ตอนที่ 419 สองพี่น้องสกุลฟ่าน (3) / ตอนที่ 420 ความโกรธของกู้หลีเซิง (1)
ตอนที่ 419 สองพี่น้องสกุลฟ่าน (3)
เจ้าแมวดำเดินมาหาฟ่านจัวอย่างช้าๆ ฟ่านจัวเพ่งมองไปที่เจ้าแมวดำตัวน้อย เขาเริ่มหายใจช้าลง บนใบหน้าที่ซีดขาวของเขาแสดงความตื่นเต้นออกมา
เจ้าแมวดำเอียงศีรษะ เมื่อเห็นว่าฟ่านจัวประหม่ามากจนไม่กล้าสัมผัสตัวเอง มันจึงยื่นอุ้งเท้าที่มีขนปุกปุยออกมาแล้ววางบนมือของฟ่านจัวที่อยู่บนโต๊ะ
เมี้ยววว
เจ้านาย ข้ายอมสละร่างกายของข้าเพื่อให้ท่านเข้าสังคม! ข้าช่างรักท่านจริงๆ
จวินอู๋เสียเข้าใจความหมายของเจ้าแมวดำ มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย
แต่สีหน้าของฟ่านจัวกลับหยุดชะงักในทันที ดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและตื่นเต้น…
ผิวที่ซีดขาวก็ค่อยๆ แดงขึ้นเพราะเหตุนี้
“…” เจ้าแมวดำหมดคำพูดเมื่อเห็นท่าทางขี้กลัวของฟ่านจัว
คนที่บอกว่าจะสัมผัสมันก็คือเขา มันอุตส่าห์ยอมเสียสละตัวเองก่อนแล้วเพราะเหตุใดฟ่านจัวจึงแสดงสีหน้าเหมือนถูกเอาลวนลามเยี่ยงนี้
ฟ่านจิ่นกระแอมออกมาเสียงเบาเมื่อเห็นสีหน้าของน้องชายตัวเอง เขามองไปที่จวินอู๋เสียอย่างเขินอายเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวจัวชอบสัตว์ที่มีขนมาก แต่ความสัมพันธ์ของเขากับสัตว์ไม่ค่อยดีนัก สัตว์ทั่วไปไม่ค่อยชอบเขา”
แม้ว่าเจ้าแมวดำตัวน้อยจะเป็นวงแหวนภูติวิญญาณ แต่มันก็เป็นสัตว์ตัวแรกที่ ‘เดิน’ เข้ามาหาฟ่านจัวก่อน ใจของฟ่านจัวละลายไปหมดแล้ว
เมื่อได้ยินคำอธิบายของฟ่านจิ่น จวินอู๋เสียก็พยักหน้าอย่างไม่คาดคิดแล้วกล่าวอย่างเห็นด้วยว่า “ขนปุกปุย…นุ่มมาก”
เจ้าแมวดำอยากเอามือปิดหน้าตัวเองจริงๆ
จบแล้ว
นี่หมายความว่าเจ้านายพบสหายที่มีความชอบเหมือนกับนางแล้วใช่หรือไม่
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจวินอู๋เสีย ฟ่านจัวก็เงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปที่จวินอู๋เสียด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“เจ้าก็ชอบหรือ”
จวินอู๋เสียพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นต่อไปเจ้ามาทานอาหารกลางวันที่นี่ทุกวันได้หรือไม่ ข้า…ข้าจะให้อาจิ้งเตรียมอาหารไว้ให้” ฟ่านจัวหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาที่เปล่งประกายของเขาหยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นอุ้งเท้าของเจ้าแมวดำที่วางอยู่บนมือตัวเอง
“ตกลง” จวินอู๋เสียพยักหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงอาหารวันนี้ทำให้นางโกรธมาก ถ้านางไม่ไปนางก็จะได้ไม่เจอสิ่งขัดหูขัดตา
รอยยิ้มที่สดใสผุดขึ้นบนใบหน้าของฟ่านจัวในทันที ราวกับว่าดอกไม้หลายร้อยดอกกำลังเบ่งบานและเต็มไปด้วยความสดใส
หลังจากทั้งสามคนพูดคุยกันครู่หนึ่ง อาจิ้งก็ได้เตรียมอาหารเลิศรสไว้เต็มโต๊ะอาหาร ฟ่านจิ่นที่โมโหมาจากโรงอาหารก็หายโมโหทันทีที่เมื่อเห็นอาหารเหล่านี้ เขารีบเรียกให้น้องชายตัวเองกับจวินอู๋เสียรีบทาน หลังจากนั้นไม่นานอาหารเลิศรสบนโต๊ะก็หายไปในพริบตา
ความเร็วนั้นเร็วมากจนไม่ได้ให้โอกาสจวินอู๋เสียและฟ่านจัวแม้แต่น้อย ทันทีที่พวกเขาหยิบตะเกียบขึ้นมา บนจานก็เหลือเพียงน้ำแกงและเศษผักเท่านั้น…
“อืม ข้าจะให้อาจิ้งทำอาหารเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง” ฟ่านจัวมองจวินอู๋เสียด้วยความเขินอาย เมื่อเปรียบเทียบปริมาณอาหารของพี่ชายเขากับร่างกายของเขาแล้ว พี่ชายเขาหนึ่งคนเท่ากับฟ่านจัวสิบคน
ฟ่านจิ่นตบท้องตัวเองเมื่ออิ่มอาหารและเมื่อเห็นว่าฟ่านจัวและจวินอู๋เสียยังไม่ได้ขยับตะเกียบเขาจึงจะตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองทานเร็วเกินไป
“พวกเจ้าทานกันเลย ข้าขอตัวก่อน มีธุระนิดหน่อย น้องเสียเจ้าทานเสร็จแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวจัวก่อน เพราะนอกจากข้ากับอาจิ้งแล้ว เขาก็ไม่ค่อยมีสหายที่อายุเท่ากันเลย เดี๋ยวค่ำๆ ข้าจะมารับเจ้า” หลังจากพูดจบฟ่านจิ่นก็รีบวิ่งออกไปทันที
เจ้าแมวดำตัวน้อยนอนอยู่บนไหล่ของจวินอู๋เสีย หนวดของมันสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นฟ่านจิ่นหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ให้เจ้านายของมันนั่งเล่นเป็นเพื่อน ฟ่านจิ่นเสียสติไปแล้วหรือ
ตัวจวินอู๋เสียเองก็มีนิสัยเข้าสังคมไม่ค่อยเก่งอยู่แล้ว จะให้นางไปช่วยคนที่ไม่เคยเข้าสังคมได้อย่างไร
ตอนที่ 420 ความโกรธของกู้หลีเซิง (1)
หลังจากที่ฟ่านจิ่นออกไปจากลานป่าไผ่ เขาก็ตรงไปที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณทันที ต่อหน้าฟ่านจัวและจวินอู๋เสีย เขาทำตัวปกติ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงอาหารทำให้เขาสงสัยเป็นอย่างมาก
เพราะเหตุใดจวินอู๋เสียจึงถูกไล่ออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ
แล้วหลี่จื่อมู่คนนั้นคือผู้ใด
ในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ขณะที่กู้หลีเซิงกำลังตรวจสอบผลการฝึกฝนของลูกศิษย์ในช่วงนี้ ประตูที่ปิดไว้ถูกผลักออก เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งและเมื่อเห็นฟ่านจิ่นยืนหอบอยู่ที่หน้าประตูเขาก็ยิ้มออกมาทันที
“วันนี้เจ้ามาหาข้าได้อย่างไรกัน”
ฟ่านจิ่นเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขาและปิดประตูลง ถามออกไปตรงๆ ว่า “เรื่องของจวินเสียมันเป็นอย่างไรกันแน่ แล้วหลี่จื่อมู่ผู้นั้นมาจากไหน ลุงกู้ท่านจำผิดคนหรือ”
ระหว่างทางฟ่านจิ่นเปรียบเทียบหลี่จื่อมู่กับจวินเสียในใจมากกว่าร้อยครั้ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าหลี่จื่อมู่คนนั้นก็เป็นเพียงแค่ไก่อ่อนที่เข้ามาในสำนักศึกษาเฟิงหัวได้เพราะมีวงแหวนภูติวิญญาณที่มีระดับสูงกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่ความสามารถของเขานั้นดูไม่ได้เลย แล้วคนแบบนี้จะทำให้จวินอู๋เสียออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้อย่างไร!
กู้หลีเซิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เพราะเขาไม่คิดว่าฟ่านจิ่นจะมาหาเขาเพราะเรื่องนี้
“มันเป็นความผิดพลาด ข้าบอกไปแล้วมิใช่หรือ” กู้หลีเซิงกล่าว
“ลุงกู้ หลี่จื่อมู่คนนั้นมีอะไรดีหรือ ถ้าท่านไม่มีใจที่จะรับจวินเสียเป็นลูกศิษย์แล้วเพราะเหตุใดท่านต้องให้ความหวังเขา ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้คนในสำนักศึกษาด่าเขาว่าอย่างไร” ฟ่านจิ่นเคารพกู้หลีเซิงมาโดยตลอดและชอบผู้อาวุโสท่านนี้ที่ไม่เคยวางมาดมาก่อน แต่ครั้งนี้กู้หลีเซิงทำไม่ถูกจริงๆ
สำหรับกู้หลีเซิงเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีผลอะไร แต่สำหรับลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักศึกษานั้นเรื่องนี้ถือว่าเป็นหายนะ
หากมิใช่เพราะเหตุบังเอิญที่เขาอยู่กับนางในวันนี้ ไม่รู้ว่าจวินอู๋เสียจะโดนหาเรื่องเพียงใด
กู้หลีเซิงก็หยุดชะงักไปทันทีเมื่อถูกฟ่านจิ่นตำหนิ
“เจ้าพูดอะไร ถูกด่า นี่มันเรื่องอะไร” กู้หลีเซิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อเขาได้ยินจึงรีบกล่าวถามในทันที
“จะเรื่องอะไรอีก ถ้ามิใช่หลี่จื่อมู่ลูกศิษย์คนดีที่ท่านเพิ่งรับนำคนไปหาเรื่องให้จวินเสียอับอาย กล่าวหาว่าเขาตั้งใจแย่งตำแหน่งของเขา บอกว่าท่านไม่ได้ถูกใจจวินเสียแม้แต่น้อยเป็นเขาเองที่หน้าด้านเข้ามาเองแต่สุดท้ายก็ถูกท่านไล่ออกไป” ฟ่านจิ่นกล่าวอย่างขุ่นเคือง
สีหน้าของกู้หลีเซิงซีดขาวขึ้นมาทันที “ไร้สาระ ข้าพูดแบบนี้เมื่อไหร่!”
ไม่ชอบจวินเสียหรือ เป็นไปได้อย่างไร!
เขาถูกใจเจ้าเด็กคนนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และสุดท้ายความจริงก็พิสูจน์แล้วว่าสายตาของเขานั้นดีจริงๆ จวินอู๋เสียเข้าใจทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณทั้งหมดภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ไม่เพียงแต่เรียนรู้ถึงแก่นแท้ของมันแต่นางยังพบข้อบกพร่องในนั้นด้วย และเพราะเหตุนี้กู้หลีเซิงกลัวว่าจวินอู๋เสียจะเสียเวลาถ้านางยังอยู่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ จึงให้นางไปเรียนรู้วิธีการฝึกฝนวงแหวนภูติวิญญาณที่สาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณ แล้วให้นางหาเวลาปรับปรุงทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณให้ดียิ่งขึ้น
ประการหนึ่งคือสิ่งนี้จะช่วยทำให้จวินอู๋เสียเรียนรู้ได้มากขึ้น และประการที่สองคือเพื่อปกป้องจวินอู๋เสียก่อนที่นางจะคิดหาวิธีปรับปรุงทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณได้
แต่ความหวังดีนี้กลับสร้างความวุ่นวายมากมายขึ้นมาและสิ่งนี้เป็นสิ่งที่กู้หลีเซิงไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ฟ่านจิ่นก็เริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เขาจึงสงบลงแล้วเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงอาหารวันนี้ให้กู้หลีเซิงฟัง
ทันใดนั้นบนใบหน้าของกู้หลีเซิงก็แสดงความโกรธออกมาทันที
“หลี่จื่อมู่พูดคำเหล่านี้ออกมาหรือ” เขากล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฟ่านจิ่นพยักหน้า
บนใบหน้าของกู้หลีเซิงไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป