจวนโหว
แต่เป็นจวนโหวของผู้ใดนั้น พวกราชสำนักเองก็ยังไม่ยืนยัน
แต่จะมีสักกี่จวนโหวกันเล่าที่มาจากตระกูลกู้ ซ้ำยังไปโผล่ที่เมืองชนบทเมื่อปีที่แล้วในช่วงเดือนสามถึงเดือนหก
ซูเฟยรู้ในทันทีว่าจะต้องเป็นกู้จิ่นอวี้แน่นอน
ซูเฟยยื่นนิ้วจิ้มเข้าไปที่หน้าผากกู้จิ่นอวี้เบาๆ “ดูเจ้าสิ! นี่มันเป็นเรื่องดีนะ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่เห็นต้องเงียบเลย บิดาเจ้าไม่เอาเรื่องนี้ไปเล่นใหญ่หรอก! ให้คนกรมกลาโหมมาโขกสับบิดาเจ้าเสีย! ”
กู้จิ่นอวี้อ้าปากค้าง
ซูเฟยหัวเราะชอบใจ “ตอนเจ้ายังเล็กๆ ข้าเห็นเจ้าชอบวาดรูปอะไรไม่รู้บนกระดาษ องค์ชายห้าเองก็ทำตามเจ้าไปด้วย ตอนนั้นข้ายังคิดอยู่เลยว่ามันดูไร้สาระเหลือเกิน พอมาตอนนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะคิดผิดเสียแล้วละ”
แม่นมฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “พระสนม ยังจำเรื่องที่นางเคยขอให้เปลี่ยนกล่องใส่กระยาหารได้หรือไม่”
ทันใดนั้น ซูเฟยยกมือกุมขมับ ก่อนจะโพล่งเสียงหัวเราะดังลั่น “ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะเนี่ยถ้าเจ้าไม่พูดขึ้นมา! ใช่แล้ว! กล่องนั้นยังอยู่ไหม”
“ยังอยู่เพคะ! เก็บไว้อย่างดีเลย!”
“รีบไปหยิบมาเร็วเข้า!”
แม่นมฉีเดินไปที่ห้องเก็บของ และหยิบกล่องอาหารเก่าที่กู้จิ่นอวี้สั่งทำไว้เมื่อตอนที่นางยังเป็นเด็ก
กล่องอาหารในวังเป็นแบบชั้นต่อชั้นเหมือนกับถาดนึ่ง ตอนนั้นกู้จิ่นอวี้รู้สึกว่ากล่องอาหารประเภทนี้ไม่สะดวก มันคงจะดีถ้าแต่ละชั้นสามารถแยกได้
จิ่นอวี้ในวัยเด็กจึงประยุกต์กล่องอาหารด้วยการใส่โครงและทำเป็นเหมือนลิ้นชักเล็กๆ หลายชั้นที่สามารถดึงเปิดจากด้านข้างได้
แน่นอนว่านางไม่ได้ประกอบมันเอง นางให้ขันทีทำให้และตัวเองยืนกำกับอยู่ข้างๆ
นางได้รับคำชมจากฝ่าบาทด้วย
ที่จริงกล่องอาหารแบบนี้ก็มีตามท้องตลาด เพียงแต่กล่องแบบนี้เก็บอาหารร้อนได้ไม่ค่อยดีนัก เลยมักใช้กับของหวาน
แต่เพราะกู้จิ่นอวี้ไม่เคยเห็นมันมาก่อน เลยคิดขึ้นมาเอง ฝ่าบาทมองว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชมสำหรับเด็กหญิงอายุแปดขวบที่จะฉลาดขนาดนี้
ตั้งแต่นั้นมา ซูเฟยจึงได้ค้นพบพรสวรรค์ของกู้จิ่นอวี้ และมักจะเรียกไปที่วังเพื่อสอนหนังสือให้องค์ชายห้า
ซูเฟยกระซิบถามเด็กสาว “บอกความจริงมานะ เจ้าตั้งใจสร้างมันหรือขึ้นมาหรือเปล่า”
“เอ๋” กู้จิ้นอวี้สะดุ้งเฮือก
ซูเฟยยิ้มอย่างมีความสุข พลางเอ่ยต่อ “ใช่แล้ว เจ้านิ่งเงียบเช่นนี้ย่อมดีกว่าป่าวประกาศออกไป เจ้าสร้างความฮือฮาให้แก่ราชสำนัก และยังทำให้ฝ่าบาทหันมาสนใจเจ้ายิ่งขึ้น และยิ่งเจ้าเฉยเมยมากเท่าไหร่ ชื่อเสียง โชคลาภ และความเอ็นดูจากพระองค์ก็ยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น”
กู้จิ่นอวี้ถึงกับไปไม่ถูก
นางไปสร้างเครื่องสูบลมอะไรนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แทบไม่เคยจะได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“พระสนม ของที่ท่านต้องการมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้วางตรงไหนดีพะย่ะค่ะ” ขันทีเดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องสูบลม
กู้จิ่นอวี้มองซูเฟยด้วยสีหน้างุนงง
“มา ไหนบอกข้าซิ ว่าสิ่งนี้มันใช้งานอย่างไร! ถ้าฝ่าบาทพูดถึงเรื่องนี้ ข้าจะได้มีหัวข้อสนทนาร่วมกับฝ่าบาทได้บ้าง!”
เครื่องสูบลมอันนี้ได้มาจากกรมกลาโหม ซึ่งมีทั่วไปตามท้องตลาด
กู้จิ่นอวี้ไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ด้วยความฉลาดของนาง นางจึงขอให้คนช่วยถอดชิ้นส่วนของมันแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ นั่นทำให้นางเข้าใจหลักการและวิธีใช้เครื่องสูบลมนี้
เครื่องสูบลมนี้แบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นแรกคือตำแหน่งของคันโยก มีรูรับส่งลมทั้งสองฝั่งพร้อมกับตัวเปิดปิด
เวลาสูบลม รูรับส่งลมข้างหนึ่งจะถูกเปิดออก ลมจะเข้าจากตรงนี้ แล้วรูรับส่งลมอีกข้างหนึ่งจะถูกปิดกั้น ซึ่งพอดันคันโยกเข้า รูรับส่งลมที่ปิดอยู่ก็จะเปิดออก อันที่เปิดออกก็จะถูกดันให้ปิดลง
ด้านล่างเครื่องสูบลมจะเป็นช่องระบายลมที่เชื่อไว้กับเตาฟืน
พอดึงคันโยกกลับเข้าตัว ก็จะกลับเข้าสู่กลไกเดิมอีกครั้ง คือรูรับส่งลมข้างหนึ่งถูกปิด ข้างหนึ่งถูกเปิด
ลมนั้นก็จะถูกสูบเข้าไปยังจุดที่เชื่อมกับเตาฟืน
การทำงานของมันก็คือส่งลมเข้าเตาฟืนเพื่อให้ไฟร้อนขึ้น
ไม่ว่าจะดึงคันโยกเข้าหรือออก ก็ทำให้เกิดลมส่งไปที่เตา นับว่าเป็นการออมแรงเลยทีเดียว
สิ่งประดิษฐ์นี้ช่างสุดยอดนัก! กู้จิ่นอวี้ออกปากชมในใจอย่างไม่ขาดสาย
ถ้าเทียบกันแล้ว กล่องข้าวของตัวเองเลยดูง่อยไปเลย
ว่าแต่ ฝ่าบาทกับกรมกลาโหมเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
นางไม่ได้ประดิษฐ์สิ่งนี้ขึ้นมานะ!
“นี่เจ้าคิดอุบายนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน” ซูเฟยยังคงถามต่อ
กู้จิ่นอวี้นึกว่าซูเฟยพูดถึงเครื่องสูบลม ขณะที่กำลังจะเอ่ยสารภาพว่าตัวเองไม่ได้ทำ ซูเฟยก็ดันแย่งพูดก่อน “ไม่ป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน แค่ทิ้งกระดาษแปลนไว้ แล้วทิ้งร่องรอยให้คนอื่นตามสืบทีหลัง ตระกูลกู้ มีความสัมพันธ์กับจวนติ้งอันโหว ช่างแยบยลยิ่งนัก ไม่ทำให้ใครรู้สึกอึดอัด! สมกับเป็นหลานรักของข้าจริงๆ !”
แต่ก็อย่างว่า คนที่อยู่วังหลังมักจะมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้านอยู่แล้ว
กู้จิ่นอวี้ยิ่งรู้สึกสับสนหนักกว่าเดิม ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ ติ้งอันโหวก็มีบุตรสาวอยู่แค่สองคน ก็คือนาง กับอีกคนที่ดูจะวาดแปลนไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
อย่าบอกนะว่า เป็นฝีมือของนาง
แค่อ่านเขียนตัวหนังสือนางยังทำไม่เป็นเลย!
แล้วยิ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ละเอียดอ่อนขนาดนี้ ไม่มีทางที่นางจะทำออกมาได้หรอก
ขณะที่กู้จิ่นอวี้กำลังตกอยู่ในห้วงของความงุนงงสุดขีด จู่ๆ ซูเฟยก็ตบเบาๆ เข้าที่มือของนาง “ดอกกุ้ยฮวาสี่ฤดูบานแล้วนะ พวกเราไปเก็บดอกไม้แล้วนำไปให้คนในครัวหลวงทำขนมกุ้ยฮวาไปฝากท่านพ่อของเจ้า ไปกันเถอะ”
กู้จิ่นอวี้ถอนหายใจ ก่อนจะถูกลากไปที่สวนดอกไม้
ดอกไม้ในสวนของวังบานสะพรั่งอย่างดี สีสันสดใสชวนให้เชยชมยิ่งนัก
บังเอิญที่สวนแห่งนี้ไม่ได้มีแต่พวกเขาเท่านั้น แต่ยังมีจวงกุ้ยเฟยอยู่ด้วย
จวงกุ้ยเฟยอาวุโสกว่าซูเฟย แม้ความอ่อนเยาว์จะสู้ซูเฟยไม่ได้ แต่ความสง่าดูเป็นผู้ดีของนางเป็นที่ประจักษ์ทั่วกัน
“ท่านพี่กุ้ยเฟย บังเอิญนัก” ซูเฟยยิ้มระรื่นเอ่ยทักทายพลางโน้มตัวถวายบังคม
จวงกุ้ยเฟยน้อมรับแค่ครึ่งหนึ่ง
ทั้งสองเป็นพระสนมชั้นหนึ่ง แต่ด้วยความที่กุ้ยเฟยเป็นหัวหน้าของพระสนมทั้งสี่ ทำให้สถานะของนางสูงกว่าซูเฟย
กู้จิ่นอวี้เองก็ถวายบังคมให้จวงกุ้ยเฟย “ถวายบังคมเพคะ”
จวงกุ้ยเฟยยิ้มอย่างสง่างาม “ที่แท้ก็ท่านหญิงฮุ่ยนี่เอง ไม่ต้องพิธีรีตองมากหรอก”
“ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ” กู้จิ่นอวี้เอ่ย
กู้จิ่นอวี้เคยพบเจอกับจวงกุ้ยเฟยมาก็หลายครั้ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกว่าคราวนี้จวงกุ้ยเฟยแลดูอ่อนโยนเป็นพิเศษกว่าครั้งไหนๆ
จวงกุ้ยเฟยมองที่ใบหน้าของกู้จิ่นอวี้ด้วยสายตาอ่อนช้อย พลางเอ่ยถาม “ท่านหญิงฮุ่ยอายุสิบห้าบริบูรณ์แล้วสินะ มีคู่ครองแล้วหรือยัง”
“ท่านอา!”
เป็นเสียงของจวงเย่ว์ซีที่วิ่งมาพร้อมกับตะกร้าดอกไม้สด
เมื่อเห็นซูเฟยและกู้จิ่นอวี้ จวงเย่ว์ซีจึงโค้งคำนับ
แม้กู้จิ่นอวี้จะเป็นท่านหญิง แต่ก็ไม่อยากทำท่าน้อมรับจวงเย่ว์ซีต่อหน้าจวงกุ้ยเฟย จึงย่อตัวเล็กน้อยเป็นมารยาท
“เมื่อครู่พูดเรื่องอะไรกันหรือเพคะ” จวงเย่ว์ซีเอ่ยถาม
จวงกุ้ยเฟยยิ้มให้หนึ่งที ก่อนตอบ “กำลังพูดเรื่องคู่ครองของหญิงฮุ่ยอยู่น่ะ ว่าไปแล้ว เจ้าอายุมากกว่าท่านหญิงเขาตั้งหนึ่งปี ก็ยังไม่มีคู่ครองเหมือนกันเลย”
สำหรับแคว้นเจา เด็กสาวอายุครบสิบห้าบริบูรณ์สามารถมีคู่ครองและออกเรือนได้แล้ว แต่สำหรับครอบครัวที่มาจากตระกูลร่ำรวย ส่วนใหญ่จะไม่เร่งรัดให้ลูกรีบแต่งงาน การออกเรือนตอนอายุสิบแปดก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเขา
แต่ถ้าเป็นบุตรชาย จะต้องรอให้อายุครบยี่สิบก่อน จึงจะเริ่มหาคู่ครองและออกเรือนได้
ดังนั้น ที่จวงกุ้ยเฟยจู่ๆ นึกครึ้มเอ่ยถามจิ่นอวี้เรื่องคู่ครองนั้นก็ดูเหมือนแฝงนัยบางอย่าง
ซูเฟยหัวเราะ ก่อนเอ่นตอบ “ยังเร็วไปน่า”
จวงกุ้ยเฟยเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินมาว่า นางมีพี่สาวที่ออกเรือนแล้วใช่หรือไม่”
กู้จิ่นอวี้เริ่มหน้าตึง
ซูเฟยยังคงทำหน้าเหมือนปกติ “ก็เพราะนางโตในชนบท ฉะนั้นออกเรือนเร็วจึงมิใช่เรื่องแปลก”
ในเมื่อกุ้ยเฟยรู้เรื่องแล้ว ปิดบังเรื่องนี้ต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ สู้พูดออกไปให้ชัดเจนเลยเสียจะดีกว่า
จวงกุ้ยเฟยยิ้มย่อง พลางถอนหายใจ ก่อนเอ่ย “ซูเฟยต้องระวังไว้ละ หลานสาวน่ารักขนาดนี้ ระวังจะได้คู่ครองไม่ดี”
พระสนมทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันกลับตำหนัก
ทั้งจวงกุ้ยเฟยและซูเฟยเอาแต่พูดถึงเรื่องกู้จิ่นอวี้จนไม่มีใครสนใจจวงเย่ว์ซีที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่กู้จิ่นอวี้รู้สึกได้ว่าตัวเองมีความสำคัญสำหรับเหล่าพระสนม
“ดูเหมือนว่าจวงกุ้ยเฟยจะรู้เรื่องการประดิษฐ์เครื่องเป่าลมของเจ้าด้วย ข่าวนางเร็วมาก ข้าแค่บังเอิญได้ยินตอนไปส่งขนมให้ฝ่าบาท แต่ไม่รู้ว่านางรู้ได้ยังไง หึ สงสัยคงจะเป็นสายสืบของนางกระมัง” ระหว่างทางกลับตำหนักฉางชุน ซูเฟยเอ่ยกับจิ่นอวี้ด้วยท่าทีภูมิใจ
จู่ๆ กู้จิ่นอวี้เกิดเริ่มตระหนักได้ว่า ที่วันนี้จวงกุ้ยเฟยดีกับนางเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะเรื่องนี้สินะ
อานุภาพของการประดิษฐ์เครื่องสูบลมมันยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียว
จู่ๆ ความกล้าที่จะสารภาพความจริงก็พลันหายไป “เหตุใดจู่ๆ กุ้ยเฟยถึงถามข้าเรื่องคู่ครองเล่าเพคะ”
คงไม่ใช่เพราะจะทาบทามนางให้กับอันจวิ้นอ๋องหรอกนะ
ซูเฟยให้คำตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็คงอยากดึงเจ้ามาเป็นพวกกระมัง ตั้งแต่ไท่จื่อได้เวินหลินหลังไปก็ดูจะเริ่มข็งแกร่งมากขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเป็นแบบเซียวฮองเฮา ก็คงทำไปเพื่อจะหาคนเก่งๆ มาช่วยลูกชายนางนั่นแหละ”
แต่หนิงอ๋องมีคู่ครองแล้ว หากกู้จิ่นอวี้เข้าไปก็เป็นได้แค่พระสนมรองมิใช่หรือ
หนิงอ๋องเฟยเองก็ไม่ใช่เล่นๆ หลวมตัวเข้าไปมีหวังได้ใช้ชีวิตลำบากแน่นอน
และที่สำคัญ กู้จิ่นอวี้ไม่ได้โปรดหนิงอ๋องแต่อย่างใด คนที่นางโปรดคืออันจวิ้นอ๋องต่างหาก
กู้จิ่นอวี้คว้าแขนซูเฟย ก่อนจะพูดเชิงอ้อนวอน “ท่านอา ข้าไม่อยากแต่งงานกับหนิงอ๋อง”
ซูเฟยโบกมือปัด “อาจจะไม่ใช่หนิงอ๋องก็เป็นได้”
กู้จิ่นอวี้ถามต่อ “นางมีบุตรชายแค่คนเดียวมิใช่รึ”
ซูเฟย “ก็นางมีหลานชายอีกไม่ใช่หรือ”
แววตากู้จิ่นอวี้ส่องประกายในทันใด “ท่านอาหมายถึง…อันจวิ้นอ๋องหรือเพคะ”