ตอนที่ 159 ราชวังบุปผา!

มหากาพย์ดาบเทวะ!

แววตาดูถูกของโฉวลู่ได้หายไปก่อนจะเข้าไปเอ่ย “ความแข็งแกร่งท่านไม่เลว อย่างนี้ค่อยมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ข้าหน่อย ไว้เจอกันในเทียบอันดับสวรรค์!” ทันทีที่กล่าวจบ โฉวลู่ไม่เปลืองลมหายอีก เขาหันกลับไปยืนอยู่ข้างคก

จากนั้นชายหนุ่มอีกคนได้เดินออกมา ชายหนุ่มกวาดสายตามองหยางเย่และหยุดลงที่มู่หรงเหยา หลังจากนั้นเขาส่ายหัว “ความแข็งแกร่งช่างเหมาะสมกับรูปร่าง หน้าตา แต่น่าเสียดาย น่าเสียดาย

ทันทีที่กล่าวจบ ชายหนุ่มไม่รอชเดินไปที่เสาวัดพลัง หลังจากนั้นเขางอมือขวา ทําให้ฝ่ามือชี้ลงไปที่พื้น ไม่นานพลังปราณสีดาปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ

ทันใดนั้นแสงที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้ส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง

“ราชวังบุปผามาแล้ว ราชวังหิมะก็มาเช่นกัน!” ใครบางคนตะโกนขึ้น

ทุกสายตาหันไปมองค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกครั้ง

ทั้งสองกลุ่มปรากฏตัวขึ้นกลางค่ายกล กลุ่มสี่คนทางด้านซ้ายสวมชุดยาวที่พาดไป ด้วยลายดอกไม้ ส่วนกลุ่มด้านขวาสวมชุดสีขาวล้วน ทั้งสองกลุ่มนี้มีความคล้ายคลึง กันอย่างมาก และพวกเขาล้วนเป็นสตรี นอกจากนั้นทุกคนยังงดงามไม่แพ้กัน

“เห็นสตรีชุดขาวที่สวยที่สุดทางด้านขวาหรือไม่?” มู่หรงเหยาบอกหยางเย่ “นางเคยสังหารยอดฝีมือขั้นปราณราชันมาก่อนในอดีต และนางยังมีพลังปราณห้าธาตุสายน้ํา ดังนั้นเจ้าต้องระวังหากได้สู้กับนางในอนาคต!”

“แล้วกลุ่มด้านซ้ายล่ะ?” หยางเย่มองไปยัง เมื่อเทียบกับราชวังหิมะ เขาสนใจราชวังบุปผามากกว่า

มู่หรงเหยามองหยางเย่ก่อนจะเอ่ย “เห็นสตรีด้านซ้ายที่มีผ้าคลุมหน้าคนนั้นหรือไม่ นางคือเหวินเหรินเยว่อยู่ขั้นปราณสวรรค์ระดับเก้า นางลึกลับอย่างมาก และยังไม่มีข่าวลืออะไรสักครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ควรระวังให้มากขึ้น!”

“เหวินเหรินเยว่ ฮิ?” หยางเย่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขามองมู่หรงเหยา “เจ้าเองก็ดูเหมือนจะมีข้อมูลของอัจฉริยะเหล่านี้มากมายเลยนะ!”

“ถูกต้อง!” มู่หรงเหยากล่าว “มีเพียงแต่ต้องทราบความแข็งแกร่งของผู้อื่นเท่านั้น ข้าถึงจะสามารถเข้าใจความแข็งแกร่งของตนเองว่าควรยั้งมือหรือทุ่มสุดตัว มิเช่นนั้น หากมัวแต่หลงค่าเป็นยอจนเกินไปก็จะเป็นอย่างซีตูหรง!”

หยางเย่ยิ้มเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงแข็งแกร่งนัก!”

“เจ้าเองก็ไม่เลว เพราะข้าสามารถสัมผัสรังสีอันตรายจากเจ้าได้!” มู่หรงเหยาขมวดคิ้วขณะกล่าว

“พวกเราอยู่ในเรือลาเดียวกันตอนนี้ ดังนั้นถึงแม้ข้าจะอันตรายก็ไม่ทําอะไรคนอื่นหรอกไม่ใช่หรือ?” หยางเย่กล่าวพร้อมยิ้ม

“มันคงเป็นเรื่องดีหากศิษย์ที่เข้าร่วมประลองของสํานักดาบราชั้นทุกคนคิดเช่นนี้” มู่หรงเหยากล่าวอย่างหนักแน่น

หยางเยยิ้มและไม่ทําสิ่งใดต่อ เขาสามารถรู้สึกได้ว่าบรรดาศิษย์ในรุ่นพี่นั้นไม่ยอมรับมู่หรงเหยา ฉินเฟิง และเขาอย่างแท้จริง แต่ก็หาได้สนใจเรื่องนั้นไม่ ตราบใดที่พวกเขาไม่ทําให้พวกหยางเย่ขุ่นเคืองก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ กล่าวคือมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นแม้แต่น้อย

ราชวังหิมะและราชวังบุปผาดูเหมือนจะไม่ถูกกัน ทั้งสองกลุ่มมองกันอย่างเย็นเยือกก่อนจะเดินไปยังทางเข้าเมือง

“คูก อวี่เหิง ไม่คาดคิดว่าพวกเจ้าทั้งสองจะมาเป็นคนนํากลุ่มครั้งนี้!” สตริงดงามคนหนึ่งที่นํากลุ่มราชวังบุปผามองอวี่เพิ่งและคูกก่อนจะกล่าวขึ้น

“ไชเฟิง ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี เจ้ายังคงงดงามเช่นเดิม!” อวี่เพิ่งเผยแววตาอันซับซ้อนเล็กน้อยขณะมองนาง จากนั้นเขาถอนหายใจออกมา “มันยังรู้สึกเหมือนเมื่อวานนี้ที่พวกเราเคยเป็นสหายกัน เฮ้อ…”

ประกายแห่งความซับซ้อนปรากฏผ่านดวงตาสตรีนามไชเฟิงเช่นกัน หลังจากผ่านไปไม่กี่สิบปี เจ้าก็แทบจะกลายเป็นตาเฒ่าแล้วสินะ”

“เวลาไม่เคยปรานีผู้ใด!” อวี่เหิงส่ายหัวก่อนจะยิ้ม

ทันใดนั้นสตรีอีกคนที่น่ากลุ่มราชวังหิมะได้กล่าวอย่างเย็นเยือก “ช่วยไปรื้อฟื้นไฟรักของพวกเจ้าที่อื่นได้หรือไม่?”

ท่าทีไชเพิ่งเปลี่ยนไปก่อนจะแสยะยิ้ม “แล้วจะทําไม? มันก็ยังดีกว่าเป็นคนที่ไม่มีอะไรให้นึกถึงด้วยซ้ํา!”

สตรีชุดขาวมองอย่างเย็นชาไปที่ไชเฟิงก่อนจะมองอวี่เพิ่ง “อวี่เหิง เจ้าเป็นคนที่หล่อเหลาโดดเด่นเมื่อหลายปีก่อน อะไรทําให้เจ้าสนใจสตรีผู้นี้? โชคดีที่เจ้าไม่เลือกจะคบกับนาง มิเช่นนั้นคงได้ถูกสวมเขาไปหลายปี คงไม่ทราบสินะว่าจํานวนผู้ชายที่เป็นสัตว์เลี้ยงของนางนั้นเข้าเลขสามหลักไปแล้ว!”

ท่าทีไชเฟังดูไม่ค่อยดีนักก่อนจะเอ่ย “ปิงอวี่ เจ้าหาเรื่องงั้นหรือ?”

“คิดว่าข้ากลัวหรือไง?” ซึ่งอวี่หัวเราะอย่างเย็นชา

“ข้าคงต้องขอตัวก่อน!” ท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนแรงของสตรี คูกได้ประกบมือลาสตรีทั้งสองพร้อมน่าชายหนุ่มทั้งสามเดินจากไป

เขาไม่คิดจะสนใจในความขัดแย้งของทั้งสองราชวังนี้

อวี่เพิ่งประกบมือก่อนจะจากไปเช่นกัน เพราะเขาเองก็ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเรื่องความขัดแย้งระหว่างสองราชวังนี้ สํานักดาบราชันยังไม่เหมาะสมที่เข้าข้างใคร ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดหากรีบถอนตัว

“มีคนนามหยางเยู่ในสํานักดาบราชันของเจ้าหรือไม่?” ขณะที่อวี่เพิ่งจะจากไป ไชเฟิงได้กล่าวขัดขึ้น

ซีตหรงมองไปทางหยางเย่ขณะที่ซูชิงฉือและอวี่เหิงขมวดคิ้ว

หยางเย่เองก็ชะงักเช่นกัน นางคิดจะหาเรื่องเรางั้นหรือ?

แต่เขาไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยเพราะมีสถานะอาจารย์ยันต์อยู่ ดังนั้นเขาจึงเดินออกมาพร้อมกล่าว “ข้าเอง!”

เมื่อได้ยินหยางเย่ ศิษย์จากราชวังบุปผาหันไปมองเขา โดยเฉพาะเหวินเหรินเยว่ที่มีผ้าบางปกคลุมใบหน้าอยู่ ดวงตาอันงดงามเผยประกายแห่งความสงสัย

ไชเฟิงมองหยางเยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะกล่าว “เจ้าคือบุตรเฟิงอวสินะ?”

หยางเย่มองนางเล็กน้อย

“ขั้นปราณสวรรค์ระดับสอง? ข้าคิดว่าบุตรของเฟงอวี่จะแข็งแกร่งกว่านี้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะอยู่เพียงขั้นปราณสวรรค์ระดับสอง ช่างน่าผิดหวังนัก!” ไช่เพิ่งส่ายหัวเล็กน้อย

“ท่านพล่ามเสร็จหรือยัง?” หยางเย่กล่าวอย่างเย็นชา

ความสงบเยือกเย็นของหยางเย่ตอนนี้ดูน่ารังเกียจต่อนางอย่างยิ่ง ไชเฟิงหรี่ตาเล็กน้อย “อย่าคิดว่าเจ้าจะนอนหลับได้อย่างสงบเพียงเพราะมีหลินชานอยู่ หากราชวังบุปผาต้องการจัดการใครสักคน เช่นนั้นแม้กระทั่งสมาคมผู้ใช้ยันต์ก็ไม่สามารถหยุดได้”

หยางเย่พยักหน้า “ข้าเชื่อท่าน ไว้ข้าจะรอ”

“เจ้าไม่กลัวมารดาจะตายหรือไง?” ไชเฟิงกล่าวต่อ

หยางเย่หัวเราะขึ้นมาทันที “ด้วยสถานะอันสูงส่งของราชวังบุปผา ท่านคงไม่คิดจะใช้มารดาของใครสักคนมาข่มขู่หรอกกระมั้ง?”

“นั่นอาจไม่จําเป็นสําหรับพวกนางหรอก!” ทันใดนั้นปิงอวี่กล่าวอย่างเย็นชา “ราชวังบุปสามารถเลี้ยงดูผู้ชายได้มากมาย ดังนั้นเรื่องแค่นี้พวกมันไม่สนใจอยู่แล้ว เจ้าหนุ่ม รับคําเตือนข้าไว้ หากราชวังบุปผาคิดจะก่าราบเจ้าโดยการใช้มารดาเจ้า เช่นนั้นก็เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ประนีประนอมกับพวกมัน เพราะหากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะตายไปพร้อมกับมารดา และถึงแม้จะไม่ตาย ชีวิตเจ้าก็ทรมานไม่ต่างจากตาย!”

“ขอบคุณสําหรับคาเตือนพี่หญิง!” หยางเยโค้งค่านับปิงอวี่ก่อนจะมองไชเฟิง “หากไม่มีอะไรแล้วข้าต้องขอตัว”

แววตาอามหิตเผยออกมาขณะที่นางโคจรพลังปราณทั่วร่างกาย ทันใดนั้นซูชิงฉือปรากฏขึ้นตรงหน้าหยางเย่พร้อมกล่าว “พี่ไชเฟิงคงไม่รังแกเด็กหรอกนะ?”

อวี่เหิงกล่าวขึ้น “ไชเฟิง เห็นแก่หน้าข้ายุติเรื่องครั้งนี้ไว้ก่อนได้หรือไม่?” หยางเย่ร่วมประลองในนามสํานักดาบราชันตอนนี้ ดังนั้นหากเขาปล่อยให้ไปเฟิงเย้ยหยันหยางเยอีก เช่นนั้นจะไม่ใช่หยางเยู่ที่เสียหน้า แต่เป็นสํานักดาบราชั้นแทน

ผ่านไปชั่วครู่ไชเฟิงได้กล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าจะเห็นแก่หน้าอวี่เหิงและยุติเรื่องครั้งนี้ไว้ ไอ้หนู ข้ายืนยันว่าวันหนึ่งเจ้าจะได้ไปอยู่กับมารดาแน่นอน เวลานั้นข้าจะทําให้เจ้าทรมานยิ่งกว่าตาย!”
ใบหน้าหยางเย่หาได้มีความรู้สึกใดไม่ เขาไม่กล่าวตอบโต้แม้แต่คําเดียวพร้อมเดินเข้าเมืองไปอย่างสงบ หยางเย่ทราบว่าคนตรงหน้านั้นก็ไม่ต่างจากเฟิงอี้ที่ไม่ชอบมารดาเขา เวลานี้หยางเย่เองได้ทราบว่าไชเฟิงไม่ได้กล่าวผิด สมาคมผู้ใช้ยันต์สามารถปกป้องเขาได้ตอนนี้ แต่ไม่สามารถปกป้องเขาไปได้ตลอดชีวิต เพราะหากราชวังบุปผาจ้างมือสังหารที่เป็นยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ หรือปราณราชั้นขึ้นไป เช่นนั้นเขาจะไม่มีที่พักพิงอีก

ดังนั้นจึงต้องแข็งแกร่งขึ้น นั่นคือหนทางสุดท้าย!

“หยางเย่!” ทันใดนั้นเสียงคุ้นเคยได้ดังเข้าหู หยางเย่หันไปมอง และพบว่าเป็นสิ่งหงที่กําลังยิ้มกว้างให้เขา ยิ่งกว่านั้นยังมีหมานซื้อและเฉียวไร่อยู่ด้านข้าง

“พวกเจ้ามาทําอะไรที่นี่?” หยางเย่เดินไปหาพร้อมเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุข