ตอนที่ 465 ผีพนันยังมีหน้ามาเลือกด้วยหรือ ตอนที่ 466 เชื้อเชิญ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 465 ผีพนันยังมีหน้ามาเลือกด้วยหรือ

ซ่งฝูซานโกรธจนตัวสั่น เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมขึ้นรถเกวียน

ลู่ข่ายเป็นคนนอก มองเห็นดังกล่าวก็ยังรู้สึกสงสารคนผู้นี้

ผู้ชายที่อายุตั้งสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ถูกเด็กสาวในตระกูลซ่งทำให้โมโหจนพูดไม่ออก อุตส่าห์ไปยืมเงินมาด้วยความยากลำบาก แต่ก็ถูกหลอกเอาไปเสียแล้ว ช่าง…น่าปวดใจจริงๆ

“ท่านลุง ท่านยังมีเงินเหลืออีกหรือ ไม่นั่งรถลาของข้า เช่นนั้นก็เดินกลับไปเองแล้วกัน แต่หากท่านไม่กลับไป ไว้เดี๋ยวท่านปู่มา ท่านจะยิ่งขายหน้าไปกันใหญ่นะเจ้าคะ คนทั้งโรงย้อมสีจะรับรู้กันถ้วนหน้า เมื่อท่านถูกท่านปู่สั่งสอนแล้ว จากนี้ก็คงต้องทำงานด้วยความไม่สบายใจ และท่านก็คงไม่ถึงขั้นหนีหายไปด้วยเรื่องเล็กๆ แค่นี้หรอกกระมัง” ซ่งอิงกล่าวอีกครั้ง

ซ่งฝูซานเดือดดาลไม่เบา แต่ก็กระวนกระวายใจเช่นกัน

เมื่อก่อนบิดาเขาผู้นั้นเห็นความสำคัญในภาพลักษณ์ศักดิ์ศรีของบุตรชายคนโตเป็นพิเศษ แต่นับแต่เรื่องที่บุตรชายอกตัญญูผู้นั้นกระทำขึ้นมา ผู้เฒ่าซ่งก็มีท่าทีเปลี่ยนไปมาก

ครั้งก่อนมาในตัวอำเภอแห่งนี้ ยังต่อว่าเขาชุดใหญ่เชียวละ!

ตอนนี้หากเขาไม่เป็นฝ่ายกลับไปหา เกรงว่าจะเอาเรื่องเอาราวจนเขาต้องหลุดออกจากงานเป็นแน่!

แต่จะให้นั่งรถเกวียนลาของหลานสาวกลับไปน่ะหรือ

ซ่งฝูซานรู้สึกเดือดดาลในใจ รู้สึกยอมเสียหน้าไม่ได้ โอ้เอ้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้าจะกลับไปด้วยตัวเอง!”

“ข้าจะบอกกับท่านปู่ไว้ว่าท่านจะกลับมาก่อนฟ้ามืดวันนี้ หากเกินกว่าช่วงเวลาที่ข้าบอกไว้… ถึงเวลาก็จะให้ท่านปู่มาหาท่านแล้วกัน” ซ่งอิงเอ่ยพูดอย่างสบายๆ เมื่อพูดจบก็ควบรถเกวียนลากลับหัวรถแล้วเคลื่อนจากไป

มีให้นั่งไม่นั่ง ผีพนันยังมีหน้ามาเลือกอีกหรือ

ซ่งฝูซานเดิมทีคิดจะเล่นตัวสักหน่อย หากหลานสาวผู้นี้ดึงดันให้เขาขึ้นนั่งบนรถเกวียนอีก เช่นนั้นก็จะขึ้นไปนั่งเป็นอันสิ้นเรื่อง…

ใครจะรู้ว่า เด็กสาวคนนี้พอบอกว่าจะไปก็ไม่หันกลับมาอีกเลย นอกจากเคลื่อนรถไปแล้ว ยังทิ้งกองอุจจาระลาเอาไว้ให้ด้วยอีกหนึ่งกอง!

ภายในเขตตัวอำเภอ รถลารถม้าจะมีสถานที่สำหรับจอดเป็นการเฉพาะ คนเหล่านั้นจะทำหน้าที่เก็บกวาดสิ่งปฏิกูลตามพื้นให้ ในเมื่อซ่งอิงนำรถลาขึ้นมาบนถนนสายนี้ได้ เช่นนั้นก็แสดงถึงว่านางจ่ายค่าใช้เส้นทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกอุจจาระลาก็ย่อมมีคนอื่นเป็นผู้จัดการเก็บกวาดให้เป็นธรรมดา…

แต่ตอนนี้ ณ ตรงนี้เป็นหน้าประตูโรงย้อมสีน่ะสิ?

หากเถ้าแก่มองเห็นว่าหน้าประตูมีอุจจาระหนึ่งกองเยี่ยงนี้ ก็จะเผยสีหน้าไม่พอใจเอาได้!

ซ่งฝูซานมองซ้ายมองขวา ท้ายที่สุดกลับไปหากระดาษไขมาหนึ่งห่อ แล้วเก็บเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา

ในใจทวีความเดือดดาลยิ่งขึ้น

วันนี้ช่างซวยจริงๆ

ไฉนจึงถูกเด็กสาวนั่นจับได้เสียแล้ว หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงไม่ถึงขั้นนี้หรอก?

“แม่นางซ่งช่างเป็นคนที่ตรงไปตรงมาจริงๆ…” ลู่ข่ายเผยสีหน้าประหม่าเล็กน้อย สำหรับเขา นี่เป็นการได้เห็นความลับของวงศ์ตระกูลคนอื่นแล้ว หากเป็นตระกูลใหญ่โต เช่นนั้นก็จะเป็นปัญหาใหญ่ไม่น้อยทีเดียว

“ไม่เกี่ยวอะไรกับความตรงไปตรงมาหรอก การเล่นพนันเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ จะให้เกิดความเคยชินไม่ได้ อย่าว่าแต่ลุงใหญ่เลย ต่อให้เป็นท่านพ่อข้าก็สมควรได้รับการสั่งสอนเช่นกัน มิเช่นนั้นคนผู้หนึ่งก็จะไร้มโนธรรม และทำให้ทั้งครอบครัวเผชิญหายนะ” ซ่งอิงกล่าวอย่างมีเหตุมีผล

สังคมนี้แตกต่างกับภพชาติก่อนเหลือเกิน ไม่มีการอยู่โดยลำพังเป็นอิสระอะไรทำนองนั้นหรอก

มีเพียงตราบใดที่บิดามารดาเลี้ยงดูมา เช่นนั้นก็จะยังคงเป็นสัมพันธ์แน่นแฟ้นรวมเป็นหนึ่งเดียว

พูดอย่างง่ายๆ คือ ในภพชาติก่อนหากคนผู้หนึ่งกระทำผิดแล้วต้องโทษประหาร จะตายก็ตายเพียงคนที่กระทำความผิดเท่านั้น แต่ในยุคสมัยนี้เล่า

สามชั่วโคตร เก้าชั่วโคตร ล้วนไม่ใช่เรื่องแปลก

แม้ว่าสถานการณ์ประเภทนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ก็จะส่งผลกระทบต่อด้านอื่นด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเมื่อคนผู้หนึ่งไม่รู้ความ ก็จะทำให้ทั้งวงศ์ตระกูลอับอายขายหน้าจนไม่มีหน้าพบปะผู้ใด

การพนันถือเป็นเรื่องเล็กเช่นกัน

แต่เรื่องเล็กก็ทำให้มองเห็นถึงอุปนิสัยของคนได้

เรื่องเล็กไม่ขัดขวาง เมื่อถึงคราวเรื่องใหญ่ก็คงจะขัดขวางไม่ได้แล้ว

หากการเสียสละกระดูกของท่านลุง แลกมาซึ่งการที่เขาจะได้อยู่บ้านอย่างสงบเสงี่ยมไม่สร้างความเดือดร้อนให้ในตระกูลได้ ซ่งอิงคิดว่าคุ้มค่า ดังนั้นเมื่อกลับไปถึงบ้านซ่ง นางจะยื่นมีดให้หนึ่งเล่มอย่างแน่นอน และจะไม่เกรงใจโดยเด็ดขาด

ลู่ข่ายในขณะนี้จมอยู่ในห้วงแห่งความนึกคิด

“เช่นนั้นหาก… ภายหลังถูกผู้อาวุโสต่อว่า และถูกคนอื่นเคลือบแคลงใจในนิสัยของตนเองว่าไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้ เช่นนั้นจะทำอย่างไร” ลู่ข่ายกล่าวขึ้นอีกครั้ง

ซ่งอิงหันหน้าไปมองเขา “คุณชายลู่มีเรื่องประเภทคล้ายกันนี้ในตระกูลหรือ หากเป็นเช่นนี้ ข้าคิดว่าท่านไม่ต้องกังวลใจไปหรอก…”

“ทำไมหรือ” ลู่ข่ายเอ่ยถามโดยสัญชาติญาณ

ตอนที่ 466 เชื้อเชิญ

หลังเอ่ยถามจบ ลู่ข่ายรู้สึกเสียใจภายหลัง เพราะน้องสาวจากตระกูลซ่งมองดูเหมือนกำลังเยาะหยันเล็กน้อย

“แน่นอนว่าเป็นเพราะคุณชายลู่ดูไม่ใช่คนที่จะ…เข้ากับผู้คนได้ง่าย ต่อให้ถือมีดอยู่ด้านหลัง ก็ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกเหนือความคาดหมายเช่นกัน” ซ่งอิงหัวเราะมาดร้าย

“…” ลู่ข่ายอ้าปากพะงาบ รู้สึกตระหนกตกใจ ก่อนจะตามมาด้วยความรู้สึกจิตใจเลื่อนลอยและไม่รู้จะทำอย่างไร

ที่แท้ น้องสาวจากตระกูลซ่งผู้นี้ ไม่ใช่ผู้ที่นิสัยบอบบางอ่อนโยนและไม่มีความเด็ดขาดจริงๆ ด้วย

เขาน่าจะมองออกตั้งแต่ตอนที่นางขายที่คั่นใบไม้ได้แล้ว แต่ยังเป็นฝ่ายเอ่ยถามคำพูดนี้ออกมาเสียได้ ช่างโง่เขลาจริงเชียว

“น้องสาวข้าพูดจาตรงไปตรงมา น้องชายอย่าได้เก็บเอาไปใส่ใจเลย” ซ่งสวินยิ้มเล็กน้อย และอดตำหนิซ่งอิงเล็กน้อยไม่ได้

ลู่ข่ายถอนหายใจ

“จะได้อย่างไรกัน น้องซ่งเป็นคนตรงไปตรงมาและจริงใจ ถือเป็นผู้ที่พบเจอได้ไม่บ่อยครั้งนัก” ลู่ข่ายถือโอกาสยกยอปอปั้น

ซ่งอิงสะบัดแส้เส้นเล็ก “ข้าเกิดปีเดียวเดือนเดียวกับพี่ชายข้า”

“…” ลู่ข่ายรู้สึกกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย

ดังนั้น ไม่ใช่น้องสาวจากตระกูลซ่ง หากแต่เป็นพี่สาว?

ลู่ข่ายสีหน้าแข็งทื่อและนิ่งเงียบไป

ซ่งอิงส่งลู่ข่ายไปยังบ้านตระกูลลู่ก่อนเป็นอันดับแรก ต้องขอกล่าวว่าตระกูลลู่เป็นวงศ์ตระกูลที่ใหญ่โตมีหน้ามีตาจริงๆ เรือนหลังโตตั้งอยู่บนถนนสายทิศตะวันออกของตัวอำเภอ ซึ่งบริเวณใกล้กับถนนสายดังกล่าวก็มีสถานที่ราชการ รวมไปถึงเรือนหลังโตอีกหลายหลัง บ้านเรือนหลังใหญ่โตเหล่านี้ล้วนเป็นของตระกูลผู้ที่เป็นขุนนาง หากเป็นผู้ที่มาจากตระกูลพ่อค้า ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้

เพียงแต่ที่ชวนให้ซ่งอิงประหลาดใจคือ ด้านข้างของตระกูลลู่ คือจวนฮั่ว

ซ่งอิงไม่รู้เช่นกันว่า จวนฮั่วแห่งนี้ใช่เรือนที่อยู่ในตัวอำเภอของ ‘ท่านอาใต้เท้า’ ที่นางไม่อยากผูกสัมพันธ์ด้วยผู้นั้นหรือไม่…

“วันนี้ขอบคุณแม่นางซ่งมากที่มาส่ง…” หลังจากลู่ข่ายลงรถ ถูกข้ารับใช้เด็กหนุ่มที่อยู่หน้าประตูบ้านตระกูลลู่มองอย่างสนอกสนใจ ก็พลันสีหน้าแดงก่ำ มองดูอับอายอย่างยิ่ง

ซ่งอิงพอเข้าใจได้เช่นกัน คุณชายน้อยที่เคยนั่งรถม้า แต่แล้ววันหนึ่งจู่ๆ ก็มานั่งรถลาที่รอบด้านโล่งโจ้ง ย่อมต้องสะเทือนใจและรับไม่ได้เป็นธรรมดา

ครั้นซ่งอิงหันกลับมาทางด้านนี้ จึงหันหน้ามองไปโดยรอบสารทิศ

แน่นอนว่า ดวงตาของนางในเวลานี้มองเห็นสิ่งต่างๆ แตกต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว

นางกำลังมองอากาศ

สิ่งที่ล่องลอยโดยมองไม่เห็นประเภทนั้นกลับมีกลิ่นอายอากาศที่แปลกประหลาดปะปนอยู่ด้วยจริงๆ ซึ่งนั่นกลายเป็นความน่าสนใจของพลังงานเหนือธรรมชาติสำหรับนาง…

ในจวนฮั่วที่ผ่านไปเมื่อครู่ บรรยากาศแข็งแกร่งและสมดุล

ทว่าสำหรับตระกูลลู่…

ซ่งอิงเงยหน้ามองดู จากนั้นกลับขมวดคิ้ว แอบรู้สึกถึงความรู้สึกอย่างที่คุ้นเคยบางอย่าง

ตระกูลลู่…มีปีศาจ?

ซ่งอิงเผยสีหน้าคิดไม่ตก จากนั้นมองไปยังลู่ข่ายแวบหนึ่ง ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ

ตอนนี้ซ่งอิงยังคงไม่ได้ปล่อยผ้าหน้าที่เย็บติดกับหมวกลงมา ดังนั้นลู่ข่ายมักรู้สึกว่าสีหน้าของซ่งอิงแปลกๆ เล็กน้อย หลังครุ่นคิดก็เป็นอันนึกถึงประเด็นสำคัญหนึ่งขึ้นมาได้!

พี่ชายน้องสาวจากตระกูลซ่งคู่นี้มาส่งตนกลับถึงบ้านด้วยตัวเอง ว่ากันตามมารยาททั่วไป เขาควรต้องเชิญทั้งสองเข้าไปด้านในสักหน่อย ต่อให้เป็นเพียงการดื่มชาสักถ้วยก็ตาม…

“พี่ซ่งพอจะมีเวลาว่างหรือไม่ ในเมื่อมาแล้วทั้งทีก็เข้าไปนั่งในบ้านข้าสักหน่อยจะดีกว่า มีหนังสือหายากหลายเล่มที่ข้าอยากจะถามไถ่พี่ส่งพอดีด้วย” ลู่ข่ายกล่าว

“สีสันท้องนภาใกล้มืดแล้ว น้องสาวข้ายังต้องรีบกลับไปหมู่บ้านซิ่งฮวาอีก หากมัวชักช้า ฟ้ามืดแล้ว ตอนนั้นจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร” ซ่งสวินบอกกล่าวปฏิเสธโดยอ้อมด้วยความเกรงใจ

ทว่าลู่ข่ายมองไปยังซ่งอิงแวบหนึ่ง ดูคล้ายเป็นการถามความเห็นของนาง

“วันนี้เห็นทีว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ว่าในเมื่อคุณชายลู่ยืนกรานเชื้อเชิญกัน เช่นนั้นก็วันมะรืนแล้วกัน ถึงเวลาเจ้าก็ส่งเทียบเชิญมา พวกเราค่อยมาหาถึงที่บ้าน” ซ่งอิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ

“…” ลู่ข่ายตกตะลึง

คิดไม่ถึงว่าน้องสาวของซ่งสวินผู้นี้จะเข้าใจระเบียบปฏิบัติไม่น้อยเลยทีเดียว

เพียงแต่นางเป็นหญิงสาวตามชนบทคนหนึ่ง ไฉนจึงรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติอย่างการส่งเทียบเชิญด้วย

แรกเริ่มเขาก็มีความตั้งใจที่จะเชื้อเชิญซ่งสวินมาที่บ้าน เพียงแต่คำนึงถึงว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใช้ในการเชิญมา เกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอึดอัดใจ จึงได้อดทนไว้

“เช่นนั้น…ไว้วันมะรืนข้าจะส่งคนไปเชิญ” ลู่ข่ายรีบกล่าวตอบรับทันควัน