ตอนที่ 209 ค่ำคืนยาวนาน ไร้ใจนิทรา

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 209 ค่ำคืนยาวนาน ไร้ใจนิทรา

หากเด็กตัวแสบกลับมาเป็นนางเด็กโง่คนเดิมก็จะไม่มีคนตั้งใจทำอาหารที่เขาชอบ ไม่มีคนเสียเวลาตุ๋นน่องไก่ ตุ๋นหมูสามชั้นที่ใช้เวลาถึงครึ่งค่อนวันให้ในยามที่เขาปวดท้อง ไม่มีคนกล้าเข้ามาทำหน้าทะเล้นเพื่อเอาใจในเวลาที่เขาทำหน้าตาเย็นชา…

เจียงโม่หานรู้สึกว่าตอนนี้สีหน้าของตนย่ำแย่เอาเสียมาก ๆ เขาพูดกับหลินจื่อเหยียนอย่างเย็นชา “ไม่ ! เจ้าคิดในแง่ดีหน่อยไม่ได้หรือ ? ”

หลินจื่อเหยียนตอบ “ข้า…ข้ากังวลไม่ได้หรือไร ? ”

ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็เคาะประตูโรงหมออยู่นานสองนานกว่าจะมีคนออกมาเปิดประตูพลางบ่นว่า “เคาะอันใดนักหนา ? มาเคาะประตูก็ไม่ดูเวลาบ้าง ! ข้าทำงานนอกเมืองมาทั้งวันแล้ว เมื่อครู่เพิ่งได้เข้านอน มือสังหารนี่ก็จริง ๆ เลย จะเลือกวันลอบสังหารวันใดก็ไม่เลือก ต้องเป็นวันนี้เสียได้ ซวย…”

“ท่านหมอ จู่ ๆ พี่รองของข้าก็ไข้ขึ้นกะทันหัน ท่านรีบดูอาการให้นางหน่อยเถิด ! ” หลินจื่อเหยียนเห็นประตูถูกเปิดออกเป็นช่องเล็ก ๆ เขาจึงรีบกระโจนเข้าไปทันที

ซ่งหมิงซวนยกมือกุมจมูกแล้วล้มลงนั่งกับพื้น…คนบ้าที่ไหนกัน ? รู้อยู่ว่าหลังบานประตูมีคนก็ยังจะออกแรงผลักเข้ามา เจ้าเด็กนี่คงไม่ใช่คนที่ศัตรูส่งมาแก้แค้นเขาหรอกกระมัง ?

หลินจื่อเหยียนเห็นว่าตนวู่วามเกินไปจนได้เรื่องจึงรีบทำมือคารวะและขอโทษทันที “ขออภัยด้วย ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…ข้าแค่ใจร้อนเกินไปเท่านั้น ! ”

ซ่งหมิงซวนเช็ดน้ำตาตรงหางตาและลูบจมูกที่เจ็บแสบของตนเบา ๆ…โชคดีที่ไม่โดนชนจนดั้งหัก ! ทั่วใบหน้าของเขามีเพียงจมูกเท่านั้นที่ดูดี มันโด่งได้รูปและนี่ก็เป็นอาวุธที่เขาใช้เกี้ยวภรรยา…

“ใครป่วย ! ” ซ่งหมิงซวนวางมาดทันทีเพราะตอนนี้เขาเป็นถึงหมอรักษาอาการบาดเจ็บของหมินอ๋องซื่อจื่อจึงพลอยมีบารมีตามไปด้วย ดังนั้นเขาจะต้องมีทั้งชื่อเสียงและโชคลาภแน่นอน !

เจียงโม่หานยกผ้าที่คลุมตัวหลินเว่ยเว่ยออก ซ่งหมิงซวนก็ใช้แสงจากตะเกียงสลัวข้างประตูส่องหน้าคนไข้ให้ชัดเจนขึ้นมา…ไอหยา ! นี่ไม่ใช่เด็กที่เสี่ยงชีวิตช่วยหมินอ๋องซื่อจื่อไว้หรือ ? ตอนกลางวันไม่ได้ร่าเริงอยู่หรือไร แม้แต่ยักษ์ประหลาดก็ยังกล้าสู้ เหตุใดพอตกกลางคืนก็กลายเป็นแมวป่วยไปแล้ว ?

ความง่วงของซ่งหมิงซวนหายวับทันตา “อุ้มมาวางด้านใน ! ”

เจียงโม่หานวางหลินเว่ยเว่ยลงที่เตียงผู้ป่วยอย่างเบามือ ส่วนซ่งหมิงซวนก็รีบจับชีพจรนาง ภายใต้สายตากังวลของนักปราชญ์น้อยทั้งคู่ เขาจึงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เพราะนางตื่นตระหนกมากเกินไป ไม่เป็นอันใดมาก ประเดี๋ยวข้าจัดยาสงบจิตใจให้นาง ก่อนฟ้าสางไข้ก็จะลดเอง ! ”

ซ่งหมิงซวนบ่นในใจ คิดว่าจะเก่งเพียงใด ! องครักษ์ยังสู้ไม่ได้แต่นางกลับพุ่งเข้าไป คนน่ะช่วยไว้ได้แล้ว แต่ตัวเองตกใจจนล้มป่วย ! เฮ้อ ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงเด็ก คงเพราะเห็นคนตายต่อหน้าครั้งแรกสิท่า ? การจะตกใจหรือหวาดกลัวก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก !

“ข้าจะไปต้มยา ! ” หลินจื่อเหยียนรีบแย่งพูด นางหวงต้องดื่มยาทุกวัน เด็กในบ้านล้วนกตัญญูจึงแย่งต้มยาก่อนมารดาลงมือเองเสมอ วิธีการต้มยาจึงถือว่าได้ฝึกฝนมาทุกคน

เจียงโม่หานยื่นกระบอกน้ำให้ “ใช้น้ำในกระบอกนี้ ! ”

ในความคิดของเจียงโม่หานคือปีแห่งภัยแล้งเช่นนี้ บ่อน้ำในเมืองก็น่าจะมีเหลือเพียงชั้นดินบาง ๆ เท่านั้นย่อมไม่ปลอดภัยเท่าน้ำจากบนภูเขาที่พวกเขาพกมาด้วยแน่นอน ต้องระวังให้มากหน่อย

ก่อนหน้านี้เขายังบ่นว่าจะพกกระบอกน้ำมามากมายเพื่อเหตุใด ไม่คิดว่ามันหนักบ้างหรือ แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเด็กตัวแสบที่คิดได้อย่างรอบคอบเพราะตลอดทางนี้ถ้าอยากดื่มน้ำสะอาดก็เป็นเรื่องยาก !

ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ยาหรือฤทธิ์ของน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณกันแน่ หลังผ่านไป 1 ชั่วยามแล้วไข้ของหลินเว่ยเว่ยก็ลดลงอย่างที่คิด ตอนนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาชวนตกตะลึงของบัณฑิตหนุ่ม นางจึงอดฉีกยิ้มไม่ได้ “บัณฑิตน้อย เหตุใดเจ้ามาอยู่ในห้องข้า ? หรือว่า…ค่ำคืนยาวนาน ไร้ใจนิทรา…”

“พี่รอง ท่านป่วยต่างหาก ! ไข้ขึ้นจนไม่ได้สติ ศิษย์พี่เจียงอุ้มท่านมาส่งที่โรงหมอ ท่านหมอบอกว่าพอไข้ท่านลดก็จะไม่เป็นไรแล้ว ! ” หลินจื่อเหยียนเข้าไปเบียดตัวเจียงโม่หาน จากนั้นก็จับมือพี่รองไม่ปล่อยพร้อมดวงตาแดงก่ำ

หลินเว่ยเว่ยจับหน้าผากของตน “ไข้ขึ้นหรือ ? ข้าสระผมแล้วหลับโดยที่ผมยังไม่แห้งดีจึงได้รับไอเย็นมากระมัง ? ”

ต่อจากนั้นนางก็ตบหลังมือน้องชายอย่างไม่ใส่ใจมากนัก “มนุษย์กินข้าวปลาอาหารเหมือนกัน ไฉนเลยจะไม่ป่วยบ้าง ? แค่ไข้ขึ้นเท่านั้น นี่ไม่ได้ลดแล้วหรือ ? เจ้าจะกังวลไปเพื่ออันใด ? ”

“แต่เมื่อคืนท่านไม่ได้สติ ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย น่ากลัวมากเลย ! ” หลินจื่อเหยียนบ่นพึมพำ

หลินเว่ยเว่ยชี้ไปที่กระบอกน้ำซึ่งตนพกติดตัวมาด้วย นางดื่มน้ำลงไปสองสามอึกเพราะคอแห้งและเจ็บคอเล็กน้อย “คงเพราะเมื่อวานข้าเหนื่อยเกินไป ตอนกลางคืนจึงนอนหลับเป็นตาย สลบไม่ได้สติอันใดกันเล่า เจ้าตื่นตูมไปเองมากกว่า ! ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว เรากลับกันเถิด ! ”

เมื่อออกมาจากโรงหมอแล้ว หลินจื่อเหยียนก็ดูแลนางราวกับดูแลเครื่องลายครามที่แสนเปราะบาง คอยประคองพี่รองอย่างระมัดระวัง “ท่านหมอบอกไว้ว่าเพราะตกใจจากเรื่องตอนกลางวัน พอตกกลางคืนจึงเป็นไข้ พี่รอง ต่อไปท่านอย่าอวดเก่งอีกเลย ! ท่านคิดว่าตนไร้เทียมทานจริงหรือ ? ”

“หลินต้าฮว๋า ! ตอนนี้ใจกล้าแล้วใช่หรือไม่ ? กล้าสั่งสอนพี่รองแล้วสินะ ! ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป…”

“จื่อเหยียนพูดถูก ! คราวหน้าถ้ายังพุ่งเข้าไปอย่างไร้สมองแล้วตกใจจนล้มป่วยอีก ไม่มีใครพาเจ้าไปหาหมอหรอก ! ” เจียงโม่หานกล่าวเพียงสั้น ๆ ก็ทำให้นางยอมปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง

แต่เงียบได้ไม่นาน หลินเว่ยเว่ยก็เริ่มกลับมายิ้มอีกครั้ง “บัณฑิตน้อย เจ้าเป็นคนอุ้มข้าไปโรงหมอเองหรือ ? คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันได้เพลิดเพลินกับวีรบุรุษช่วยสาวงาม ! ข้าควรเขินอายแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าปิดครึ่งหน้าไว้พลางกล่าวว่า บุญคุณช่วยชีวิตไม่มีสิ่งใดตอบแทน มีเพียงใช้ร่างกายแทนคุณ เช่นนี้ดีหรือไม่ ? ”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ใช่การทำคุณบูชาโทษ ? ” เจียงโม่หานตอบกลับ

หลินจื่อเหยียนทนไม่ไหวจึงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาทันที แต่พอหันไปเห็นสายตาข่มขู่ของพี่รองก็รีบทำตัวปกติและหันซ้ายแลขวา…..มีคนหัวเราะหรือ ? ใคร ? ใครหัวเราะ…

พอกลับมาพักที่โรงเตี๊ยมได้สักครู่หนึ่งฟ้าก็สว่าง เจียงโม่หานเดินมาเคาะประตู เมื่อหลินเว่ยเว่ยเหลือบมองหลินจื่อเหยียนที่กำลังนอนน้ำลายไหลอยู่ที่โต๊ะ นางก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู

“รู้สึกอย่างไรบ้าง ? อยากพักผ่อนอีกสักวันหรือไม่ ? ” เจียงโม่หานยกโจ๊กและซาลาเปาไส้เนื้อสองสามลูกเข้ามา

หลินเว่ยเว่ยรีบไปแปรงฟันล้างหน้า หลังยกโจ๊กที่กำลังอุ่นพอดีขึ้นมาแล้วก็ดื่มมันอย่างไม่เว้นช่วงหายใจ ซาลาเปาไส้เนื้อหนึ่งลูกโดนกัดไปกว่าครึ่ง ไฉนเลยจะเหมือนคนที่ต้องการพักผ่อน ?

“โจ๊กยังไม่ดี น้ำดื่มก็ไม่หวานเหมือนน้ำของพวกเรา แป้งซาลาเปาก็ไม่อร่อย ไส้ก็รสชาติธรรมดา ! ” แม้ปากจะบ่นแต่โจ๊กหนึ่งชามและซาลาเปาไส้เนื้ออีกสามลูกก็ลงไปอยู่ในท้องนางแล้ว ! หลินเว่ยเว่ยเช็ดปาก จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “กินอิ่มแล้วร่างกายก็กลับมาแข็งแรงมีชีวิตชีวาดังเดิม สามารถเป็นวีรบุรุษได้เหมือนเดิมแล้ว ! ”

จริงแท้แน่นอน มองจากร่างกายของนางแล้วไม่มีส่วนไหนบ่งบอกเลยว่าเป็นคนป่วย แต่หลินจื่อเหยียนที่ไม่ได้นอนเต็มอิ่มสักเท่าไรกลับมีขอบตาเขียวคล้ำ ท่าทางอิดโรยไร้เรี่ยวแรง ดูเหมือนคนป่วยมากกว่านางเสียอีก !