ทรงผมของเธอยังคงเป็นผมสั่นพลิ้วไหว แต่ใบหน้ากลมๆ อ้วนๆ ของเด็กตัวเล็กๆ นั้นได้เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่มีเค้าโครงที่ชัดขึ้น มีขนตายาว จมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่ม และมีลำคอที่สง่างามชวนน่าหลงใหล
เขามองดูเธอแม้ว่าเธอจะสวมใส่เสื้อผ้าที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ แต่ก็ยังไม่สามารถซ่อนความสวยงามของเธอเอาไว้ได้
เขาอยู่ในอาการงุนงง นี่น้องสาวสุดที่รักของเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ เหรอเนี่ย?
ดังนั้นเธอควรจะมีแฟนได้แล้ว ถ้าเขายังขัดขวางเธออีกต่อไป เป็นไปได้ไหมที่จะทำให้ผู้หญิงที่โดดเด่นเช่นนี้เป็นผู้หญิงขึ้นคาน?
“ชิงเจ๋อ?” สือมูเฉินเรียกเขา หลังจากนั้นเห็นเขานิ่งเงียบไปนาน
หยานชิงเจ๋อพูดตอบเบาๆ ว่า “อืม”
“นายส่งสือจิ่นกลับบ้านหรือยัง?” สือมูเฉินพูด “ลุงซูกำลังจะกลับไปแล้ว อาจจะกลับถึงบ้านอีกไม่นาน”
“อืม อยู่ระหว่างทางไปแล้ว คาดว่าน่าจะอีกสิบกว่านาที” หยานชิงเจ๋อมองไปที่ซูสือจิ่นที่กำลังหลับอยู่
สือมูเฉินพูดว่า “ฉันกับเสี่ยวถางยังต้องอยู่ที่นี่สักพัก มีเรื่องอะไรโทรมานะ”
“โอเค” หยานชิงเจ๋อวางสาย
สิบนาทีต่อมารถของเขาหยุดที่บ้านตระกูลซู
ทันทีที่ดับไฟรถหยานชิงเจ๋อก็เห็นรถของซูเผิงฮวา
ซูเผิงฮวาหยุดรถแล้วรีบเดินเข้ามา”ชิงเจ๋อ สือจิ่นเธอ……”
หยานชิงเจ๋อถอนหายใจ จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูรถฝั่งด้านข้างคนขับ โน้มตัวไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้ซูสือจิ่น แล้วอุ้มเธออย่างระมัดระวัง
ซูเผิงฮวามองดูลูกสาวของเขาด้วยความเป็นห่วงอย่างถึงที่สุด
เขาเดินตามหยานชิงเจ๋อเข้าไปในห้อง จากนั้นเปิดประตูห้องของซูสือจิ่น มองดูหยานชิงเจ๋อวางซูสือจิ่นไว้บนเตียง
“สือจิ่นเธอ……” ซูเผิงฮวาพูดด้วยเสียงอ่อนแรง
“เสี่ยวจิ่นมีไข้ครับ เพิ่งกินยาลดไข้ไปเมื่อกี้ เธอไม่อยากนอนโรงพยาบาล ก็เลยพาเธอกลับมาส่งบ้านครับ” หยานชิงเจ๋อพูดแล้วเอาผ้าห่มคลุมซูสือจิ่นอย่างระมัดระวัง เขายืนขึ้นแล้วพูดว่า “ลุงซู กล่องยาสามัญประจำบ้านอยู่ที่ไหนครับ? ผมจะวัดอุณหภูมิให้เธอ”
ซูเผิงฮวาพยักหน้า แล้วถามภรรยาของเขาทันทีว่ากล่องยาอยู่ตรงไหน แล้วนำมันขึ้นมาให้หยานชิงเจ๋อ
หยานชิงเจ๋อได้ที่วัดไข้ แล้วนั่งลงที่ข้างเตียง พยายามวางที่วัดไข้ไว้ใต้รักแร้ของเธอ
เนื่องจากเสื้อผ้าของซูสือจิ่นติดกระดุมคอคอเสื้อ เขาจึงยื่นมือไปปลดกระดุมทั้งสองเม็ด
และเมื่อเขากำลังจะยื่นมือเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของสือมูเฉิน ทันใดนั้นเขาก็หยุดนิ่งอยู่กับที่
เธอไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาที่เดินตามหลังเขาอีกต่อไป เธอโตแล้ว ร่างกายของเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าเขายังทำแบบนี้มันดูไม่เหมาะสมเลยจริงๆ
เขาลุกขึ้นมาเรียกคนรับใช้แล้วยื่นที่วัดไข้ให้เธอ
ภายในห้องเงียบมาก หยานชิงเจ๋อเฝ้าดูเวลาตลอด จนกระทั่งผ่านไปห้านาทีเขาจึงหยิบปลายที่วัดไข้ออกมา
อุณหภูมิ 38.1 องศา ไข้ยังไม่หาย
เขาขอให้คนใช้นำผ้าชุบน้ำมาวางลงบนหน้าผากของซูสือจิ่น
ผ่านไปสักพักเขาเห็นว่าผ้าเช็ดตัวไม่เย็นมากนัก จึงใส่กลับลงในกะละมังแล้วบิดอีกครั้ง
ในขณะนี้ซูสือจิ่นซึ่งนอนหลับไม่เต็มที่เริ่มขยับตัวแบบมั่วๆ จากนั้นก็ใช้มือจับหัวของตัวเอง แล้วพูดด้วยความหวาดกลัว “อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามา!”
น้ำตาของเธอเอ่อล้นออกมา แต่เธอยังคงหลับตาแน่น
หยานชิงเจ๋อรู้สึกไม่ค่อยดีจึงยื่นมือมาจับมือของซูสือจิ่น
ศีรษะของเธอยังคงสั่นตลอดเวลา ใบหน้าซีดเซียว “อย่าเข้ามา!”
“เสี่ยวจิ่น นี่พี่เอง” หยานชิงเจ๋อพยายามพูดให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราวกับว่าขนนกค่อยๆ พัดผ่านพื้นผิวน้ำ มีเสียงกระทบเพียงเล็กน้อย “เสี่ยวจิ่น ไม่ต้องกลัวไม่มีใครทำร้ายเธอได้ นี่คือพี่ชิงเจ๋อของเธอไง ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะคอยอยู่ข้างๆ เธอเอง ”
ซูสือจิ่นได้ยินเสียงที่อ่อนโยนและคุ้นเคยจึงกล้าที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ก็เห็นหยานชิงเจ๋อจ้องมองมาที่เธอ
เธอสูดหายใจเฮือกใหญ่ บีบมือของหยานชิงเจ๋อแน่น “พี่ชิงเจ๋อ ฉันฝันถึงคนนั้น…… ”
“เสี่ยวจิ่น คนนั้นถูกนำตัวไปแล้ว” หยานชิงเจ๋อพูด“เขาจะไม่มาทำร้ายเธออีก ไม่ต้องกลัวนะ”
ซูสือจิ่นพยักหน้า จิตใจค่อยๆ สงบลงทีละน้อย “แต่ถ้าตอนกลางคืนแล้วฉันยังฝันถึงเขาล่ะ?”
“พี่จะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง เหมือนกับตอนที่เธอป่วยตอนเป็นเด็กไง พี่จะคอยอยู่ด้วยและจะไม่ไปไหน”
เธอรู้ว่านี่เป็นความเห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยเขาไป แม้ว่าจะเป็นระหว่างพี่ชายกับน้องสาว แต่มันก็เพียงพอแล้วที่เธอจะได้สัมผัสกับช่วงเวลาอันอบอุ่นนี้
เนื้อเพลงทั่วไปไม่ได้ร้องแบบนี้เหรอ? หากทุกสิ่งเป็นฟ้าลิขิต ทุกสิ่งเป็นพรหมลิขิต มันก็ถูกกำหนดไว้แล้ว รักกันสักวันได้ไหม ลองมองเธออยู่ในสายตาสักครั้ง แล้วความเจ็บจะน้อยลง?
บางทีในอนาคตเมื่อเขาแต่งงานกับคนอื่น เมื่อเธอมองดูพวกเขาครองคู่กันไปยาวนาน หวนคิดถึงช่วงเวลาที่เธอเคยมีเขาอยู่ข้างๆ เธอก็รู้สึกว่ามันเพียงพอแล้ว
ซูเผิงฮวาได้ยินหยานชิงเจ๋อพูดเช่นนี้ก็พยักหน้าด้วยความปลาบปลื้มใจ”ชิงเจ๋อ สือจิ่นเชื่อฟังและรักชิงเจ๋อตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เป็นการดีที่สุดที่ชิงเจ๋อสามารถอยู่เป็นเพื่อนกับเธอได้ เด็กคนนี้ไม่เคยเจอความยากลำบากตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย เกิดเรื่องขึ้นในวันนี้ เธอคงเสียขวัญมาก และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหายดี!”
“ลุงซู ไม่ต้องห่วง ช่วงนี้ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวจิ่นตลอดเวลา” หยานชิงเจ๋อพูด “พรุ่งนี้ผมจะให้ผู้ช่วยนำเอกสารเรื่องงานของผมมาทำที่นี่ อาจจะต้องขอรบกวนลุงซูสักสองสามวันนะครับ!”
“ชิงเจ๋อ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ? พวกเราถือว่าชิงเจ๋อเป็นลูกชายของเรา เมื่อก่อนพวกเรายังคิดจะ……”
ซูเผิงฮวาตระหนักได้ว่าพูดแบบนี้ออกไปคงไม่ดี คงทำให้เด็กๆ อึดอัด ซูเผิงฮวาจึงหยุดที่จะพูดประโยคต่อไป“พวกเรารู้ว่าชิงเจ๋อรักสือจิ่นน้องสาวคนนี้มาก ดังนั้นตอนแรกที่ให้สือจิ่นไปเรียนที่อเมริกา เพราะพวกเราคิดว่าชิงเจ๋ออยู่ที่นั่นถึงยอมอนุญาตให้เธอไปเรียน……”
“เสี่ยวจิ่นไปเรียน ไม่ใช่เพราะ…… ” หยานชิงเจ๋อรู้สึกงง ตอนนั้นเขาจำได้ว่าซูสือจิ่นบอกว่าเป็นทางครอบครัวที่ขอให้เธอไป ไม่ใช่เธออยากไปเอง โดยครอบครัวบอกว่าเธอควรออกไปเจอโลกภายนอกมากกว่านี้
สีหน้าของซูสือจิ่นเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินพ่อของเธอพูดแบบนี้
ในเวลานั้นครอบครัวของเธอไม่อนุญาตจริงๆ แต่เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้ชื่อหยานชิงเจ๋อมาเป็นข้ออ้างโดยบอกว่าเขาอยู่ที่นั่นและสามารถดูแลเธอได้ ด้วยวิธีนี้ครอบครัวของเธอจึงตอบตกลงที่จะให้เธอไปเรียนต่างประเทศ
แต่ถ้าหยานชิงเจ๋อรู้เข้า งั้นจะ……
เธอรีบกุมขมับ “โอ๊ย เวียนหัวจังเลย”
ทันทีที่เธอพูดจบชายทั้งสองคนก็พูดพร้อมกันอย่างเป็นกังวลทันที“เสี่ยวจิ่น เวียนหัวหนักไหม? หรือพวกเราควรจะไปโรงพยาบาล?”
ซูสือจิ่นส่ายหัว “โชคดีที่มันแค่มึนๆ นิดหน่อย บางทีอาจจะเป็นเพราะง่วง……”
เมื่อซูเผิงฮวาได้ยินเธอพูดแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากพูดว่า“เสี่ยวจิ่น ถ้าอย่างนั้นพ่อจะออกไปก่อน ถ้ามีตรงไหนไม่สบายสามารถเรียกพ่อได้ตลอดเวลา”
“อืม” ซูสือจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ซูเผิงฮวาออกไปจากห้องแล้ว เหลือเพียงซูสือจิ่นและหยานชิงเจ๋อเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้อง
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา “พี่ชิงเจ๋อ พี่ง่วงนอนไหม?”
“พี่ยังไม่ง่วงหรอก”หยานชิงเจ๋อพูดเบาๆ “เสี่ยวจิ่น ถ้าง่วงก็นอนก่อนเลย ไม่ต้องห่วงพี่”
ซูสือจิ่นจะยอมพลาดช่วงเวลาอันแสนอบอุ่นที่หาดูได้ยากระหว่างทั้งสองคนได้อย่างไร เธอมองมาที่เขาแล้วถามว่า “พี่ชิงเจ๋อ ช่วงนี้พี่ยุ่งไหม? พี่จะเดินทางไปทำธุรกิจต่างเมืองไหม?”
ทั้งสองกำลังคุยกันเหมือนเพื่อน โทรศัพท์มือถือของซูสือจิ่นก็ได้ดังขึ้น
เธอเห็นการแจ้งเตือนเป็นสีเขียว เห็นได้ชัดว่ามีข้อความเข้า ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “พี่ชิงเจ๋อ ช่วยหยิบโทรศัพท์ให้ฉันหน่อย”
หลังจากได้รับโทรศัพท์มือถือแล้ว ซูสือจิ่นก็เห็นว่าเป็นข้อความจากหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย
เธอคลิกเปิดอ่าน เห็นย่อหน้ายาวๆ เขียนว่า
“ซื่อจิ่น ฉันฝานหวา ฉันขอโทษนะ ฉันรู้ว่ามันยากที่จะพูดคำขอโทษออกมา แต่ฉันในฐานะคนของตระกูลลั่วยังต้องแสดงความขอโทษอย่างสุดซึ้ง บุคคลนั้นถูกนำตัวไปแล้ว ฉันรับรองได้ว่าเขาไม่สามารถปรากฏออกมาได้อีก ฉันเพิ่งกลับมาถึงบ้าน อาการบาดเจ็บของเธอเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? ถ้าเป็นไปได้พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเธอเพื่อชดใช้เป็นการส่วนตัว ฉันไม่รู้ว่าเธอพอจะมีเวลาไหม?”
เมื่อเห็นว่าซูสือจิ่นไม่ตอบสนอง หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งหยานชิงเจ๋อก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เสี่ยวจิ่น เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
ซูสือจิ่นส่ายหัว”ลั่วฝานหวาส่งมาขอโทษ” เธอยื่นโทรศัพท์ให้เขาดู
เมื่อหยานชิงเจ๋อได้อ่านแล้ว เขาก็ขมวดคิ้ว “เสี่ยวจิ่น ทำไมเขาถึงเรียกเธอว่าซื่อจิ่นล่ะ?”
“เพราะเขาบอกว่าชื่อฝานหวากับซื่อจิ่นมันดูเหาะสมกันมาก” หลังจากที่ซูสือจิ่นพูดจบ เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หยานชิงเจ๋อ อยากเห็นปฏิกิริยาของเขาเมื่อได้ยินพูดเหล่านี้
ดูเหมือนจะมีความไม่พอใจเล็กน้อยในสายตาของเขา แต่มันหายไปอย่างเงียบๆ ราวกับดาวตก แม้แต่ซูสือจิ่นเองก็ยังรู้สึกว่าเธอดูผิดไปหรือเปล่า แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“เสี่ยวจิ่น คิดว่าลั่วฝานหวาเป็นคนยังไง?” หยานชิงเจ๋อถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เขาไม่ได้โกรธจริงๆ……มันก็ถูกแล้ว เขาจะหึงได้ยังไง? สุดท้ายเธอก็คิดไปเอง
ซูสือจิ่นยิ้ม “เขาโอเคมาก เขาดูยอดเยี่ยมในทุกด้าน”
หยานชิงเจ๋อพยักหน้า แต่เดิมทีต้องการจะบอกซูสือจิ่นว่าไม่ควรให้ใจใครง่ายๆ วินาทีที่เขากำลังจะพูดเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้
เขาพูดย้ำตามคำพูดของซูสือจิ่น”อืม เขาดูเก่งมาก ค่อยๆ เรียนรู้กันไปนะ!”
อันที่จริงเธออายุ23 ปีแล้ว เขาจะเป็นตัวขัดขวางความรักของเธอได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหายโกรธ เขาก็ต้องยอมรับว่าลั่วฝานหวานั้นไม่มีความผิดอะไรในวันนี้
นอกจากนี้ลั่วฝานหวายังเป็นคนแรกที่พบว่าซูสือจิ่นนั้นไม่อยู่ การที่เขาพูดขึ้นมามันก็ถือว่าเขาได้ช่วยเธอไว้
เมื่อซูสือจิ่นได้ยินหยานชิงเจ๋อบอกเธอให้ค่อยๆ เรียนรู้กันไปกับลั่วฝานหวา เธอว่ารู้สึกว่าหัวใจของเธอเหมือนถูกเหยียบจนแตกละเอียด
เธอพยายามฝืนยิ้มออกมา “อืม โอเค”
จากนั้นเธอก็ไม่ต้องการตอบข้อความลั่วฝานหวา เธอรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นเธอจึงพูดกับหยานชิงเจ๋อว่า “พี่ชิงเจ๋อ ฉันง่วงแล้ว พี่ก็รีบพักผ่อนนะ!”
หยานชิงเจ๋อไม่คิดอะไรมาก เขาพยักหน้า“โอเค เสี่ยวจิ่น นอนก่อนได้เลย พี่จะไปนอนที่โซฟา อีกสักพักพี่จะวัดอุณหภูมิให้อีกครั้ง กินยาไปหนึ่งชั่วโมงแล้วเดี๋ยวยาก็ออกฤทธิ์ทำให้ไข้ลดได้”
เขาเป็นคนที่ละเอียดอ่อนและอ่อนโยนอยู่เสมอ เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเธอโชคดีหรือโชคร้าย ซูสือจิ่นพยักหน้า “พี่ชิงเจ๋อ ฝันดีค่ะ”
“เสี่ยวจิ่น ฝันดีนะ” หยานชิงเจ๋อพูดด้วยความเอ็นดู